ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันพุธ, 12 ธันวาคม 2555 09:36
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป046
สัมมาทิฏฐิ ๑๖
ความรู้จักเวทนา
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
เวทนา ๓ ๓
เวทนา ๕ ๔
เวทนา ๖ ๕
อทุกขมสุเป็นที่ตั้งของโมหะ ๗
เวทนาปริคคหกรรมฐาน ๘
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ม้วนที่ ๕๗/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๕๗/๒ - ๕๘/๑ ( File Tape 45 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบตามพระเถราธิบาย ของท่านพระสารีบุตร อันมาในสัมมาทิฏฐิสูตรที่ได้แสดงมาโดยลำดับ ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฟังท่านแสดงมาโดยลำดับ ก็ได้กราบเรียนถามท่านยิ่งขึ้นไปอีกว่า ยังมีปริยายคือทางแสดงอันอื่นอยู่อีกหรือ ที่จะทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ มีความเห็นตรง ทำให้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ท่านพระสารีบุตรก็ได้ตอบว่า ก็ยังมีปริยายคือทางที่พึงแสดงอธิบายต่อไปอีก และท่านก็จับแสดงต่อไปอีก จากที่ได้นำมาอธิบายแล้วว่า สัมมาทิฏฐิเห็นชอบ ก็คือรู้จักเวทนา รู้จักเหตุเกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา เมื่อท่านแจกเป็น ๔ ดั่งนี้ ท่านก็อธิบายไปทีละข้อว่า รู้จักเวทนา ก็คือรู้จักเวทนา ๖ อันได้แก่ จักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส สัมผัสทางตา โสตะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากโสตะสัมผัส คือสัมผัสทางหู ฆานะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากฆานะสัมผัส คือสัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากกายะสัมผัส สัมผัสทางกาย มโนสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ รู้จักเหตุเกิดเวทนา ก็คือรู้จักว่าสัมผัสเป็นเหตุเกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา ก็คือรู้จักว่าเวทนาดับเพราะดับสัมผัส รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น จึงจะได้อธิบายเรื่องเวทนา อันเป็นข้อแรกของ ๔ ข้อ ที่ท่านพระสารีบุตรได้ยกขึ้นอธิบายว่า เมื่อรู้จักก็ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิคือเห็นชอบ เวทนา ๓ เวทนานั้นโดยทั่วไปได้จำแนกไว้เป็น ๓ คือ สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข ทางกาย ทางใจ ทุกขเวทนา คือเป็นคือเวทนาที่เป็นทุกข์ ทางกาย ทางใจ อทุกขมสุขเวทนา คือเวทนาที่ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ คือเวทนาที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ทางกาย ทางใจ ฉะนั้น เวทนาจึงหมายถึงขันธ์ ๕ ข้อที่ ๒ ซึ่งเป็นความรู้เสวย เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข ดังกล่าว เป็นไปได้ทางกายทางใจ ที่ทุกคนได้ประสบอยู่เป็นประจำ และเวทนานี้นับเป็นข้อ ๒ ของขันธ์ ๕ คือ ต่อจากรูป ( เริ่ม ๕๗/๒ ) ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงขันธ์ ๕ สำหรับให้ยกขึ้นพิจารณาทางวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าอัตภาพนี้ อันที่จริงนั้นเป็นสมมติเป็นบัญญัติ ซึ่งก็นับว่าเป็นความจริงอย่างหนึ่ง เป็นความจริงโดยสมมติ หรือโดยบัญญัติ แต่โดยปรมัตถ์ คือโดยอรรถะ คือเนื้อความอย่างยิ่ง คืออย่างละเอียด ก็หาใช่เป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ จึงได้ตรัสสอนให้จำแนกอัตภาพ อันเป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวเรานี้ ว่าเป็นขันธ์ ๕ คือเป็นกองทั้ง ๕ มารวมกันอยู่ ได้แก่ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเรียกว่านาม รูปก็เป็นรูป ย่อลงจึงเป็นนามรูป ดังที่ทราบกันอยู่ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัวเราของเรา มีแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ประกอบกันอยู่ เวทนาซึ่งเป็นข้อ ๒ นั้น ตรัสแสดงไว้เป็นข้อ ๒ ก็เพราะว่า กำหนดได้ง่าย เกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางกายทั้งทางใจ คือเกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางรูป รูปกาย และทางนามกายคือทางใจ จึงกำหนดได้ง่าย เวทนา ๕ และได้มีจำแนกไว้อีกนัยยะหนึ่งเป็นเวทนา ๕ คือ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา เมื่อแจกออกเป็น ๕ ดั่งนี้ สุขจึงหมายถึงสุขทางกาย ทุกข์จึงหมายถึงทุกข์ทางกาย โสมนัสหมายถึงสุขทางใจ โทมนัสหมายถึงทุกข์ทางใจ อุเบกขาก็หมายถึงเวทนาที่เป็นกลางๆ มิใช่สุข มิใช่ทุกข์ มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข เพราะฉะนั้นแม้แจกเป็น ๕ ดั่งนี้ ก็คงย่อลงเป็น ๓ นั้นเอง ดังกล่าวมาข้างต้น แต่ว่าเมื่อแจกออกเป็น ๕ สุข ทุกข์ โสมนัส โทนัส อุเบกขา สุขและทุกข์ก็มีความหมายจำกัดเข้ามา จำเพาะที่เป็นไปทางกาย โสมนัส โทมนัส ก็เป็นไปทางใจ อุเบกขาก็เป็นเช่นเดียวกัน คือเป็นกลางๆ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ดังกล่าว เวทนา ๖ ส่วนในที่นี้ ท่านพระสารีบุตรท่านยกเอาเวทนา ๖ คือยกเอาเวทนา ๓ หรือเวทนา ๕ ดังกล่าวแล้วนั่นแหละ แจกออก ที่เกิดจากสัมผัสคือความกระทบ ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายและทางมนะคือใจ คือยกเอาสัมผัสทั้ง ๖ นี้เป็นที่ตั้ง จึงเป็นเวทนา ๖ และเมื่อแจกเป็นเวทนา ๖ ดั่งนี้แล้ว จึงได้มีอธิบายให้ละเอียดต่อไปอีกว่า สำหรับเวทนาที่เกิดจากจากสัมผัส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และที่เกิดจากสัมผัสทางใจ ทั้ง ๕ นี้ เป็นเวทนาทางใจ คือเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุขทางใจ เฉพาะข้อเวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย จึงเป็นเวทนาทางกาย คือเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกาย ฉะนั้น ในการพิจารณานั้น จึงให้ทำความเข้าใจว่า ที่ว่าเวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทางทั้ง ๕ เป็นไปทางใจ ย่อมมีความหมายดังเช่นว่า เมื่อตากับรูปมาประจวบกัน ก็เกิดความรู้รูป คือเห็นรูป และเมื่อตากับรูปและความรู้รูป คือเห็นรูป อันเรียกว่าวิญญาณทั้ง ๓ นี้มาประชุมกัน ก็เรียกว่าสัมผัส จึงเป็นเหตุให้เกิดเวทนา หากรูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของสุข ก็ให้เกิดสุขเวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของทุกข์ ก็ให้เกิดทุกขเวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของมิใช่ทุกข์มิใช่สุข คือเป็นกลางๆ ก็ให้เกิดอทุกขมสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหูทางจมูกทางลิ้นและทางใจ ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีความอธิบายดั่งนี้ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทางทั้ง ๕ ดังกล่าว จึงเป็นเวทนาทางใจอย่างเดียว หากจะมีปัญหาว่า ผงเข้าตาก็เจ็บ หรือเอาน้ำลูบตาก็เย็น ดั่งนี้จะเป็นเวทนาอะไร จะเป็นจักขุสัมผัสสชาเวทนาหรืออย่างไร