- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 10 พฤศจิกายน 2555 13:44
- เขียนโดย gonghoog
พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศ
กถามุขวิมลเกียรตินิรเทศสูตร (๑๔ ปริเฉท)
ขอขอบคุณคุณพี่พีช ซึ่งเป็นผู้ที่พิมพ์พระสูตรนี้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อผิดผลาดใดที่เกิดขึ้นต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย พระสูตรนี้มี ๑๔ ปริเฉทดังนี้คือ
ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค
ปริเฉทที่ ๒ อุปายโกศลวรรค
ปริเฉทที่ ๓ สาวกวรรค
ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตววรรค
ปริเฉทที่ ๕ คิลานปุจฉาวรรค
ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค
ปริเฉทที่ ๗ สรรพสัตว์วิทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๘ พุทธภูมิวรรค
ปริเฉทที่ ๙ อไทฺวตธรรมทวาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๐ สุคันโธปจิตพุทธวรรค
ปริเฉทที่ ๑๑ โพธิสัตว์จริยาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๒ อักโษภยะพุทธเกษตรทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติบูชาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค
กถามุข
ในพระสุตตันตปิฎกของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน วิมลเกียรตินิทเทสสูตร (ยุ่ย ม่อ เคียก ซอ ส้วย เก็ง) นับว่าเป็นพระสูตรสำคัญยิ่งสูตรหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องด้วยพระสูตรนี้ได้รวบรวมสารัตถะของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไว้ ทั้งด้านปรมัตถธรรมและสมมติธรรม ทั้งยังแสดงถ่ายทอดออกมาด้วยรูปปุคคลาธิษฐาน มีลีลาชวนอ่านให้เกิดความเพลิดเพลิน พร้อมทั้งได้รับธรรมรสซึมซาบเข้าไปโดยมิรู้ตัว พระสูตรนี้ไม่ปรากฏมีในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี แต่ความข้อนี้มิได้เป็นเหตุให้เราผู้เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทปฏิเสธคุณค่าของพระสูตรนี้แต่อย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากหลักธรรมที่ประกาศในพระสูตรนี้ ก็คงดำเนินไปตามแนวพระพุทธมติ คือในเรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง แม้จะมีข้อแตกต่างบางประการก็เป็นเรื่องปลีกย่อยและเป็นสิ่งธรรมดาที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น มิฉะนั้นก็คงไม่เกิดนิกายมหายานขึ้น ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างในนิกายนั้นจะเหมือนกับฝ่ายเถรวาท
พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีอุดมคติและประวัติวิวัฒนาการมาอย่างไร ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับท่านผู้อ่านพระสูตรนี้จำต้องทราบไว้เป็นพื้นฐานเสียก่อน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสคัดข้อความบางตอนในปาฐกถาของข้าพเจ้า เรื่อง "ลัทธิมหายาน" ซึ่งแสดงแก่คณะนักศึกษาศิลปศาสตร์ ในหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาไว้ ณ ที่นี้ เพื่อ เป็นนิทัศนะ
"ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ศาสนาทุกศาสนาในโลก จะต้องมีคณะนิกายแบ่งแยกออกมาภายหลังที่พระศาสดาของศาสนานั้นล่วงลับไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะเมื่อศาสนานั้นแผ่ขยายออกไปตามท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อถือไม่เหมือนกัน ก็มีการผสมผสานกับลัทธิธรรมเนียมเหล่านั้น อีกทั้งทัศนะการตีความในคำสอนของศาสดาของแต่ละบุคคล แต่ละคณะไม่ตรงกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดแบ่งแยกเป็นนิกายขึ้น ศาสนาที่มีลัทธินิกายจึงเป็นสัญญลักษณ์ของความเจริญแห่งศาสนานั้นในแง่หนึ่งเหมือนกัน ว่ากันเฉพาะในพระพุทธศาสนาได้เริ่มแบ่งแยกนิกายขึ้นครั้งแรกในสมัยพุทธศตวรรษที่๑ ต่อมาถึงพุทธศตวรรษที่๔ ปรากฏว่ามีนิกายในพระพุทธศาสนาที่เป็นนิกายใหญ่ๆอยู่๑๘นิกาย นิกายที่สำคัญ คือนิกายมหาสังฆิกะกับนิกายเถรวาท มูลเหตุของการแตกแยก มีสมุฏฐานจากความขัดแย้งในทางปฏิบัติพระวินัยและคำอธิบายในพระพุทธวจนะไม่ตรงกัน สงฆ์ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรแก้ไขผ่อนปรนในการปฏิบัติวินัยบางข้อ โดยอ้างพระพุทธานุญาตที่มีไว้กับพระอานนท์ในสมัยจวนดับขันธปรินิพพานว่า
"ดูก่อนอานนท์ ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็ให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้"
สงฆ์อีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นพ้องด้วย โดยอ้างเหตุผลว่า คำว่าสิกขาบทเล็กน้อย ไม่อาจทราบพระพุทธประสงค์ได้ว่า หมายความถึงสิกขาบทข้อไหน พระอานนท์เองก็มิได้ทูลถามให้ชัดเจนว่า ได้แก่สิกขาบทหมวดไหน ฉะนั้น อย่าเพิกถอนสิกขาบททั้งหมดเลยแหละดี ควรจะรักษาเอาไว้ทุกข้ออย่างเคร่งครัด
อีกประการหนึ่ง การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะนั้น ย่อมอาศัยอาจารย์เป็นผู้สั่งสอนอธิบาย อาจารย์กับอาจารย์ด้วยกันเกิดมีทัศนะอรรถาธิบายพระพุทธมติไม่ตรงกัน ก็เป็นสาเหตุอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เกิดแบ่งแยกกันออกไป สงฆ์ฝ่ายนิกายมหาสังฆิกะ เป็นพวกที่ต้องการแก้ไขผ่อนปรนในการปฏิบัติพระวินัย และถืออรรถาธิบายพระพุทธวจนะของพระอาจารย์เป็นใหญ่ สงฆ์ฝ่ายเถรวาทถือเคร่งครัดในการรักษาจารีตแบบแผนดังเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเป็นหลักใหญ่
สรุปแล้วก็คือ
๑.เพราะการปฏิบัติพระวินัยไม่สม่ำเสมอเหมือนกัน เรียกว่าความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา
๒.เพราะทัศนะในหลักธรรม อธิบายไม่ตรงกัน เรียกว่าความวิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตา
ทั้ง๒ประการนี้เป็นสมุฏฐานให้แบ่งเป็นนิกายขึ้น
จำเดิมแต่พระพุทธศาสนาในอินเดียได้แบ่งออกเป็นนิกายถึง๑๘นิกายใหญ่ จำเนียรกาลล่วงมาในรารวต้นพุทธศตวรรษที่๕ จึงได้เกิดมีขบวนการใหม่ขึ้นอีกขบวนการหนึ่งในพระพุทธศาสนา ขบวนการนี้เรียกตนเองว่า ลัทธิมหายาน ลัทธินี้ค่อยๆฟักตัวเองขึ้นมาจากนิกายมหาสังฆิกะ ผสมผสานกับปรัชญาของนิกายพระพุทธศาสนาอื่นๆ ทั้ง๑๘นิกาย รวมทั้งนิกายเถรวาทด้วย ก่อกำเนิดขึ้นเป็นลัทธิมหายาน
คำว่า มหายาน มาจากธาตุศัพท์ มหา+ยาน แปลว่าพาหนะที่กว้างขวางใหญ่โตซึ่งสามารถขน สัตว์โลก ให้ข้ามวัฏฏสงสารได้มาก หลักธรรมของนิกายนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนิกายเถรวาท คือสอนเรื่องอริยสัจ และมีข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือความหลุดพ้นทุกข์ แต่ส่วนที่แตกต่างกันนั้นอยู่ตรงที่นโยบายเผยแผ่กับทั้งวิธีการเผยแผ่เท่านั้น
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือคุณภาพของศาสนิกชนเป็นจุดสำคัญ แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานถือปริมาณเป็นจุดสำคัญ คือเขาถือว่า เมื่อมีปริมาณมากแล้ว คุณภาพก็ค่อยๆตามมาด้วยการอบรมบ่มนิสัยได้ ฉะนั้น ฝ่ายมหายานจึงบัญญัติพิธีกรรมและจารีตแบบแผนต่างๆชนิดที่ฝ่ายเถรวาทไม่มีขึ้น เพื่อให้เป็นอุปายโกศลชักจูงประชาชนให้มาเลื่อมใส และมีการลดหย่อนพระวินัยได้ตามกาลเทศะ
อุดมคติของฝ่ายมหายาน สอนให้ทุกคนบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อที่จะได้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลกได้กว้างขวาง พระโพธิสัตว์หมายถึงผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งในฝ่ายเถรวาทก็รับรอง แต่ฝ่ายมหายานหยิบยกเอาเรื่องพระโพธิสัตว์ขึ้นมาเน้นเป็นพิเศษ ฝ่ายเถรวาทประกาศเรื่องหลักอริยสัจ๔เป็นสำคัญ แต่ฝ่ายมหายานประกาศเรื่องทศบารมีเป็นสำคัญ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฝ่ายเถรวาทจะไม่มีเรื่องทศบารมี หรือฝ่ายมหายานจะไม่มีหลักอริยสัจก็หาไม่ เป็นเพียงแต่ว่า ต่างฝ่ายต่างหยิบเอาหลักธรรมทั้ง๒มายกขึ้นเป็นจุดเด่นสำคัญเหมือนหลักธรรมข้ออื่นๆ ที่มีอยู่เท่านั้น
อนึ่ง หลักทศบารมีฝ่ายมหายานได้ย่อลงมาเหลือบารมี๖ คือ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา ทานกับศีลเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โลภะ ขันติกับวิริยะเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โทสะ ฌานกับปัญญาเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โมหะ พระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญบารมี๖ให้สมบูรณ์ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ ๓ ข้อใหญ่คือ