ก็ตอบว่าในลักษณะดังกล่าวไม่เรียกว่าจักขุสัมผัสสชาเวทนา แต่เรียกว่ากายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย เพราะว่าผงเข้าตาก็หมายถึงตาส่วนที่เป็นกาย ไม่ใช่หมายถึงตาส่วนที่เห็นรูป หมายถึงตาส่วนที่เป็นกาย จึงจัดว่าเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา เป็นไปทางกาย แม้ทางหูเป็นต้นก็เช่นเดียวกัน มีอะไรมากระทบหู หรือทิ่มตำที่หูก็เกิดความเจ็บ หรือเอาน้ำล้างน้ำลูบก็เย็นสบาย ดั่งนี้ก็เป็นหูส่วนที่เป็นกายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่หูส่วนที่เป็นประสาทรับเสียงได้ยินเสียง จึงนับเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกายนี้มีเป็นอันมาก ความที่ได้รับความสุขทางกายต่างๆ อันเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ หรือเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องต่างๆ อันทำให้กายสบาย ก็นับว่าเป็นสุขทางกาย ความที่ต้องกระทบกับดินฟ้าอากาศส่วนที่ให้เกิดทุกข์เช่นต้องตากแดดตากฝนประกอบการงาน หรือว่าต้องนั่งนานๆ เดินนานๆ ยืนนานๆ หรือแม้นอนนานๆ ก็เป็นทุกข์ขึ้นมา หรือว่าอาพาธป่วยไข้ต่างๆ เกิดความทุกข์ ก็เป็นทุกขเวทนาทางกาย เพราะฉะนั้น ทุกขเวทนาทางกายก็มีมาก สุขก็มีมาก และที่เป็นกลางๆที่ไม่ทำให้สุขให้ทุกข์ ก็นับว่าเป็นกลางๆได้ ก็มีอยู่ แต่บางท่านก็มีอธิบายว่าที่เป็นกลางๆทางกายนั้นไม่มี เพราะถ้าเป็นปรกติก็นับว่าเป็นสุข เหมือนดังเช่นความหนาวความร้อน ความเย็นความร้อนของดินฟ้าอากาศ ที่ร้อนไปหรือเย็นไป ก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์ทางกาย เมื่อมีความร้อนหรือความเย็นที่อำนวยให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขสบาย ก็ทำให้เกิดสุขเวทนาทางกาย หรือที่แม้ไม่ทำให้เกิดความสุขชัดนัก คือไม่ร้อนมากไม่เย็นมาก เรียกว่าเป็นปรกติ ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุข หรือไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์อย่างไร เป็ ปรกติ แม้ดั่งนี้ ก็น่าจะเรียกว่าเป็นกลางๆได้ แต่ท่านแสดงว่า จัดว่าเป็นสุขเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านก็แสดงว่า ที่มีลักษณะเป็นปรกติดังกล่าว ที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็นับว่าเป็นกลางๆได้ ส่วนทางใจนั้นย่อมมีชัดทั้ง ๓ อย่าง เมื่อสัมผัสดังกล่าวเป็นที่ตั้งของสุขก็ให้เกิดสุข เป็นที่ตั้งของทุกข์ก็ให้เกิดทุกข์ และแม้เป็นที่ตั้งของสุขของทุกข์ดังกล่าว เมื่อใจวางเฉยได้ มีอุเบกขาได้ ก็เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์ไม่สุขทางใจ หรือสัมผัสดังกล่าวนั้นเองที่ไม่ทำให้รู้เป็นสุข หรือรู้เป็นทุกข์ ชัดเจน เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ ก็นับว่าเป็นเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ยกตัวอย่างเช่นว่า ตากับรูปมาประจวบกัน หูกับเสียงมาประจวบกัน คือได้ยินอะไร ได้เห็นอะไร วันหนึ่งๆมากมายนักหนา แต่ที่ทำให้เป็นสุขหรือทำให้เป็นทุกข์นั้นไม่ใช่ทั้งหมด ในส่วนที่เห็นแล้วก็แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง ได้ยินแล้วก็แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง มีอยู่เป็นอันมาก ในลักษณะดังกล่าวนี้มิใช่ว่าไม่เกิดเวทนา เกิดเวทนาเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเวทนาที่เป็นกลางๆ คือไม่พอที่จะให้รู้เป็นสุข ไม่พอที่จะให้รู้เป็นทุกข์ ก็เฉยๆ ความเฉยๆนี้ก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นความรู้อย่างหนึ่งก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง และเวทนาที่เป็นความรู้เฉยๆดังกล่าวมานี้ มักจะมิได้พิจารณาถึง มักจะมิได้คำนึงถึง อทุกขมสุขเป็นที่ตั้งของโมหะ ท่านจึงแสดงว่าเวทนาดังกล่าวมานี้เป็นที่ตั้งของโมหะคือความหลง สุขเวทนานั้นเป็นที่ตั้งของราคะความติดใจยินดี ทุกขเวทนานั้นเป็นที่ตั้งโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง ส่วนเวทนาที่เป็นกลางๆดังกล่าวเป็นที่ตั้งของโมหะความหลง เพราะว่าเฉยๆ แต่ก็เป็นเฉยๆด้วยความไม่รู้ คือไม่ได้กำหนดพิจารณาให้รู้ ว่านี่ก็เป็นเวทนาเหมือนกัน และเป็นเวทนาที่เมื่อไม่กำหนด ก็เป็นเวทนาที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักก็เป็นโมหะคือความหลง ตั้งต้นแต่หลงว่าไม่รู้จักว่าเป็นเวทนา ส่วนสุขทุกข์นั้นเป็นที่ตั้งของราคะบ้าง เป็นที่ตั้งของโทสะบ้างดังกล่าว เวทนาปริคคหกรรมฐาน เวทนานี้เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้ทำสติกำหนดเป็น เวทนานุปัสสนา สติกำหนดพิจารณาเวทนา ตามรู้ตามเห็นเวทนา อันเป็นสติปัฏฐานข้อที่ ๒ และได้มีตรัสสอนเอาไว้ให้กำหนดเวทนานี้ สำหรับที่จะได้ดับทุกขเวทนาได้อีกด้วย ดังที่มีเรื่องเล่าถึงพระนางสามาวดีที่ถูกไฟครอกสิ้นพระชนม์ในปราสาท โดยที่มีผู้ริษยาจุดไฟเผาปราสาทที่พระนางได้ประทับอยู่ และปิดกั้นประตูมิให้ออกได้ ได้มีแสดงว่าพระนางได้เจริญ เวทนาปริคคหกรรมฐาน คือกรรมฐานที่กำหนดเวทนา กำหนดดูเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะที่ถูกไฟเผาร่างกาย และเมื่อได้ตั้งใจกำหนดดูจริงๆ ก็จะมีความแยกระหว่างกาย กับผู้ดูผู้รู้ คือผู้ที่กำหนดเวทนานั้นชื่อว่าเป็นผู้ดูผู้รู้ สิ่งที่ถูกกำหนดดูก็คือกาย และเมื่อแยกออกจากกันได้ อันหมายความว่าสติที่กำหนดดูกำหนดรู้นั้นมีกำลัง ( เริ่ม ๕๘/๑ ) เวทนาที่เป็นทุกข์จึงอยู่แค่กาย คืออยู่ที่กาย มิใช่อยู่ที่จิตใจ หรือมิใช่อยู่ที่ผู้กำหนดดูกำหนดรู้ เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงชื่อว่าแยกกายออกจากใจได้ เมื่อแยกกายออกจากใจได้ ใจก็ไม่ต้องรับเป็นทุกขเวทนาทางใจ ทุกขเวทนาก็เป็นทุกขเวทนาของกาย แต่ว่าไม่เป็นทุกขเวทนาของใจ สติที่กำหนดดูกำหนดรู้เวทนานี้จึงแยกได้ดั่งนี้ และแม้จะได้รับทุกขเวทนาอย่างอื่น หรือแม้ได้รับสุขเวทนาก็ตาม เมื่อตั้งสติกำหนดดูกำหนดรู้ให้เป็น เวทนาปริคคหกรรมฐาน กรรมฐานที่กำหนดเวทนาอยู่ เมื่อสติที่กำหนดมีกำลังก็ย่อมจะแยกได้เช่นเดียวกัน สำหรับเวทนาที่เป็นทางกายนั้น เมื่อตั้งสติหัดปฏิบัติกำหนดดูกำหนดรู้อยู่บ่อยๆ จนมีความชำนาญ ย่อมอาจจะแยกได้ง่ายกว่าเวทนาทางใจ เพราะเวทนาทางใจนั้นอยู่ที่ใจเอง แต่เวทนาทางกายนั้นอยู่ที่กาย ถ้าใจไม่ไปยึดไม่ไปถือ เวทนาทางกายก็อยู่แค่กาย ไม่เข้าถึงใจ แต่ที่เวทนาเข้าถึงใจนั้น คือใจเป็นทุกข์ไปด้วยกับกาย ก็เพราะว่ายังแยกกันมิได้ เวทนาปริคคหกรรมฐาน กรรมฐานที่กำหนดเวทนานี้แหละที่จะแยกได้ แต่ว่าจะต้องตั้งสติกำหนดให้มีกำลัง ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
สัมมาทิฏฐิ ๑๗
ความรู้จักผัสสะ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
สัมผัส ๖ ๓
วิถีจิต ๕
ปฐมจิต ปฐมวิญญาณ ๖
กำหนดตัวรู้ วิญญาณ ๗
สมาธิตามธรรมชาติธรรมดา ๙
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ม้วนที่ ๕๘/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๕๘/๒ ( File Tape 46 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายในสัมมาทิฏฐิของท่านพระสารีบุตรเถระ ซึ่งมีที่มาในสัมมาทิฏฐิสูตรโดยลำดับ ภิกษุทั้งหลายได้กราบเรียนถามท่าน ท่านก็ได้ตอบ แล้วพระภิกษุทั้งหลายก็ได้เรียนถามท่านอีก ว่ายังมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีกหรือไม่ ท่านก็ตอบว่ามี ซึ่งได้กล่าวมาโดยลำดับ ในวันนี้ก็จะได้กล่าวตามที่ท่านตอบคำถามของพระภิกษุทั้งหลาย ถึงปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีก จากที่ได้แสดงอธิบายมาแล้ว ท่านก็ได้ตอบว่า ยังมีปริยายคือทางที่แสดงอย่างอื่นอีก คือ สัมมาทิฏฐิเห็นชอบ ก็ได้แก่รู้จักผัสสะ รู้จักเหตุเกิดผัสสะ รู้จักความดับผัสสะ และรู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับผัสสะ เมื่อท่านตั้งหัวข้อขึ้นมาเป็น ๔ ข้อดั่งนี้ ท่านก็ได้แสดงเถราธิบายแต่ละข้อ ว่ารู้จักผัสสะ ก็คือรู้จักสัมผัส ๖ อันได้แก่ จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา โสตะสัมผัส สัมผัสทางหู ฆานะสัมผัส สัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายสัมผัส สัมผัสทางกาย และมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ รู้จักเหตุเกิดแห่งผัสสะ ก็คือรู้จักว่าผัสสะเกิดขึ้นเพราะอายตนะ ๖ เกิดขึ้น รู้จักความดับผัสสะ ก็คือรู้จักว่าผัสสะดับก็เพราะอายตนะ ๖ ดับ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับผัสสะ ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมผัส ๖ จะอธิบายสัมผัส ๖ คำนี้เรียกว่าผัสสะ หรือเรียกว่าสัมผัส มักจะแปลกันว่าความกระทบ ในภาษาไทยก็นำเอาคำว่าสัมผัสมาใช้ ซึ่งใช้ในความหมายว่ากระทบหรือถูกต้อง แต่ความหมายในทางธรรมะ หมายถึงผัสสะ หรือสัมผัส ที่เป็นความประชุมกัน ของอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ แต่ละทาง ในทางทั้ง ๖ กล่าวคืออายตนะภายในอันได้แก่ตา ภายนอกอันได้แก่รูป มาประจวบกัน ก็เกิดจักขุวิญญาณ ความรู้ทางตา ดังที่เรียกว่าเห็น คือเห็นรูป ทั้ง ๓ นี้ คือตา ๑ รูป ๑ จักขุวิญญาณ ๑ มาประชุมกัน ก็เรียกว่าสัมผัส และเรียกว่าจักขุสัมผัส สัมผัสทางตา หูกับเสียงมาประจวบกัน ก็เกิดโสตะวิญญาณ ความรู้ทางหู ที่เรียกว่าได้ยิน และทั้ง ๓ นี้ คือหู ๑ เสียง ๑ โสตะวิญญาณ ๑ มาประชุมกัน ก็เรียกว่าโสตะสัมผัส สัมผัสทางหู จมูกกับกลิ่นมาประจวบกัน ก็เกิดฆานะวิญญาณ ความรู้ทางจมูก คือทราบกลิ่น จมูก ๑ กลิ่น ๑ ฆานะวิญญาณ ๑ ประชุมกัน ก็เรียกว่าฆานะสัมผัส สัมผัสทางจมูก ลิ้นกับรสมาประจวบกัน ก็เกิดชิวหาวิญญาณ ความรู้ทางลิ้น คือทราบรส ลิ้น ๑ รส ๑ ชิวหาวิญญาณ ๑ มาประชุมกัน ก็เรียกว่าชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายและโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องมาประจวบกัน ก็เกิดกายวิญญาณความรู้ทางกาย คือทราบสิ่งถูกต้องทางกาย กาย ๑ โผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง ๑ กายวิญญาณ ๑ ประชุมกัน ก็เป็นกายสัมผัส สัมผัสทางกาย มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวมาประจวบกัน ก็เกิดมโนวิญญาณ ความรู้ทางมโนคือใจ คือรู้เรื่องหรือคิดเรื่อง มโนคือใจ ๑ ธรรมะคือเรื่องราว ๑ มโนวิญญาณ ๑ ประชุมกัน ก็เป็นมโนสัมผัส สัมผัสทางมโนคือใจ นี้คือผัสสะหรือสัมผัสทางคดีธรรม เมื่อพิจารณาดูถึงสัมผัสหรือผัสสะนี้ ก็ย่อมจะทราบว่า เป็นผัสสะหรือสัมผัสทางจิตใจ และเป็นของที่ละเอียด กำหนดได้ยาก มิใช่แต่สัมผัสหรือผัสสะเท่านั้น