๑.มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
๒.มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
๓.มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจจธรรม
คุณสมบัติทั้ง๓ข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง๒ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผุ้อื่น
อุดมคติของชาวพุทธบริษัทฝ่ายมหายานมี๔ประการดังนี้
๑.เราจะละกิเลสให้หมด
๒.เราจะศึกษาสัจจธรรมให้จบ
๓.เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
๔.เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด
คณาจารย์ผู้ทรงเกียรติคุณของลัทธิมหายานในอินเดีย มีอาทิเช่นท่านคุรุนาคารชุน ผู้มีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่๗ ร่วมรัชสมัยพระเจ้ายัชญศีรเคาตมีบุตร คณาจารย์องค์นี้เป็นผู้สร้างปรัชญามหายานนิกายสุญญวาท โดยใช้ระบบวิภาษวิธี (Dialectic Method) ในการอรรถาธิบายทฤษฎีความสัมพันธ์หรือกฎปฏิจจสมุปบาท (Relativity Theory)
ระบบวิภาษวิธีของนิกายสุญญวาท จึงเป็นศิลปะ ในการอภิปรายที่อุดมด้วยหลักตรรกวิทยาทุกกระเบียดทีเดียว ต่อมาในพุทธศตวรรษที่๙ คณาจารย์มหายานที่สำคัญมีอีก๒ท่าน เป็นพี่น้องร่วมกันคือท่านคุรุอสังคะและคุรุวสุพันธุ ผู้ให้กำเนิดปรัชญามหายาน นิกายวิชญาณวาท ซึ่งถือว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพมายาซึ่งสะท้อนเงาออกไปจากจิตภายใน นับเป็นปรัชญามหายานฝ่ายมโนภาพนิยม(Idealism) มหายานอีกนิกายหนึ่งซึ่งสอนลัทธิสมบูรณนิยม สอนว่ามีภาวะสมบูรณ์จริงแท้เป็นรากฐานของสากลจักรวาล ภาวะนี้เรียกว่า ภูตตถตา ซึ่งตรงกับจิตสากล (Universal Mind) นั้นเอง
ดังนั้น เราจึงสรุปได้ว่า ปรัชญาของลัทธิมหายานมี๓สาขาใหญ่คือ
๑.ปรัชญานิกายสุญญวาท
๒.ปรัชญานิกายวิชญาณวาท
๓.ปรัชญานิกายภูตตถตาวาท หรือจิตสากล
นี่เป็นเรื่องของลัทธิปรัชญา ส่วนในเรื่องการปฏิบัติคงปฏิบัติเหมือนกันคือ การบำเพ็ญบารมี๖ มีคุณสมบัติ๓ และมุ่งในอุดมคติ๔ประการ ดังได้กล่าวมาแล้ว"
(หมดข้อความที่ยกมา)
อนึ่ง ยังมีข้อสำคัญในความแตกต่างทางทัศนะระหว่างเถรวาทกับมหายาน คือทัศนะต่อองค์พระพุทธเจ้า ทั้ง๒ฝ่ายหาได้เห็นตรงกันไม่ พระพุทธองค์ในทัศนะของฝ่ายเถรวาท คือมนุษย์ผู้ซึ่งได้เพียรบำเพ็ญความดีจนได้ตรัสรู้หลุดพ้นจากมวลทุกข์มวลกิเลส แต่พระสรีระของพระองค์ยังคงเหมือนชนธรรมดา คือยังเป็นวิบากขันธ์ มีความรู้สึกเย็นร้อนและทรุดโทรมแตกสลายไปได้ ส่วนเมื่อพระสรีระแตกสลายไปแล้ว อะไรที่เหลืออยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังพระพุทธปรินิพพานแล้ว ภาวะของพระองค์เป็นฉันใด ฝ่ายเถรวาทไม่กล่าวถึงเพราะถือว่าพ้นจากบัญญัติเสียแล้ว เหมือนกองไฟที่สิ้นเชื้อแล้วดับไป ไม่อาจพยากรณ์ว่าไฟที่ดับไปแล้วไปอยู่ ณ ทิศใด แต่ฝ่ายมหายานมีทัศนะว่า พระพุทธองค์นั้น โดยแท้จริงมีสภาวะเป็นอกาละ อนันตะ แต่โดยมหากรุณาจึงทรงสำแดงพระองค์ในภาวะต่างๆ ปรากฏให้เห็นในโลกทั้งปวงเพื่อโปรดสัตว์ ส่วนคำว่าสุญญตาซึ่งพบมากในพระสูตรนี้เป็นคำที่ฝ่ายมหายานนิยมใช้แพร่หลายมากที่สุด สุญญตากับอนัตตาความจริงก็มีความหมายใกล้เคียงกัน กล่าวคือเป็นคำปฏิเสธสภาวะซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ด้วยตัวมันเอง เพราะในทัศนะของมหายาน สรรพสิ่งซึ่งปรากฏแก่เราล้วนเป็นปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้งสิ้น สุญญตามิได้หมายว่าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยเหมือนอากาศ แต่หมายเพียงว่ามีสภาวะดำรงอยู่ได้โดยตัวของมันเอง ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัย แต่ปัจจัยธรรมซึ่งอาศัยกันเป็นภาพมายา มีอยู่ปรากฏอยู่ มิใช่ว่าจะไม่มีอะไรๆไปเสียทั้งหมด ฝ่ายมหายานอธิบายว่า โลกกับพระนิพพาน ความจริงไม่ใช่อันเดียวกันหรือแตกต่างกัน
กล่าวคือโลกเป็นปฏิจจสมุปบาท ความดับปฏิจจสมุปบาทนั้นเสียได้ ก็คือพระนิพพาน ฉะนั้น ทั้งโลกและพระนิพพานจึงเป็นสุญญตาคือไม่ใช่เป็นสภาวะ และเมื่อสภาวะไม่มีเสียแล้ว อภาวะก็พลอยไม่มีไปด้วย เพราะมีสภาวะจึงมีอภาวะเป็นของคู่กัน ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นสภาวะ ผู้นั้นเป็นสัสสตทิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นอภาวะเล่า ผู้นั้นก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโดยสมมติสัจจะ ธรรมทั้งปวงเป็นปฏิจจสมุปบาท และโดยปรมัตถสัจจะ ธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตาไซร้ ผู้นั้นแลได้ชื่อว่าผู้มีสัมมาทิฏฐิโดยแท้ ที่ว่ามานี้เป็นมติของพระนาคารชุนผู้เป็นต้นนิกายสุญญวาท มหายานนิกายอื่นยังเห็นแตกต่างกันไปอีก อย่างไรก็ดี ขอท่านผู้ศึกษาพระสูตรนี้ ในข้อที่ว่าด้วยสุญญตา โปรดเข้าใจถือเอาอรรถาธิบายของพระนาคารชุนเป็นปทัสถาน และโปรดได้พิจารณาข้อความอื่นๆในพระสูตรนี้ให้ละเอียด จะเห็นได้ว่า เมื่อท่านวิมลเกียรติแสดงเรื่องสุญญตาอันเป็นปรมัตถธรรมแล้ว ท่านจะต้องแสดงสมมติธรรมหรือโลกิยสัจจะด้วย มิใช่ว่าท่านปฏิเสธสมมติสัจจะอย่างเช่นพวกอุจเฉททิฏฐิ อกิริยทิฏฐิและนัตถิกทิฏฐิ ซึ่งเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระพุทธศาสนา
ข้อที่ควรสังเกตข้อหนึ่งเกี่ยวกับบุคคลิกลักษณะและปฏิปทาของท่านวิมลเกียรติ มีส่วนคล้ายคลึงกับท่านจิตตคฤหบดี ในปกรณ์ฝ่ายบาลีมาก ท่านจิตตคฤหบดีเป็นชาวมัจฉิกาสัณฑนคร ได้บรรลุอนาคามิผล มีปัญญาปฏิภาณแตกฉานในอรรถธรรม ได้รับยกย่องเป็นอุบาสกผู้เลิศในทางแสดงธรรม ท่านชอบสนทนาปัญหาธรรมที่สุขุมลุ่มลึกกับพระเถรานุเถรเสมอ ในบาลีสังยุตตนิกายรวบรวมเรื่องราวข้อสนทนาธรรมของท่านไว้หมวดหนึ่ง เรียกว่าจิตตคฤหบดีปุจฉาสังยุต จะเป็นไปได้หรือไม่ที่วรรณิกฝ่ายมหายานได้ความคิดจากปฏิปทาของท่านจิตตคฤหบดีไปขยายเป็นบุคคลใหม่ขึ้นอีกท่านหนึ่ง คือท่านวิมลเกียรติ
สำหรับประวัติความเป็นมาของพระสูตรนี้ พอจะกล่าวได้ว่าพระสูตรนี้มีกำเนิดราวปลายพุทธศตวรรษที่๕ เมื่อพระนาคารชุนรจนาอรรถกถามหาปรัชญาปารมิตาสูตร ก็ได้อ้างข้อความในวิมลเกียรตินิทเทสสูตรนี้หลายตอน เป็นที่น่าเสียดายว่า ต้นฉบับสันสกฤตของพระสูตรนี้ ปัจจุบันหายสาบสูญค้นหาไม่พบ แม้ในคัมภีร์ศึกษาสมุจจัยของ พระสันติเทวะ (รจนาในราวพุทธศตวรรษที่๑๓) ได้ยกข้อความในพระสูตรนี้มาอ้างไว้มากแห่ง ทำให้เราสามารถเห็นเค้าโครงพระสูตรนี้ในรูปภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่พระสูตรนี้ทั้งสูตร
อย่างไรก็ดี เป็นโชคดีของวรรณคดีพระพุทธศาสนามหายานที่ได้มีผู้แปลถ่ายทอดรักษาไว้ในพากย์จีนพากย์ธิเบตครั้งบุราณกาล เฉพาะวิมลเกียรตินิทเทสสูตรในพากย์จีนแปลกันไว้ถึง ๗ สำนวนด้วยกัน แต่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันเพียง๓สำนวนเท่านั้น คือ
๑.ฉบับแปลของอุบาสกจีเหลียน ในพุทธศตวรรษที่๗
๒.ฉบับแปลของพระกุมารชีพ ในพุทธศตวรรษที่๙
๓.ฉบับแปลของพระสมณะเฮี่ยงจัง ในพุทธศตวรรษที่๑๑
ข้าพเจ้าได้ถือเอาฉบับแปลของพระกุมารชีพเป็นปทัสถาน เพราะท่านแปลด้วยสำนวนโวหารไพเราะ จนถือกันว่าเป็นวรรณคดีจีนชั้นสูง ในการแปลออกมาในพากย์ไทยนี้ เฉพาะปริเฉทที่๑ และที่๒ แปลเอาแต่ใจความสำคัญ ปริจเฉทที่สำคัญเกี่ยวกับปรมัตถธรรม ได้แปลครบถ้วนตามต้นฉบับ บางปริจเฉทเช่นสาวกปริจเฉทเป็นต้น บางตอนได้ย่นย่อลงบ้าง แต่ก็มิได้ทำให้เสียความอย่างไร ที่ใดย่นย่อตัดรัด ข้าพเจ้าได้ทำเครื่องหมายฯลฯ นี้ไว้ให้เป็นที่สังเกต และวิธีการแปลได้ถือเอาอรรถรสเป็นสำคัญ ข้าพเจ้าจึงใช้คำแปลเรียบเรียง ข้าพเจ้าได้แปลลงพิมพ์ในนิตยสารธรรมจักษุเป็นตอนๆ เริ่มลงพิมพ์ปลายปี พ.ศ.๒๕๐๔ มาจนบัดนี้เป็นเวลาร่วม๒ปี
เสถียร โพธินันทะ
๑๐มิถุนายน๒๕๐๖
พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศ
กถามุขวิมลเกียรตินิรเทศสูตร (๑๔ ปริเฉท)
ขอขอบคุณคุณพี่พีช ซึ่งเป็นผู้ที่พิมพ์พระสูตรนี้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อผิดผลาดใดที่เกิดขึ้นต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย พระสูตรนี้มี ๑๔ ปริเฉทดังนี้คือ
ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค
ปริเฉทที่ ๒ อุปายโกศลวรรค
ปริเฉทที่ ๓ สาวกวรรค
ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตววรรค
ปริเฉทที่ ๕ คิลานปุจฉาวรรค
ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค
ปริเฉทที่ ๗ สรรพสัตว์วิทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๘ พุทธภูมิวรรค
ปริเฉทที่ ๙ อไทฺวตธรรมทวาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๐ สุคันโธปจิตพุทธวรรค
ปริเฉทที่ ๑๑ โพธิสัตว์จริยาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๒ อักโษภยะพุทธเกษตรทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติบูชาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค
กถามุข
ในพระสุตตันตปิฎกของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน วิมลเกียรตินิทเทสสูตร (ยุ่ย ม่อ เคียก ซอ ส้วย เก็ง) นับว่าเป็นพระสูตรสำคัญยิ่งสูตรหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องด้วยพระสูตรนี้ได้รวบรวมสารัตถะของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไว้ ทั้งด้านปรมัตถธรรมและสมมติธรรม ทั้งยังแสดงถ่ายทอดออกมาด้วยรูปปุคคลาธิษฐาน มีลีลาชวนอ่านให้เกิดความเพลิดเพลิน พร้อมทั้งได้รับธรรมรสซึมซาบเข้าไปโดยมิรู้ตัว พระสูตรนี้ไม่ปรากฏมีในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี แต่ความข้อนี้มิได้เป็นเหตุให้เราผู้เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทปฏิเสธคุณค่าของพระสูตรนี้แต่อย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากหลักธรรมที่ประกาศในพระสูตรนี้ ก็คงดำเนินไปตามแนวพระพุทธมติ คือในเรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง แม้จะมีข้อแตกต่างบางประการก็เป็นเรื่องปลีกย่อยและเป็นสิ่งธรรมดาที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น มิฉะนั้นก็คงไม่เกิดนิกายมหายานขึ้น ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างในนิกายนั้นจะเหมือนกับฝ่ายเถรวาท
พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีอุดมคติและประวัติวิวัฒนาการมาอย่างไร ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับท่านผู้อ่านพระสูตรนี้จำต้องทราบไว้เป็นพื้นฐานเสียก่อน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสคัดข้อความบางตอนในปาฐกถาของข้าพเจ้า เรื่อง "ลัทธิมหายาน" ซึ่งแสดงแก่คณะนักศึกษาศิลปศาสตร์ ในหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาไว้ ณ ที่นี้ เพื่อ เป็นนิทัศนะ
"ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ศาสนาทุกศาสนาในโลก จะต้องมีคณะนิกายแบ่งแยกออกมาภายหลังที่พระศาสดาของศาสนานั้นล่วงลับไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะเมื่อศาสนานั้นแผ่ขยายออกไปตามท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อถือไม่เหมือนกัน ก็มีการผสมผสานกับลัทธิธรรมเนียมเหล่านั้น อีกทั้งทัศนะการตีความในคำสอนของศาสดาของแต่ละบุคคล แต่ละคณะไม่ตรงกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดแบ่งแยกเป็นนิกายขึ้น ศาสนาที่มีลัทธินิกายจึงเป็นสัญญลักษณ์ของความเจริญแห่งศาสนานั้นในแง่หนึ่งเหมือนกัน ว่ากันเฉพาะในพระพุทธศาสนาได้เริ่มแบ่งแยกนิกายขึ้นครั้งแรกในสมัยพุทธศตวรรษที่๑ ต่อมาถึงพุทธศตวรรษที่๔ ปรากฏว่ามีนิกายในพระพุทธศาสนาที่เป็นนิกายใหญ่ๆอยู่๑๘นิกาย นิกายที่สำคัญ คือนิกายมหาสังฆิกะกับนิกายเถรวาท มูลเหตุของการแตกแยก มีสมุฏฐานจากความขัดแย้งในทางปฏิบัติพระวินัยและคำอธิบายในพระพุทธวจนะไม่ตรงกัน สงฆ์ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรแก้ไขผ่อนปรนในการปฏิบัติวินัยบางข้อ โดยอ้างพระพุทธานุญาตที่มีไว้กับพระอานนท์ในสมัยจวนดับขันธปรินิพพานว่า
"ดูก่อนอานนท์ ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็ให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้"
สงฆ์อีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นพ้องด้วย โดยอ้างเหตุผลว่า คำว่าสิกขาบทเล็กน้อย ไม่อาจทราบพระพุทธประสงค์ได้ว่า หมายความถึงสิกขาบทข้อไหน พระอานนท์เองก็มิได้ทูลถามให้ชัดเจนว่า ได้แก่สิกขาบทหมวดไหน ฉะนั้น อย่าเพิกถอนสิกขาบททั้งหมดเลยแหละดี ควรจะรักษาเอาไว้ทุกข้ออย่างเคร่งครัด
อีกประการหนึ่ง การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะนั้น ย่อมอาศัยอาจารย์เป็นผู้สั่งสอนอธิบาย อาจารย์กับอาจารย์ด้วยกันเกิดมีทัศนะอรรถาธิบายพระพุทธมติไม่ตรงกัน ก็เป็นสาเหตุอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เกิดแบ่งแยกกันออกไป สงฆ์ฝ่ายนิกายมหาสังฆิกะ เป็นพวกที่ต้องการแก้ไขผ่อนปรนในการปฏิบัติพระวินัย และถืออรรถาธิบายพระพุทธวจนะของพระอาจารย์เป็นใหญ่ สงฆ์ฝ่ายเถรวาทถือเคร่งครัดในการรักษาจารีตแบบแผนดังเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเป็นหลักใหญ่
สรุปแล้วก็คือ
๑.เพราะการปฏิบัติพระวินัยไม่สม่ำเสมอเหมือนกัน เรียกว่าความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา
๒.เพราะทัศนะในหลักธรรม อธิบายไม่ตรงกัน เรียกว่าความวิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตา
ทั้ง๒ประการนี้เป็นสมุฏฐานให้แบ่งเป็นนิกายขึ้น
จำเดิมแต่พระพุทธศาสนาในอินเดียได้แบ่งออกเป็นนิกายถึง๑๘นิกายใหญ่ จำเนียรกาลล่วงมาในรารวต้นพุทธศตวรรษที่๕ จึงได้เกิดมีขบวนการใหม่ขึ้นอีกขบวนการหนึ่งในพระพุทธศาสนา ขบวนการนี้เรียกตนเองว่า ลัทธิมหายาน ลัทธินี้ค่อยๆฟักตัวเองขึ้นมาจากนิกายมหาสังฆิกะ ผสมผสานกับปรัชญาของนิกายพระพุทธศาสนาอื่นๆ ทั้ง๑๘นิกาย รวมทั้งนิกายเถรวาทด้วย ก่อกำเนิดขึ้นเป็นลัทธิมหายาน
คำว่า มหายาน มาจากธาตุศัพท์ มหา+ยาน แปลว่าพาหนะที่กว้างขวางใหญ่โตซึ่งสามารถขน สัตว์โลก ให้ข้ามวัฏฏสงสารได้มาก หลักธรรมของนิกายนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนิกายเถรวาท คือสอนเรื่องอริยสัจ และมีข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือความหลุดพ้นทุกข์ แต่ส่วนที่แตกต่างกันนั้นอยู่ตรงที่นโยบายเผยแผ่กับทั้งวิธีการเผยแผ่เท่านั้น
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ถือคุณภาพของศาสนิกชนเป็นจุดสำคัญ แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานถือปริมาณเป็นจุดสำคัญ คือเขาถือว่า เมื่อมีปริมาณมากแล้ว คุณภาพก็ค่อยๆตามมาด้วยการอบรมบ่มนิสัยได้ ฉะนั้น ฝ่ายมหายานจึงบัญญัติพิธีกรรมและจารีตแบบแผนต่างๆชนิดที่ฝ่ายเถรวาทไม่มีขึ้น เพื่อให้เป็นอุปายโกศลชักจูงประชาชนให้มาเลื่อมใส และมีการลดหย่อนพระวินัยได้ตามกาลเทศะ
อุดมคติของฝ่ายมหายาน สอนให้ทุกคนบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อที่จะได้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลกได้กว้างขวาง พระโพธิสัตว์หมายถึงผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งในฝ่ายเถรวาทก็รับรอง แต่ฝ่ายมหายานหยิบยกเอาเรื่องพระโพธิสัตว์ขึ้นมาเน้นเป็นพิเศษ ฝ่ายเถรวาทประกาศเรื่องหลักอริยสัจ๔เป็นสำคัญ แต่ฝ่ายมหายานประกาศเรื่องทศบารมีเป็นสำคัญ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฝ่ายเถรวาทจะไม่มีเรื่องทศบารมี หรือฝ่ายมหายานจะไม่มีหลักอริยสัจก็หาไม่ เป็นเพียงแต่ว่า ต่างฝ่ายต่างหยิบเอาหลักธรรมทั้ง๒มายกขึ้นเป็นจุดเด่นสำคัญเหมือนหลักธรรมข้ออื่นๆ ที่มีอยู่เท่านั้น
อนึ่ง หลักทศบารมีฝ่ายมหายานได้ย่อลงมาเหลือบารมี๖ คือ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา ทานกับศีลเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โลภะ ขันติกับวิริยะเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โทสะ ฌานกับปัญญาเป็นคู่ปรับทำลายกิเลสคือ โมหะ พระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญบารมี๖ให้สมบูรณ์ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ ๓ ข้อใหญ่คือ
๑.มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
๒.มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
๓.มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจจธรรม
คุณสมบัติทั้ง๓ข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง๒ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผุ้อื่น
อุดมคติของชาวพุทธบริษัทฝ่ายมหายานมี๔ประการดังนี้
๑.เราจะละกิเลสให้หมด
๒.เราจะศึกษาสัจจธรรมให้จบ
๓.เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
๔.เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด
คณาจารย์ผู้ทรงเกียรติคุณของลัทธิมหายานในอินเดีย มีอาทิเช่นท่านคุรุนาคารชุน ผู้มีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่๗ ร่วมรัชสมัยพระเจ้ายัชญศีรเคาตมีบุตร คณาจารย์องค์นี้เป็นผู้สร้างปรัชญามหายานนิกายสุญญวาท โดยใช้ระบบวิภาษวิธี (Dialectic Method) ในการอรรถาธิบายทฤษฎีความสัมพันธ์หรือกฎปฏิจจสมุปบาท (Relativity Theory)
ระบบวิภาษวิธีของนิกายสุญญวาท จึงเป็นศิลปะ ในการอภิปรายที่อุดมด้วยหลักตรรกวิทยาทุกกระเบียดทีเดียว ต่อมาในพุทธศตวรรษที่๙ คณาจารย์มหายานที่สำคัญมีอีก๒ท่าน เป็นพี่น้องร่วมกันคือท่านคุรุอสังคะและคุรุวสุพันธุ ผู้ให้กำเนิดปรัชญามหายาน นิกายวิชญาณวาท ซึ่งถือว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นภาพมายาซึ่งสะท้อนเงาออกไปจากจิตภายใน นับเป็นปรัชญามหายานฝ่ายมโนภาพนิยม(Idealism) มหายานอีกนิกายหนึ่งซึ่งสอนลัทธิสมบูรณนิยม สอนว่ามีภาวะสมบูรณ์จริงแท้เป็นรากฐานของสากลจักรวาล ภาวะนี้เรียกว่า ภูตตถตา ซึ่งตรงกับจิตสากล (Universal Mind) นั้นเอง
ดังนั้น เราจึงสรุปได้ว่า ปรัชญาของลัทธิมหายานมี๓สาขาใหญ่คือ
๑.ปรัชญานิกายสุญญวาท
๒.ปรัชญานิกายวิชญาณวาท
๓.ปรัชญานิกายภูตตถตาวาท หรือจิตสากล
นี่เป็นเรื่องของลัทธิปรัชญา ส่วนในเรื่องการปฏิบัติคงปฏิบัติเหมือนกันคือ การบำเพ็ญบารมี๖ มีคุณสมบัติ๓ และมุ่งในอุดมคติ๔ประการ ดังได้กล่าวมาแล้ว"
(หมดข้อความที่ยกมา)
อนึ่ง ยังมีข้อสำคัญในความแตกต่างทางทัศนะระหว่างเถรวาทกับมหายาน คือทัศนะต่อองค์พระพุทธเจ้า ทั้ง๒ฝ่ายหาได้เห็นตรงกันไม่ พระพุทธองค์ในทัศนะของฝ่ายเถรวาท คือมนุษย์ผู้ซึ่งได้เพียรบำเพ็ญความดีจนได้ตรัสรู้หลุดพ้นจากมวลทุกข์มวลกิเลส แต่พระสรีระของพระองค์ยังคงเหมือนชนธรรมดา คือยังเป็นวิบากขันธ์ มีความรู้สึกเย็นร้อนและทรุดโทรมแตกสลายไปได้ ส่วนเมื่อพระสรีระแตกสลายไปแล้ว อะไรที่เหลืออยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังพระพุทธปรินิพพานแล้ว ภาวะของพระองค์เป็นฉันใด ฝ่ายเถรวาทไม่กล่าวถึงเพราะถือว่าพ้นจากบัญญัติเสียแล้ว เหมือนกองไฟที่สิ้นเชื้อแล้วดับไป ไม่อาจพยากรณ์ว่าไฟที่ดับไปแล้วไปอยู่ ณ ทิศใด แต่ฝ่ายมหายานมีทัศนะว่า พระพุทธองค์นั้น โดยแท้จริงมีสภาวะเป็นอกาละ อนันตะ แต่โดยมหากรุณาจึงทรงสำแดงพระองค์ในภาวะต่างๆ ปรากฏให้เห็นในโลกทั้งปวงเพื่อโปรดสัตว์ ส่วนคำว่าสุญญตาซึ่งพบมากในพระสูตรนี้เป็นคำที่ฝ่ายมหายานนิยมใช้แพร่หลายมากที่สุด สุญญตากับอนัตตาความจริงก็มีความหมายใกล้เคียงกัน กล่าวคือเป็นคำปฏิเสธสภาวะซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ด้วยตัวมันเอง เพราะในทัศนะของมหายาน สรรพสิ่งซึ่งปรากฏแก่เราล้วนเป็นปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้งสิ้น สุญญตามิได้หมายว่าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยเหมือนอากาศ แต่หมายเพียงว่ามีสภาวะดำรงอยู่ได้โดยตัวของมันเอง ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัย แต่ปัจจัยธรรมซึ่งอาศัยกันเป็นภาพมายา มีอยู่ปรากฏอยู่ มิใช่ว่าจะไม่มีอะไรๆไปเสียทั้งหมด ฝ่ายมหายานอธิบายว่า โลกกับพระนิพพาน ความจริงไม่ใช่อันเดียวกันหรือแตกต่างกัน
กล่าวคือโลกเป็นปฏิจจสมุปบาท ความดับปฏิจจสมุปบาทนั้นเสียได้ ก็คือพระนิพพาน ฉะนั้น ทั้งโลกและพระนิพพานจึงเป็นสุญญตาคือไม่ใช่เป็นสภาวะ และเมื่อสภาวะไม่มีเสียแล้ว อภาวะก็พลอยไม่มีไปด้วย เพราะมีสภาวะจึงมีอภาวะเป็นของคู่กัน ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นสภาวะ ผู้นั้นเป็นสัสสตทิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นอภาวะเล่า ผู้นั้นก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโดยสมมติสัจจะ ธรรมทั้งปวงเป็นปฏิจจสมุปบาท และโดยปรมัตถสัจจะ ธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตาไซร้ ผู้นั้นแลได้ชื่อว่าผู้มีสัมมาทิฏฐิโดยแท้ ที่ว่ามานี้เป็นมติของพระนาคารชุนผู้เป็นต้นนิกายสุญญวาท มหายานนิกายอื่นยังเห็นแตกต่างกันไปอีก อย่างไรก็ดี ขอท่านผู้ศึกษาพระสูตรนี้ ในข้อที่ว่าด้วยสุญญตา โปรดเข้าใจถือเอาอรรถาธิบายของพระนาคารชุนเป็นปทัสถาน และโปรดได้พิจารณาข้อความอื่นๆในพระสูตรนี้ให้ละเอียด จะเห็นได้ว่า เมื่อท่านวิมลเกียรติแสดงเรื่องสุญญตาอันเป็นปรมัตถธรรมแล้ว ท่านจะต้องแสดงสมมติธรรมหรือโลกิยสัจจะด้วย มิใช่ว่าท่านปฏิเสธสมมติสัจจะอย่างเช่นพวกอุจเฉททิฏฐิ อกิริยทิฏฐิและนัตถิกทิฏฐิ ซึ่งเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระพุทธศาสนา
ข้อที่ควรสังเกตข้อหนึ่งเกี่ยวกับบุคคลิกลักษณะและปฏิปทาของท่านวิมลเกียรติ มีส่วนคล้ายคลึงกับท่านจิตตคฤหบดี ในปกรณ์ฝ่ายบาลีมาก ท่านจิตตคฤหบดีเป็นชาวมัจฉิกาสัณฑนคร ได้บรรลุอนาคามิผล มีปัญญาปฏิภาณแตกฉานในอรรถธรรม ได้รับยกย่องเป็นอุบาสกผู้เลิศในทางแสดงธรรม ท่านชอบสนทนาปัญหาธรรมที่สุขุมลุ่มลึกกับพระเถรานุเถรเสมอ ในบาลีสังยุตตนิกายรวบรวมเรื่องราวข้อสนทนาธรรมของท่านไว้หมวดหนึ่ง เรียกว่าจิตตคฤหบดีปุจฉาสังยุต จะเป็นไปได้หรือไม่ที่วรรณิกฝ่ายมหายานได้ความคิดจากปฏิปทาของท่านจิตตคฤหบดีไปขยายเป็นบุคคลใหม่ขึ้นอีกท่านหนึ่ง คือท่านวิมลเกียรติ
สำหรับประวัติความเป็นมาของพระสูตรนี้ พอจะกล่าวได้ว่าพระสูตรนี้มีกำเนิดราวปลายพุทธศตวรรษที่๕ เมื่อพระนาคารชุนรจนาอรรถกถามหาปรัชญาปารมิตาสูตร ก็ได้อ้างข้อความในวิมลเกียรตินิทเทสสูตรนี้หลายตอน เป็นที่น่าเสียดายว่า ต้นฉบับสันสกฤตของพระสูตรนี้ ปัจจุบันหายสาบสูญค้นหาไม่พบ แม้ในคัมภีร์ศึกษาสมุจจัยของ พระสันติเทวะ (รจนาในราวพุทธศตวรรษที่๑๓) ได้ยกข้อความในพระสูตรนี้มาอ้างไว้มากแห่ง ทำให้เราสามารถเห็นเค้าโครงพระสูตรนี้ในรูปภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่พระสูตรนี้ทั้งสูตร
อย่างไรก็ดี เป็นโชคดีของวรรณคดีพระพุทธศาสนามหายานที่ได้มีผู้แปลถ่ายทอดรักษาไว้ในพากย์จีนพากย์ธิเบตครั้งบุราณกาล เฉพาะวิมลเกียรตินิทเทสสูตรในพากย์จีนแปลกันไว้ถึง ๗ สำนวนด้วยกัน แต่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันเพียง๓สำนวนเท่านั้น คือ
๑.ฉบับแปลของอุบาสกจีเหลียน ในพุทธศตวรรษที่๗
๒.ฉบับแปลของพระกุมารชีพ ในพุทธศตวรรษที่๙
๓.ฉบับแปลของพระสมณะเฮี่ยงจัง ในพุทธศตวรรษที่๑๑
ข้าพเจ้าได้ถือเอาฉบับแปลของพระกุมารชีพเป็นปทัสถาน เพราะท่านแปลด้วยสำนวนโวหารไพเราะ จนถือกันว่าเป็นวรรณคดีจีนชั้นสูง ในการแปลออกมาในพากย์ไทยนี้ เฉพาะปริเฉทที่๑ และที่๒ แปลเอาแต่ใจความสำคัญ ปริจเฉทที่สำคัญเกี่ยวกับปรมัตถธรรม ได้แปลครบถ้วนตามต้นฉบับ บางปริจเฉทเช่นสาวกปริจเฉทเป็นต้น บางตอนได้ย่นย่อลงบ้าง แต่ก็มิได้ทำให้เสียความอย่างไร ที่ใดย่นย่อตัดรัด ข้าพเจ้าได้ทำเครื่องหมายฯลฯ นี้ไว้ให้เป็นที่สังเกต และวิธีการแปลได้ถือเอาอรรถรสเป็นสำคัญ ข้าพเจ้าจึงใช้คำแปลเรียบเรียง ข้าพเจ้าได้แปลลงพิมพ์ในนิตยสารธรรมจักษุเป็นตอนๆ เริ่มลงพิมพ์ปลายปี พ.ศ.๒๕๐๔ มาจนบัดนี้เป็นเวลาร่วม๒ปี
เสถียร โพธินันทะ
๑๐มิถุนายน๒๕๐๖
ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค
ปริเฉทที่ ๑
พระพุทธเกษตรวรรค
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ ณ สวนอัมพปาลีวัน ณ กรุงเวสาลี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์อีก ๓๒,๐๐๐ องค์ ซึ่งแต่ละองค์ล้วนเป็นผู้มีเกียรติคุณอันประชุมชนรู้จักดี ถึงพร้อมแล้วด้วยมหาปรัชญาและมูลจริยา มีทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา และอุปายะพละ มีความบริสุทธิ์หมดจด หลุดพ้นจากสังโยชนธรรม เป็นผู้แสดงพระสัทธรรมต่อสรรพสัตว์ สืบพระพุทธศาสนายุกาลให้ยั่งยืน ฯลฯ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ มีอาทิเช่นพระสมาธิอิศวรราชาโพธิสัตว์ พระธรรมอิศวรราชาโพธิสัตว์ พระธรรมลักษณะโพธิสัตว์ พระประภาลักษณะโพธิสัตว์ พระประภาลังการโพธิสัตว์ พระมหาลังการโพธิสัตว์ พระรัตนกูฏโพธิสัตว์ พระรัตนากรโพธิสัตว์ พระปีติอินทรีย์โพธิสัตว์ พระอากาศครรภ์โพธิสัตว์ พระวิทยชาลโพธิสัตว์ พระคันธหัสดินทร์โพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ พระสุวรรณจุฬาโพธิสัตว์ พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ผู้ธรรมราชาบุตรเป็นต้น อนึ่ง ยังมีพระพรหมและทวยเทพ นาค ยักษ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคอีกจำนวนมาก พร้อมทั้งพุทธบริษัท ๔ อีกจำนวนมาก ต่างมาประชุมเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อสดับพระสัทธรรม