นามธรรมทั้งหมดที่เป็นเบื้องต้น คือวิญญาณเอง อันได้แก่ความรู้ที่บังเกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายใน อายตนะภายนอก ประจวบกัน อันเป็นความรู้ของจิต ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งไปกว่าผัสสะหรือสัมผัส แต่ว่านามธรรมที่บังเกิดขึ้นสืบไป จากวิญญาณ จากสัมผัส อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร ย่อมปรากฏ สังเกตุจับพิจารณาได้ง่ายขึ้น ดังเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญาที่เป็นความจำหมาย สังขารที่เป็นความคิดปรุงหรือปรุงคิด เป็นนามธรรมที่ชัดขึ้น ปรากฏมากขึ้น เหมือนอย่างสุขหรือทุกข์ ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นทุกคนก็ย่อมจะรู้ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขก็ย่อมจะรู้ สัญญาความกำหนดจำหมาย จำได้ จำไม่ได้ ทุกคนก็ย่อมจะรู้ สังขารความปรุงคิดหรือคิดปรุง ทุกคนก็ย่อมจะรู้ใจของตัวเองว่าคิดอย่างไร และแม้วิญญาณที่บังเกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายในอายตนะภายนอกประจวบกัน กับเมื่อทั้ง ๓ มาประชุมกันเป็นสัมผัส อันละเอียดไปกว่านามธรรมที่บังเกิดต่อไปคือเวทนา มักจะสังเกตุได้ยาก จับได้ยาก ทำความรู้ในวิญญาณในสัมผัสได้ยาก ต่อเมื่อเป็นเวทนาเป็นต้น จึงจะชัดขึ้น และแม้ไม่ตั้งใจที่จะกำหนด แต่ว่าตัวเวทนาเป็นต้นนั้นเองก็โผล่ขึ้นมาให้ทราบได้ วิถีจิต ความโผล่ขึ้นมานี้ แม้วิญญาณและสัมผัสก็โผล่ขึ้นมา ดังที่เมื่อตากับรูปประจวบกันก็เกิดความรู้รูป คือเห็นรูปอันเรียกว่าจักขุวิญญาณ ทุกคนก็ย่อมจะรู้ว่าได้เห็นรูป และแม้เมื่อไม่เห็น ก็ย่อมจะรู้ว่าไม่เห็น แต่โดยมากนั้น เมื่อไม่เห็นในสิ่งที่ต้องการจะไม่เห็น จึงจะรู้ว่าไม่เห็น เพราะใจจะตั้งกำหนดอยู่ คือตั้งกำหนดอยู่ในเรื่องที่อยากจะเห็น และครั้นไม่เห็นก็รู้ว่าไม่เห็น แต่เมื่อเห็นก็ไม่ได้นึกถึงกิริยาที่เห็น อันเป็นจักขุวิญญาณ แต่ว่าไปนึกถึงสิ่งที่เห็นนั้น คือข้ามเลยไปถึงขั้นที่เป็นสังขารปรุงคิดหรือคิดปรุง และข้ามไปถึงที่เป็นกิเลสขึ้นมา เป็นความยินดีความยินร้ายต่างๆในรูปที่เห็นนั้น ส่วนวิถีจิตที่แสดง ที่เป็นไปตามลำดับนั้น ไม่ได้นึกถึง เช่นเดียวกับการที่จะขึ้นไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะต้องก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ทุกคนก็ไม่ได้ไปนึกถึงบันใดที่ก้าวขึ้นไป มุ่งจะขึ้น และก้าวบันไดขึ้นไปกี่ขั้นก็ไม่ได้นึกถึง ไม่ได้มุ่งถึง เพราะฉะนั้นจึงมักจะไม่รู้ว่าบันไดที่ก้าวขึ้นไปนั้นมีกี่ขั้น วิถีจิตก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นไปตามลำดับเหมือนอย่างขั้นบันได คือว่าอายตนะภายในภายนอกที่มาประจวบกัน ที่เหมือนอย่างเป็นบันไดขั้นแรก คือความมาประจวบกัน ก็เป็นวิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็เป็นบันไดขั้นที่ ๒ แล้วทั้ง ๓ ก็มาประชุมกันก็เป็นสัมผัส เป็นบันไดขั้นที่ ๓ จึงมาถึงเวทนาเป็นบันไดขั้นที่ สัญญาที่ ๕ สังขารที่ ๖ ซึ่งจิตนี้จะต้องดำเนินไปตามวิถีจิตดังกล่าวนี้ ในอารมณ์ทุกข้อทุกอย่าง ( เริ่ม ๕๘/๒ ) อารมณ์ทุกข้อทุกอย่างที่จิตคิด จะต้องผ่านบันไดขึ้นมาโดยลำดับดั่งนี้ จิตเอง กับบันไดที่จิตดำเนินผ่านขึ้นมาตามลำดับนี้ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา ของกายและจิตนี้ของทุกๆคน จัดเป็นอัพยากตธรรม ธรรมะที่เป็นกลางๆ ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ เป็นวิบากขันธ์ คือเป็นขันธ์ซึ่งได้มาแต่กำเนิด เริ่มต้นเกิดก่อขึ้นในครรภ์ของมารดา ซึ่งทางพระพุทธศาสนาแสดงว่าเป็นวิบากคือผลของกรรม พร้อมทั้งกิเลส ซึ่งได้ประกอบกระทำไว้แล้ว เป็นชนกกรรม กรรมที่นำให้เกิดขึ้นมา และเมื่อธาตุทั้งหลาย คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ เริ่มต้นขึ้นได้ที่ คันธัพพะ คนธรรพ์ ท่านใช้ศัพท์เรียกดั่งนี้ อันได้แก่ปฏิสนธิจิตก็มาปฏิสนธิตามกรรม เป็นปฏิสนธิจิต เป็นปฏิสนธิวิญญาณ เป็นอันว่าเริ่มมีธาตุ ๖ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศ และธาตุวิญญาณอันเรียกว่าวิญญาณธาตุ เป็นบุรุษสตรีสัตว์บุคคลทุกๆคนนี้ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมา ปฐมจิต ปฐมวิญญาณ ในทางพระวินัยได้แสดงนับว่าเริ่มเป็นชาติคือความเกิด ตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณในครรภ์ของมารดาดังกล่าว และก็อาศัยอาหารเติบโตขึ้นโดยลำดับ จนถึงคลอดออกมา ก็อาศัยอาหารเติบโตขึ้นมาโดยลำดับ เป็นธาตุ ๖ เป็นกาย เป็นจิต เป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นขันธ์ ๕ เป็นนามรูป อันเป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าเป็นอัตภาพ เป็นตัวเรา เป็นเรา นี้เป็นวิบากขันธ์ วิบากอายตนะ วิบากธาตุ ของชนกกรรมที่นำให้มาเกิดพร้อมทั้งกิเลส เป็นกลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล และสำหรับรูปกายอันเป็นที่อาศัยของจิต พร้อมกับมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของนามธรรมต่างๆ ก็มีกระบวนของจิตใจเป็นไปตามธรรมชาติตามธรรมดาดังที่กล่าวมาแล้ว และสำหรับรูปกายนั้นอันเป็นส่วนรูป คือกองรูปนั้นก็สังเกตุกำหนดได้ง่าย เป็นที่ตั้งของวิปัสสนากรรมฐาน คือเป็นภูมิของวิปัสสนากรรมฐาน และก็น่าจะเป็นที่วิญญาณกับสัมผัสนั้นกำหนดได้ยาก ในขันธ์ ๕ จึงได้จัดนามธรรมต่อจากรูปขันธ์ ก็มาเป็น เวทนา สัญญา สังขาร แล้วจึงนำวิญญาณมาเป็นข้อท้าย เพื่อเป็นวิปัสสนาภูมิ เป็นภูมิสำหรับพิจารณาทางวิปัสสนาให้เห็นไตรลักษณ์ เมื่อกำหนดรูปอันเป็นของหยาบ แล้วก็มาเวทนาซึ่งก็เป็นนามธรรมที่หยาบดังกล่าว แล้วก็มาสัญญา มาสังขาร เมื่อมาถึงสังขารก็แปลว่าได้กำหนดนามธรรมถนัดขึ้น จึงมาวิญญาณเป็นข้อ ๕ ซึ่งจะกำหนดได้ง่ายเข้า คือกำหนดตัวรู้ที่เป็นไปกับความคิดปรุงหรือความปรุงคิดต่างๆ กำหนดตัวรู้ วิญญาณ เพราะว่าเมื่อปรุงคิดหรือคิดปรุงไปต่างๆนั้น ก็ย่อมมีตัวรู้ประกอบอยู่ด้วย คือรู้ว่าคิดอะไร ปรุงอะไร แต่ว่าโดยมากนั้นผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรมะ มักจะไม่คิดถึงตัวรู้ ที่ประกอบกันไปอยู่ กับความคิดปรุงหรือความปรุงคิด เพราะไปมุ่งคิดปรุงหรือปรุงคิด และไปติดอยู่ในกิเลส ยินดียินร้าย หลงงมงาย อันบังเกิดขึ้นจากสิ่งที่คิดปรุง หรือปรุงคิดนั้น จึงมิได้มานึกถึงตัวรู้ ว่าอันที่จริงนั้นทุกคนคิดอะไร ก็รู้ไปด้วยว่าคิดอะไร ฉะนั้น หากหัดกำหนดดูตัวรู้ ที่ไปกับตัวคิดปรุงหรือปรุงคิด ก็ย่อมจะจับตัวรู้ได้ และก็ย่อมจะรู้จักว่านั่นแหละเป็นวิญญาณ ที่ในขั้นนี้ก็เป็นมโนวิญญาณ และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็มาหัดจับวิญญาณคือตัวรู้ เมื่ออายตนะภายในภายนอกมาประจวบกันดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเมื่ออายตนะทั้งสองมาประจวบกันแล้ว โดยปรกติก็ย่อมจะเกิดตัวรู้ คือรู้รูปที่เรียกว่าเห็นรูป รู้เสียงที่เรียกว่าได้ยินเสียง แต่ว่าจะต้องมีความเข้าใจอีกอันหนึ่งว่า