ก็โดยสมัยนั้นแล ณ กรุงเวสาลี มีบุตรคฤหบดีผู้หนึ่งชื่อ รัตนกูฏพร้อมกับบุตรคฤหบดีอื่น ๆ อีกจำนวน๕๐๐ คน ต่างถือเอาฉัตรอันประกอบด้วยสัปตรัตนะ ชวนกันมาเฝ้าพระบรมศาสดา อภิวาทน์พระบาททั้ง ๒ ของพระองค์แล้ว ต่างก็น้อมฉัตรเข้าไปถวาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้ฉัตรทั้งปวงรวมกันเข้าเป็นฉัตรคันเดียว แลร่มเงาแห่งฉัตรนั้น ก็ปกคลุมไปทั่วมหาตรีสหัสสโลกธาตุสิ่งต่าง ๆ มีภูเขา แม่น้ำ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ตลอดจนพุทธเกษตรต่าง ๆ ซึ่งมีพระพุทธเจ้ากำลังแสดงพระสัทธรรมอยู่ ก็มาปรากฏอยู่ในฉัตรดังกล่าวนั้น ประชุมชนซึ่งมาเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น ต่างเพ่งทัศนากำลังแห่งพุทธปาฏิหาริย์ด้วยความเลื่อมใส ต่างยกกรขึ้นวันทนา แลดูซึ่งพระพุทธลักษณะอยู่โดยมิเคลื่อนคลา และบุตรคฤหบดีผู้ชื่อว่ารัตนกูฏได้กล่าวสดุดีกถาด้วยถ้อยคำอันพรรณนาพระพุทธคุณอันเป็นอเนก จบลงแล้วจึงทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุตรคฤหบดีทั้ง ๕๐๐ คนนี้ ล้วนแต่ตั้งจิตมุ่งต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว ต่างปรารถนาใคร่สดับเรื่องวิสุทธิพุทธเกษตร ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงจริยาของปวงพระโพธิสัตว์เพื่อยังวิสุทธิภูมิให้สำเร็จเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระราชดำรัสว่า “ ดีละ รัตนกูฏ ! ในการที่เธอสามารถถามตถาคตถึงจริยาอันให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตร เพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เธอพึงสำเหนียกและมีโยนิโสมนสิการให้ดี เราจักแสดงแก่เธอ ณ บัดนี้”
ครั้งนั้นแล รัตนกูฏพร้อมทั้งบุตรคฤหบดีอีก ๕๐๐ คนต่างก็ตั้งจิตหยั่งลงพร้อมที่จักรับพระสัทธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
“ดูก่อนรัตรกูฏ ในสรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นแล ชื่อว่าเป็นวิสุทธิเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใดพระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง รัตนกูฏ ! เธอพึงสำเหนียกว่า จิตที่ตั้งไว้ถูกตรงนั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งปราศจากมายาความหลอกลวง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น จิตที่ลึกซึ้งนั้นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกุศลคุณ บ่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น โพธิจิต นั้นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิเหล่าสัตว์ซึ่งเป็นมหายานิกบุคคล ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การบำเพ็ญทาน นั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมาจาคธรรม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การรักษาศีล นั้นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งบำเพ็ญกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ได้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ขันติ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งรุ่งเรืองด้วยทวัตติงสาลังการ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น วิริยะ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิเหล่าสัตว์ผู้มีความบากบั่นพากเพียรในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฌานสมาธิ นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพรนะโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสำรวมจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ปัญญา นั้นแล ชื่อว่าวิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพรนะโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์เที่ยงต่อการตรัสรู้ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฯลฯ.”
ตรัสว่า ในสมัยซึ่งพรนะโพธิสัตว์สำเร็จพระโพธิญาณแล้ว โลกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ย่อมสุขสมบูรณ์ ปราศจากความมัวหมองและเภทภัยกันดารต่าง ๆ แลสรรพสัตว์ในโลกธาตุนั้น ก็บริบูรณ์ด้วยกุศลคุณต่าง ๆ เป็นอเนกประการ แล้วตรัสสรุปว่า
“เพราะฉะนั้นแล รัตนกูฏ ! พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจักบรรลุถึงวิสุทธิเกษตรดังกล่าว ! พึงชำระจิตแห่งตนให้บริสุทธิ์สะอาด เมื่อจิตบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์สะอาดตามไปด้วย.”
ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้าโดยการบันดาลดลแห่งพุทธานุภาพได้บังเกิดปริวิตกอย่างนี้ขึ้นว่า “ถ้าจิตของพระโพธิสัตว์บริสุทธ์พุทธเกษตรก็พลอยบริสุทธิ์ด้วยไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระผู้มีพระภาคของเรา เมื่อยังสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จักมีจิตไม่บริสุทธิ์กระมังหนอ พุทธเกษตรของพระองค์จึงไม่สะอาดหมดจดดั่งประกฎอยู่ ณ บัดนี้ ?”
พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า
“สารีบุตร ! เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน ? บุคคลผู้มีจักษุบอดมองไม่เห็นความสุกสว่างหมดจดแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั้นเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ฤๅหนอ ?”
พระสารีบุตรทูลว่า “หามิได้ข้าแต่พระสุคต เป็นความบกพร่องของบุคคลผู้มีจักษุบอดเอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักมีโทษด้วยก็หาไม่”
ตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร ! เป็นความผิดของสรรพสัตว์เอง ! ที่มองไม่เห็นความบริสุทธิ์สะอาดในโลกธาตุเกษตรแห่งเราตถาคต จักเป็นความผิดของตถาคตด้วยก็หาไม่ สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”
ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
“ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็นความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพฉะนั้น.”
พระสารีบุตรกล่าวว่า “แต่เราเห็นโลกธาตุนี้อุดมไปด้วยขุนเขาหุบเหวสูงต่ำ มีขวากหนามอิฐกรวดดินทราย เต็มไปด้วยความโสมมสกปรก.”
ท้าวสนังพรหมจึงว่า “จิตของท่านผู้เจริญสูงต่ำไม่สม่ำเสมอเองต่างหากเล่า ท่านผู้เจริญ! มิได้อาศัยพุทธปัญญาทัศนาโลกนี้ ฉะนั้นจึงเป็นโลกธาตุนี้ว่าไม่สะอาดหมดจด ข้อแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อันพระโพธิสัตว์ย่อมเห็นสรรพสัตว์โดยความเป็นสมภาพ มีจิตอันลึกซึ้งบริสุทธิ์ อาศัยพุทธปัญญาเป็นเครื่องอยู่ ฉะนั้น จึงสามารถทัศนาความบริสุทธิ์ของโลกธาตุนี้ได้.”
พระผู้มีพระภาค จึงกดนิ้วพระบาทลง ณ ผืนปฐพี ในทันใดนั้น มหาตรีสหัสสโลกธาตุ ก็มีอันเปลี่ยนแปลง ปรากฏเป็นรัตนอลังการนับแสนโกฏิประดับประดาแล้ว ประชุมชนทั้งปวงพากันอุทานด้วยความมหัศจรรย์ว่า
“สิ่งที่ไม่เคยมีก็มีขึ้นแล้วหนอ” ต่างเห็นตนของตนเองนั่งอยู่บนปทุมรัตน์อันเป็นทิพย์
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระสารีบุตรว่า “สารีบุตร! เธอจงทัศนาวิสุทธิคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้เถิด.”
พระสารีบุตรทูลว่า “อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งซึ่งข้อพระองค์มิเคยได้เห็นมาก่อน มิเคยได้ฟังมาก่อน บัดนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วหนอ พุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์หมดจดยิ่งนัก.”
พระบรมศาสดาตรัสว่า “โลกธาตุของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์เป็นปกติอยู่เป็นนิตย์ แต่เพื่อโปรดบรรดาชนผู้มีอินทรีย์ต่ำ ตถาคตจึงสำแดงให้ปรากฏเห็นเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้น เหมือนดังปวงเทพยาดาต่างร่วมเสวยสุทธาโภชน์ในทิพยภาชน์อันเดียว ด้วยอำนาจแห่งบุญสมภารของแต่ละองค์ไม่เสมอกัน ทิพย์โภชน์จึงปรากฏหาคล้ายกันไม่ ฉันใดก็ฉันนั้นนะ สารีบุตร! ถ้าบุคคลมีจิตบริสุทธิ์ไซร้ เขาย่อมเห็นคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้ได้.”
ในกาลซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบันดาล สำแดงความบริสุทธิ์แห่งโลกธาตุอยู่นั้น รัตนกูฏพร้อมด้วยบุตรคฤหบดีอีก ๕๐๕ คน ต่างก็บรรลุธรรมกษานติ และมี ๘,๔๐๐ คนต่างตั้งจิตมุ่งสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรงยังฤทธิ์นั้นให้กลับคืน โลกธาตุจึงปรากฏสภาพของมันดุจเก่า อนึ่ง มีผู้ปรารถนาต่อสาวกภูมิ ๓๒,๐๐๐ คน ทวยเทพและมนุษย์ต่างเห็นชัดว่า สังขารทั้งปวง มีความทนอยู่มิได้ ต้องแปรผันไปเป็นธรรมดา ในดวงตามีธุลีอันไปปราศจากแล้วได้ธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ ภิกษุ ๘,๐๐๐ รูป หมดอาสวกิเลสถึงความหลุดพ้นแล้ว
ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๒ อุปายโกศลวรรค
ปริเฉทที่ ๒
อุปายโกศลวรรค
ในสมัยนั้น ที่กรุงเวสาลี มีคฤหบดีผู้หนึ่ง ชื่อวิมลเกียรติ ณ เบื้องอดีตภาค ท่านได้เคยบูชาสักการะในพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันจักประมาณพระองค์มิได้ ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ มีปฏิภาณอันปราศจากความขัดข้องแลอภิญญา พร้อมทั้งทรงไว้ซึ่งธรรมอรรถ เป็นผู้แกล้วกล้าปราศจากความหวาดกลัว สามารถบำราบมารภัยให้สยบ อนึ่งเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคัมภีร์ธรรม มีปรัชญาอันเป็นคุณชาติให้ถึงฝั่งแห่งภพอันดียิ่งอีกทั้งเป็นผู้รอบรู้ในอุปายโกศลวิธี มีมหาปณิธานอันสำเร็จแล้ว มีญาณแทงทะลุในอธิมุตติแห่งปวงสัตว์ พร้อมทั้งความสามารถในอันจักจำแนกอินทรีย์แก่อ่อนในสัตว์เหล่านั้นอีกด้วย คฤหบดีนั้น เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในพุทธภูมิแต่กาลอันนานมาทีเดียว จิตของท่านบริสุทธิ์สะอาด ดำเนินตามมหายานปฏิปทาโดยไม่แปรผัน กับทั้งเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพุทธวัตรสมาจาร มีจิตอันไพศาลดุจมหาสาคร คฤหบดีนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงสดุดีอนุโมทนาสาธุการ เขาเป็นที่เคารพนับถือของพระสาวกทั้งหลายตลอดจนทวยเทพทั้งปวง มีท้าวศักรินทร์และท้าวมหาพรหมปชาบดีเป็นอาทิ และเนื่องด้วยคฤหบดีนั้นมีความจำนงอันจักโปรดสรรพสัตว์ ท่านจึงสำแดงซึ่งอุปายโกศลวิธีด้วยการเข้ามาตั้งเคหสถานอาศัย ณ กรุงเวสาลี.
ท่านได้บริจาคทรัพย์จำนวนเหลือประมาณ เพื่อประโยชน์แก่ปวงชนทุคตะเข็ญใจ ท่านแสดงการรักษาศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อย ก็เพื่อเป็นตัวอย่างสงเคราะห์ชนผู้ทุศีลจักได้ถือเอาเป็นแบบอย่าง แสดงความอดกลั้นด้วยขันติคุณ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างสงเคราะห์ชนผู้มักโกรธ แสดงความเป็นผู้มีอุตสาหวิริยะ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างสงเคราะห์ชนผู้มักโกรธ แสดงความเป็นผู้มีอุตสาหวิริยะ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างสงเคราะห์ชนผู้มีโกสัชชะ แสดงความเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นในสมาธิฌาน ก็เพื่อเป็นตัวอย่างสงเคราะห์ชนผู้มีจิตฟุ้งซ่าน และได้ใช้สติปัญญาของท่านสงเคราะห์ชนผู้ปราศจากปัญญาให้มีความรู้แจ้งเห็นจริงด้วย คฤหบดีนั้น แม้จะเป็นอุบาสกผู้นุ่งขาว แต่ก็ปฏิบัติรักษาวินัยของสมณะ แม้จะเป็นผู้ครองเรือน แต่ก็มีจิตไม่ยึดมั่นในภพทั้ง 3 แม้ท่านจักแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีภริยา แต่ก็รักษาพรหมจรรย์ไว้โดยบริสุทธิ์ แม้จะมีบริวารชน แต่ก็มีจิตยินดีในความสงัดห่างไกลจากบริวารชน แม้ร่างกายของท่านจะประดับด้วยเครื่องรัตนอลังการ ซึ่งเป็นเรื่องภายนอก แต่ภายในจิตของท่านมิได้พอใจผูกพันกับเครื่องประดับเหล่านั้น เพราะท่านมีคุณสมบัติต่าง ๆ มีปัญญาเป็นต้น เป็นเครื่องประดับใจ และถึงแม้ท่านจะบริโภคอาหารเช่นคนทั้งหลาย แต่อาหารที่แท้จริงท่านก็คือถือเอารสแห่งปิติในฌานเป็นอาหาร และท่านมักจะไปปรากฏตัวในวงการพนัน วงการหมากรุก วงการเสพสุรา วงการละเล่นมหรสพ ตลอดจนกระทั่งสำนักหญิงโสเภณี ก็เพื่ออาศัยสถานที่เหล่านั้นเป็นแหล่งประกาศสัจธรรม ชี้แจงบาปบุญคุณโทษแก่ชนผู้มัวเมาในอบายมุขทั้งหลายนอกจากนี้ ท่านยังเที่ยวไปตามสำนักพาหิรลัทธิตามสถานสาธารณะต่าง ๆ ตามถนนหนทาง เพื่อประกาศพระพุทธธรรมให้สำเร็จประโยชน์แก่ประชุมชนทั้งวัยเด็กหนุ่มสาววัยชรา และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เกียรติคุณของท่านวิมลเกียรติ จึงแพร่หลายอุโฆษไปทั่ว ท่านเป็นที่เคารพยกย่องของกษัตริย์ สมณพราหมณ์ เสนาอำมาตย์ คฤหบดี ประชาชนพลเมืองทุกชั้นทุกวัย นอกจากท่านวิมลเกียรติจะบำเพ็ญประโยชน์ในหมู่มนุษย์แล้วท่านยังบำเพ็ญประโยชน์ในหมู่ทวยเทพด้วย ท่านเป็นที่เคารพของปวงพรหมเทพ ด้วยท่านแสดงธรรมดันประกอบด้วยโลกุตรปัญญาให้ฟัง ท่านเป็นที่เคารพของปวงเทพในฉกามาวจรมีท้าววาสวะเป็นต้น ด้วยท่านแสดงธรรมชี้ให้เห็นความเป็นอนิจจังของสังขารธรรมให้ฟัง ท่านเป็นที่เคารพของท้าวจตุโลกบาลราชา ด้วยท่านพร่ำสอนธรรมให้ท้าวเธอและบริวารคุ้มครองรักษาโลก อันท่านคฤหบดีวิมลเกียรติสมบูรณ์ด้วยอุปายโกศลจริยา บำเพ็ญคุณานุคุณ หิตประโยชน์ในสรรพสัตว์ ด้วยประการฉะนี้แล.
สมัยหนึ่ง ท่านวิมลเกียรติสำแดงตนว่าบังเกิดอาพาธด้วยอุบายนี้ จึงเป็นเหตุให้บรรดาราชา อำมาตย์ สมณพราหมณ์ คฤหบดี และชาวชนเป็นจำนวนมากหลายพันเป็นอเนก ต่างพากันมาเยี่ยมเยือนถามอาการไข้ถึงคฤหาสน์ ท่านจึงถือโอกาสที่ชนเหล่านี้มาเยี่ยมแสดงธรรมว่า
“ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย อันสรีรกายนี้ไม่แท้เที่ยง ปราศจากความกล้าแข็ง ปราศจากพลัง ปราศจากแก่นสาร เป็นสภาพมีอันเสื่อมโทรมโดยรวดเร็ว ไม่เป็นที่ไว้วางใจได้ สรีรกายนี้เป็นทุกข์ เป็นที่เดือนร้อนเป็นที่ประชุมของโรค ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย สรีรกายดังนี้แล บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมไม่หลงใหลเพลิดเพลิน สรีระนี้อุปมาดังฟองน้ำจักลูบคลำมิได้ สรีระนี้อุปมาดังต่อมน้ำ เพราะไม่สามารถตั้งมั่นได้นาน สรีระนี้อุปมาดังพยับแดน เพราะเกิดมาแต่ตัณหา สรีระนี้อุปมาดังต้นกล้วยเพราะปราศจากแก่นสาร สรีระนี้อุปมาดังภาพมายา เพราะเกิดมาแต่ความวิปลาส สรีระนี้อุปมาดังความฝัน เพราะเกิดมาแต่ความหลงผิดให้เห็นไป สรีระนี้อุปมาดังเงา เพราะเกิดมาจากรรมสมุฏฐาน สรีระนี้อุปมาดังเสียง เพราะอาศัยประชุมแห่งปัจจัยจึงมีได้ สรีระนี้อุปมาดังก้อนเมฆเพราะตั้งอยู่ชั่วคราวก็เปลี่ยนแปร สรีระนี้อุปมาดังสายฟ้าแลบ เพราะตั้งอยู่คงทนมิได้ทุก ๆ ขณะ ฯลฯ”
ท่านวิมลเกียรติได้กล่าวถึงโทษแห่งสรีระไว้เป็นอเนกประการแล้วจึงกล่าวสรุปว่า
“ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย สรีรกายนี้น่าเบื่อหน่ายเห็นปานฉะนี้เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงยินดีในพระพุทธสรีระ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะว่า อันพระพุทธสรีรกายนั้น คือพระธรรมกายนั้นเองย่อมเกิดมาจากปัญญาและคุณสมบัติเป็นอันมาก จักประมาณมิได้ เกิดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เกิดมาจากเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เกิดมาจากทาน ศีล ขันติ โสรัจจะ วิริยะ ฌาน วิมุตติ สมาธิ พหูสูต ปัญญาแลปวงบารมีธรรม ๓๗ เกิดมาจากสมถวิปัสสนา เกิดมาจากทศพลญาณ เกิดมาจากจตุเวสารัชชญาณและอเวณิกธรรม ๑๘ เกิดมาจากสรรพอกุศลสมุจเฉทธรรมและจากสรรพกุศลภาวนาธรรมเกิดมาจากภูตตัตตวธรรม เกิดมาจากอัปปมาทธรรมและวิสุทธิธรรมเป็นอเนกอนันต์ดังกล่าวมานี้ ยังพระตถาคตกายให้บังเกิดขึ้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจักได้พระพุทธสรีรกาย และอาจตัดเสียซึ่งพยาธิโรคันตรายของสรรพสัตว์ได้ขาด ผู้นั้นถึงตั้งจิตปณิธานในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเถิด.”
ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีได้แสดงธรรมกถากับบรรดาผู้มาเยี่ยมเยือนไข้ของท่านด้วยประการดังนี้ ยังบุคคลหลายพันเป็นอเนกให้บังเกิดจิตปณิธานในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยถ้วนหน้าแล
ปริเฉทที่ ๒ อุปายโกศลวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๓ สาวกวรรค
ปริเฉทที่ ๓
สาวกวรรค
ในสมัยนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี บังเกิดความปริวิตกขึ้นว่าเรานอนป่วยอยู่บนเตียงเห็นปานฉะนี้ ไฉนพระผู้มีพระภาคผู้ทรงไว้ซึ่งมหาเมตตาธรรม จึงมิได้ส่งผู้ใดมาเยี่ยมเยือน
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระพุทธดำรัสกับพระสารีบุตรว่า
“ดูก่อนพระสารีบุตร เธอจงไปเยี่ยมเยือนไต่ถามอาการป่วยของวิมาเกียรติคฤหบดีเถิด”
พระสารีบุตรได้กราบทูลสนองพระดำรัสว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ไม่เหมาะสมที่จะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้หรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์กำลังนั่งคู้สมาธิบัลลังก์อยู่ในท่ามกลางวนาสณฑ์ ครั้งนั้น ท่านวิมลเกียรติได้มาพูดกับข้าพระองค์ว่า
“ข้อแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณเจ้าไม่จำเป็นต้องมานั่งอาการอย่างนี้โดยสำคัญว่าเป็นการนั่งสมาธิ อันการนั่งสมาธิที่แท้จริงนั้น คือการไม่ปรากฏกายใจในภพทั้ง ๓ ไม่ต้องออกจากนิโรธสมาบัติ แต่ก็สามารถแสดงบรรดาอิริยาบถให้ปรากฏได้ นี้คือการนั่งสมาธิ ไม่ต้องสละมรรคธรรม แต่ก็สามารถทำกิจกรรมของปุถุชนได้ นี้ก็คือการนั่งสมาธิ จิตไม่ยึดติดในคายใจ หรือยึดติดในภายนอก นี้คือการนั่งสมาธิ ไม่มีความหวั่นไหวกำเริบ เพราะเหตุแห่งปวงทิฏฐิ แลสามารถอบรมในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ได้ นี้คือการนั่งสมาธิ ไม่ต้องตัดกิเลส แต่สามารถเข้านิพพานได้ นี้คือกานั่งสมาธิ ถ้าพระคุณเจ้าอาจที่จักนั่งด้วยวิธีอย่างนี้ พระพุทธองค์ย่อมจักรับรอง.”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สมัยนั้น ข้าพระองค์ได้สดับวาจาดังกล่าวนี้แล้ว ต้องหยุดนิ่งสงบ มิอาจตอบสนองพจน์ไปได้ ด้วยเหตุนี้ ข้อพระองค์จึงไม่สมควรเหมาะสมในการไปเป็นผู้เยี่ยมไข้พระพุทธเจ้าข้า.”
พระบรมศาสดาจึงดำรัสให้พระโมคคัลลานะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระโมคคัลลานะกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ไม่เหมาะสมที่จะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้หรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์จาริกเข้าไปในเมืองเวสาลี ได้แสดงธรรมโปรดพวกคฤหบดีในตรอกแห่งหนึ่ง ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้มากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าโมคคัลลานะ การแสดงธรรมโปรดพวกอุบาสกนุ่งขาวเหล่านี้ ไม่ใช่แสดงอย่างวิธีของพระคุณเจ้าอย่างนี้หรอก อันว่าผู้แสดงธรรมนั้นสมควรจักต้องแสดงให้ถูกกับทำนองคลองธรรม ธรรมนั้นไม่มีสัตว์ เพราะพ้นจากความเศร้าหมองแห่งสัตว์ ธรรมนั้นไม่มีอาตมันเพราะพ้นจากความเศร้าหมองแห่งอาตมัน ธรรมนั้นไม่มีชีวะเพราะพ้นจากชชาติมรณะ ธรรมนั้นไม่มีบุคคล เพราะขาดจากห้วงแห่งอดีต อนาคตธรรมนั้นมีสันติเป็นธรรมดา เพราดับปวงลักษณะเสียได้ ธรรมนั้นห่างไกลจากลักษณะ เพราะปราศจากอารมณ์ ธรรมนั้นไม่มีนามบัญญัติเพราะขาดจากวจนะโวหาร ธรรมนั้นไม่มีอะไรจะแสดงได้ เพราะไกลจากความวิตกวิจาร ธรรมนั้นไม่มีสัณฐานนิมิต เพราะว่างเปล่าดุจอากาศ ธรรมนั้นปราศจากปปัญจธรรม เพราะมีสุญญตาเป็นสภาพ ธรรมนั้นไม่มีมมังการ เพราะพ้นจากความยึดถือว่าเป็นของของเรา ธรรมนั้นไม่มีวิกัลปะ เพราะไกลจากวิญญาณความรู้ทางอายตนะทั้งหลาย ธรรมนั้นปราศจากการเปรียบเทียบได้ เพราะพ้นจากความเป็นคู่ ธรรมนั้นไม่สงเคราะห์ว่าเป็นเหตุ เพราะมิได้อยู่ในประชุมของปัจจัย...ฯลฯ... พระคุณเจ้ามหาโมคคัลลานะ เมื่อธรรมลักษณะมีสภาพดั่งนี้แล้วจักนำมาแสดงได้อย่างไรเล่า ? อันการแสดงธรรมนั้น เนื้อแท้ไม่มีการกล่าว ไม่มีการแสดง และผู้สดับธรรมเล่า ก็ไม่มีการฟังหรือการได้อะไรไป อุปมาดุจมายาบุรุษแสดงธรรมให้มายาบุรุษอีกผู้หนึ่งฟังฉะนั้น พึงตั้งจิตของตนให้ได้อย่างนี้แล้วพึงแสดงธรรมเถิด พึงแจ่มแจ้งในอินทรีย์แก่อ่อนคมทู่ของสรรพสัตว์ มีญาณทัสสนะอันเชี่ยวชาญ ปราศจากความขัดข้อง ประกอบด้วยมหากรุณาจิต สดุดีลัทธิมหายาน จิตตั้งอยู่ในอนุสรณ์ที่จักบูชาพระคุณของพระพุทธองค์ ไม่ละขาดจากพระไตรรัตน์ ทำได้เช่นนี้ภายหลังจึงแสดงธรรมเถิด.”
“เมื่อท่านวิมลเกียรติแสดงธรรมกถาจบลง คฤหบดีจำนวน ๘๐๐ คน ต่างก็ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพระองค์ไม่มีปฏิภาณเช่นนั้น ด้วยเหตุนั้น จึงไม่เหมาะสมที่จะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำรัสให้พระมหากัสสปะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้พระมหากัสสปะกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสมที่จักไปเยี่ยมไข้ของอุอาสกนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน? ข้าพระองค์ยังตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์เที่ยวจาริกบิณฑบาตคามละแวกบ้านคนยากจน ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้มากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้ากัสสปะ พระคุณแม้จะมีจิตกอปรด้วยเมตตากรุณา แต่ก็ไม่ปกแผ่ไพศาลเลย ทั้งนี้เพราะพระคุณละเลยบ้านของคนร่ำรวย มาบิณฑบาตโปรดเฉพาะคนเข็ญใจเท่านั้น ข้าแต่พระคุณเจ้ากัสสปะ ขอพระคุณเจ้าจะตั้งอยู่ในสมธรรมอันเสมอภาพเสียก่อน จึงค่อยมาจาริกบิณฑบาต เพื่อไม่มีความปรารถนาในอาหารเป็นเหตุ จึงสมควรจาริกบิณฑบาต เพื่อทำลายการประชุมแห่งขันธ์เป็นเหตุ จึงสมควรถือเอาก้อนภิกษาไปเพื่อไม่ต้องเสวยภพใหม่อีกเป็นเหตุ จึงสมควรรับบิณฑบาตทานของชาวบ้านได้ พึงมีสุญญตสัญญาในการเข้าไปสู่คามนิคมชนบท รับรูปารมณ์ดุจผู้มีจักษุมืด รับสัททารมณ์ดุจสักว่าเสียงดัง รับคันธารมณ์ดุจสักว่าเป็นวาโย รับรสารมณ์ก็ไม่มีวิกัลปะ รับโผฏฐัพพารมณ์ดุจได้บรรลุญาณทัสสนะรู้ธรรมารมณ์ทั้งปวงว่าเป็นมายา ปราศจากอัตตภาวะ หรือปรภาวะ เพราะความที่ธรรมทั้งหลายมิได้เกิดมีขึ้นด้วยภาวะของมันเอง ฉะนั้น จึงไม่มีอะไรที่เรียกว่าแตกดับหักสูญไป ข้าแต่พระคุณเจ้ากัสสปะ ถ้าพระคุณเจ้าจักสามารถไม่ละมิจฉัตตธรรมทั้ง ๘ แต่ก็บรรลุเข้าถึงวิโมกข์ ๘ ได้อาศัยมิจฉาภาวะเข้ากลมกลืนสัมมาธรรมได้ สามารถนำอาหารมื้อหนึ่งบริจาคในสรรพสัตว์ได้ และนำไปกระทำบูชาในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมทั้งพระอริยบริษัททั้งปวงได้ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว จึงจักสมควรในการขบฉันอาหารบิณฑบาตต่อภายหลัง ผู้ที่กระทำได้โดยประการดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ขบฉันที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความสิ้นไปแห่งกิเลส ชื่อว่ามิได้เข้าสู่สมาธิจิต หรือออกจากสมาธิจิต ไม่มีการยึดมั่นตั้งอยู่ในโลก หรือยึดมั่นตั้งอยู่ในพระนิพพาน ฝ่านทายกทายิกาผู้บริจาคเล่า ก็ชื่อว่าไม่มีการได้บุญญานิสงส์ใหญ่ หรือได้บุญญานิสงส์น้อย ไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหายอย่างไร นี้แลชื่อว่าเป็นวิถีแห่งการเข้าสู่พุทธภูมิ โดยไม่อาศัยสาวกภูมิพระคุณเจ้ากัสสปะ หากพระคุณตั้งอยู่ในธรรมดังพรรณนามาแล้ว ขบฉันอาหารบิณฑบาตนั้นแล จึงจักได้ชื่อว่าเป็นการขบฉันอาหารของชาวบ้านโดยไม่สูญเปล่า