จิตนี้จะต้องตั้งอยู่เพื่อที่จะรู้ด้วย คือเมื่อตากับรูปประจวบกัน จิตนี้จะต้องตั้งอยู่เพื่อที่จะดูรูป รู้รูป จึงจะเห็นรูป เกิดเป็นจักขุวิญญาณ เมื่อหูกับเสียงประจวบกัน จิตนี้จะต้องตั้งอยู่ที่จะรู้เสียง จึงจะเกิดโสตะวิญญาณคือได้ยินเสียง ถ้าจิตนี้ไม่ตั้ง แม้ว่าจะมีรูปมาอยู่เฉพาะหน้าเฉพาะตา จะมีเสียงมากระทบหูโสตะประสาท แต่ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ถ้าจิตไม่ตั้ง เหมือนดังที่กำลังบรรยายธรรมอยู่นี้ ท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่นี้จะต้องมีจิตตั้งที่จะฟังด้วย จึงจะได้ยินเสียงที่แสดงนี้ แต่หากว่าถ้าจิตไม่ตั้งที่จะฟัง คือส่งจิตไปเสียในที่อื่น แม้เสียงที่แสดงนี้จะไปกระทบโสตะประสาท แต่ก็ไม่ได้ยิน หูดับ ในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะฟัง อายตนะทุกข้อย่อมเป็นดั่งนี้ ตาดับในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะดู หูดับในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะฟัง จมูกดับ ลิ้นดับ ในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะทราบกลิ่นทราบรส กายดับในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะทราบสิ่งถูกต้อง เพราะฉะนั้น จิตจึงต้องตั้งต้องประกอบอยู่ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือมโนข้อที่ ๖ นั้นเอง ที่เป็นอายตนะข้อที่ ๖ ที่เรียกว่าใจ จะต้องตั้งอยู่ประกอบอยู่ กับตากับหูกับจมูกกับลิ้นกับกายด้วยทุกเรื่องไป ตาหูจมูกลิ้นกายใจจึงจะไม่ดับ ถ้ามโนไม่มาประกอบอยู่ด้วยแล้ว ก็ดับ นี้เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่ออายตนะภายในภายนอกประจวบกัน ก็เกิดความรู้ขึ้น จึงอาจหัดกำหนดดูได้ ดูตัวเห็น ตัวได้ยิน คือตัวรู้นั้นเองที่บังเกิดขึ้นนั้น แต่ถ้าหากว่าจิตนี้ตั้งกำหนดอยู่เพียงเท่านี้ คือเพียงแค่จักขุวิญญาณโสตะวิญญาณเป็นต้น คือเมื่อตากับรูปประจวบกัน จิตตั้งกำหนดก็เห็นรูป แล้วจิตก็ถอนไปเสีย ถ้าเป็นดั่งนี้แล้วเรื่องนั้นก็ดับอยู่แค่นั้น ไม่เป็นสัมผัส ไม่เกิดเวทนาสัญญาสังขารอะไร เพราะฉะนั้น หากว่าจิตตั้งอยู่ต่อไป กำหนดต่อไป กล่าวคือเมื่อตากับรูปประจวบกัน จิตตั้งเพื่อที่จะทราบรูปเห็นรูป ก็เกิดจักขุวิญญาณ เมื่อจิตตั้งอยู่ในเรื่องนี้ต่อไป ก็คือจิตได้นำเอา ตา รูป และตัวจักขุวิญญาณ คือตัวรู้ตัวเห็นรูปนั้น มาประชุมกันเองในจิต เป็นสัมผัส แปลว่าเรื่องนั้นก็กระทบถึงจิตแรงขึ้น จิตไม่ปล่อย และถ้าจิตไม่ปล่อย ต่อไปจึงจะเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แต่ถ้าจิตปล่อยอยู่แค่นี้ ไปเรื่องอื่นเสีย ก็ดับไปแค่สัมผัสเท่านั้น สมาธิตามธรรมชาติธรรมดา เพราะฉะนั้น จิตที่ตั้งอยู่นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจิตที่ตั้งอยู่นี้แหละคือตัวสมาธิ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา การหัดทำสมาธินั้นก็คือเป็นการหัดให้ตั้งอยู่ในทางที่ดีที่ชอบ นั่นเอง และอันที่จริงตามธรรมชาติธรรมดานั้นก็ต้องมีสมาธิ คือจิตจะต้องตั้งอยู่ วิถีจิตจึงจะเป็นไปได้ดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น สัมผัสนั้นก็คือความที่ อายตนะภายในภายนอก กับตัวเห็นรูปเป็นต้นนั้น มารวมกัน กระทบจิตแรงขึ้น จึงจะเป็นเวทนาขึ้นมา เพราะฉะนั้น หากหัดกำหนดจริงๆ แล้วก็กำหนดได้ สัมผัสย่อมมีลักษณะดังที่ได้แสดงมานี้ จึงเป็นสัมผัส ๖ หรือเรียกว่าผัสสะเฉยๆ
ต่อไปนี้ก็ของให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*