“ข้าแต่พระสุคต เมื่อข้าพระองค์ได้สดับถ้อยคำดั่งนี้แล้ว เกิดความรู้สึกขึ้นว่า สิ่งที่มิได้มีก็ได้มีขึ้นแล้วหนอ! ข้าพระองค์มีความรู้สึกเคารพนับถือในปวงพระโพธิสัตว์อย่างยิ่ง อนึ่ง ยังมีปริวิตกว่า คฤหบดีผู้นี้เป็นผู้ครองเรือนแท้ ๆ ยังมีปฏิภาณปัญญาโกศลเห็นปานฉะนี้ ผู้ที่ได้ฟังธรรมของเขาแล้ว ใครเลยที่จักไม่ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตัวของข้าพระองค์เอง จำเดิมนับแต่นั้นมา ก็ไม่เทศนาสั่งสอนผู้ใดให้ประพฤติสาวกจริยา หรือปัจเจกโพธิจริยาอีก (คือสอนให้ประพฤติตามพุทธจริยาอย่างเดียว) ด้วยเหตุประการดั่งนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมไม่ควรต่อการไปเยี่ยมไข้อุบาสกนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำรัสให้พระสุภูติไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระสุภูติกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสมที่จักไปเป็นผู้เยี่ยมไข้หรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์ได้เข้าไปบิณฑบาต ณ คฤหาสน์ของอุบาสกนั้น ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้เข้ามารับเอาบาตรของข้าพระองค์ไปบรรจุภัตตาหารจนเต็มเปี่ยม แล้วก็ปราศรัยกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าสุภูติ ในการขบฉันภัตตาหารนี้ หากพระคุณสามารถแทงทะลุถึงภาวะตามเป็นจริงแห่งธรรมทั้งหลายว่า เป็นสมภาพเสมอกันหมด และสามารถแทงทะลุในธรรมทั้งหลายแต่ละอย่างไซร้ และเที่ยวบิณฑบาตโดยประการดั่งนี้ จึงสมควรที่จักถือเอาภัตตาหารนี้ไปขบฉันได้ พระคุณเจ้าสุภูติ พระคุณมิต้องตัดถอน ราคะ โทสะ โมหะ ให้เป็นสมุจเฉท แต่ก็ไม่อยู่ร่วมกับกองกิเลสเหล่านี้ ไม่ต้องทำลายสรีรขันธ์แต่ก็สามารถเข้าถึงสุญญตาอันเป็นเอกีภาพได้ อาศัยปัญจานันตริยกรรม แต่ก็บรรลุวิมุตติได้ อันที่จริงก็ไม่มีการรอดพ้นและไม่มีการผู้มัดใด ๆ ไม่ต้องเป็นแจ้งในจตุราริยสัจ และมิได้มีการไม่เห็นแจ้งในจตุราริยสัจ ไม่มีการบรรลุอริยผล และมิได้มีการไม่บรรลุอริยผล ไม่มีปุถุชน และไม่มีการพ้นจากภาวะปุถุชน ไม่มีพระอริยบุคคล และมิได้มีอนาริยบุคคล ถึงแม้เป็นผู้ยังธรรมทั้งปวงให้สำเร็จเป็นไปอยู่ แต่ก็ไม่มีอุปาทานพ้นจากธรรมเหล่านั้น พระคุณทำได้เช่นนี้ จึงสมควรขบฉันภัตตาหารนี้ ข้าแต่ท่านสุภูติผู้เจริญ พระคุณอย่าไปเฝ้าพระพุทธองค์ อย่าสดับพระสัทธรรม แต่จงถือครูพาหิรลัทธิทั้ง ๖ มีปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ สัญชัยเวลัฏฐบุตร อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ และนิครนถ์นาฏบุตรว่าเป็นศาสดา จงไปบรรพชาในสำนักของครูเหล่านี้ เมื่อครูทั้ง ๖ เขาตกไปสู่อบายภูมิ พระคุณก็ตกตามเขาไปด้วย ทำได้เช่านี้ จึงสมควรขบฉันภัตตาหารนี้ อนึ่งถ้าพระคุณสามารถเข้าถึงมิจฉาทิฏฐิทั้งปวง อย่าบรรลุถึงฝั่งแห่งภพ ตั้งอยู่ในอัฏฐอันตรายิกธรรม อย่าบรรลุถึงความเกษมจากอันตรายดังกล่าวนั้น มีกิเลสเป็นสหธรรมอยู่ร่วมกัน ห่างไกลจากวิสุทธิธรรม ตัวของพระคุณไม่ชื่อว่าเป็นบุญเขตของผู้บริจาค ผู้ที่ชูชาสักการะทำบุญกับพระคุณ ชื่อว่าเป็นผู้บ่ายไปสู่อบายภูมิ พระคุณจงจูงมือกับบรรดามารทั้งหลาย เป็นสหายร่วมงานกับเหล่ามารนั้น ตัวของพระคุณกับสรรพมารพร้อมทั้งปวงกิเลสไม่มีอะไรแตกต่างกัน มีจิตผูกเวรในสรรพสัตว์ กล่าวจ้วงจาบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กับทั้งทำลายพระธรรม และไม่เข้ากับหมู่สงฆ์ ในที่สุดก็ไม่สำเร็จพระนิพพาน หากพระคุณเป็นได้อย่างนี้ จึงสมควรถือเอาภัตตาหารนี้ไป.”
“ข้าแต่พระสุคต สมัยนั้น เมื่อข้าพระองค์ได้สดับถ้อยคำดังกล่าวแล้วก็ให้งงงันไปหมด ไม่เข้าใจว่าเป็นถ้อยคำอะไร ? ไม่ทราบว่าจะโต้ตอบได้อย่างไร ? ข้าพระองค์จึงวางบาตรไว้จะเดินออกจากคฤหาสน์นั้นวิมลเกียรติอุบาสกก็พูดขึ้นว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าสุภูติ พระคุณจงนำเอาบาตรไปเถอะ อย่าได้มีหวั่นกลัวเลย พระคุณจักมีความคิดเห็นเป็นไฉน ? ในกรณีที่พระตถาคตเจ้า ทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้เกิดมีมายาบุรุษผู้หนึ่งขึ้นมาแล้ว พระองค์นำเอาถ้อยคำดังเช่นที่กระผมกล่าวถามพระคุณนั้น ถามมายาบุรุษอันมายาบุรุษนั้นจักบังเกิดความหวั่นกลัวฤๅหนอแล?”
ข้าพระองค์ตอบว่า “หามิได้”
“ท่านวิมลเกียรติกล่าวว่า “ธรรมทั้งหลายก็เปรียบดุจมายาลักษณะพระคุณจึงมิควรมีความหวั่นกลัวอะไร ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเหตุที่ธรรมทั้งหลายเป็นสักแต่ว่าบัญญัติโวหาร ปราศจากสาระที่มีอยู่ด้วยภาวะของมันเอง ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยึดถือในอักขระถ้อยคำ ฉะนั้นจึงปราศจากความหวั่นหวาดใด ๆ ด้วยเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะเหตุว่าอักขระถ้อยคำนั้น แท้จริงก็ปราศจากสภาวะ ( เป็นสุญญตา) แล้ว นั้นคือ วิมุตติธรรม และวิมุตติธรรมนี้เองที่เป็นธรรมทั้งหลายเหล่านั้นด้วย”
“เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมกถานี้จบลง ก็มีเทวบุตร ๒๐๐ องค์ได้ธรรมจักษุอันบริสุทธิ์.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำรัสให้พระปุณณมันตานี้บุตรไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระปุณณมันตานี้บุตรกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสมที่จักไปเป็นผู้เยี่ยมไข้หรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์พักอาศัยในมหาวนาสณฑ์อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ กำลังแสดงธรรมให้บรรดาพวกภิกษุฟัง ครั้งนั้นวิมลเกียรติคฤหบดีได้ปราศรัยกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าปุณณะ ขอพระคุณได้เข้าสมาบัติตรวจดูจิตตัชฌาสัยแห่งภิกษุเหล่านี้ก่อนเถิด แล้วจึงค่อยแสดงธรรมโปรดภายหลัง พระคุณโปรดอย่าได้นำโภชนาหารอันหยาบสกปรกใส่ลงไปในรัตนภาชน์เลย พระคุณสมควรรู้แจ้งถึงภูมิธรรมแห่งจิตของภิกษุเหล่านี้ อย่าได้นำไพฑูรย์อันมีค่าไปเสมอกับลูกปัดเลย พระคุณไม่สามารถแทงตลอดในอินทรีย์ของสรรพสัตว์ ก็โปรดอย่าได้ชักจูงให้ภิกษุเหล่านี้ให้ตั้งอยู่ในธรรมฝ่ายหินยานเลย ภิกษุเหล่านี้เป็นผู้ปราศจากบาดแผลในตัวอยู่แล้ว ขอพระคุณอย่าได้ไปทำให้มีขึ้นเลย อนึ่ง ภิกษุเหล่านี้มีความปรารถนาที่จักประพฤติมหามรรคจริยา แต่พระคุณกลับไปชี้ให้เดินตามหินมรรคจริยาพระคุณอย่าได้นำมหาสมุทรมาบรรจุใส่ไว้ในรอยเท้าโคเลย และอย่าได้นำแสงทิวากรมาเสนอเปรียบเทียบกับแสงหิ่งห้อยเลย ข้าแต่ท่านปุณณะผู้เจริญเป็นผู้เยี่ยมไข้ของคฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า” ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? บรรดาภิกษุทั้งหมดนี้ ได้ตั้งจิตมุ่งต่อมหายานธรรมมาแล้วแต่กาลอันยาวนานทีเดียว ครั้นมาในท่ามกลางก็ตะลึงมโนปณิธานนั้นเสียไฉนพระคุณจึงจักนำหินยานธรรมมาแนะนำสั่งสอนเล่า ? กระผมพิจารณาแล้วเห็นว่า อันบุคคลผู้เป็นฝ่ายหินยานมีปัญญาน้อยตื้น อุปมาดังคนมีจักษุบอด ไม่อาจสามารถจำแนกอินทรีย์ละเอียดหยาบของสรรพสัตว์ได้”
“เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว วิมาเกียรติอุบาสกก็เข้าสมาบัติ บันดาลห้วยฤทธิ์ให้ภิกษุเหล่านั้นบังเกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณขึ้น ต่างระลึกได้ว่าในอดีตกาล ต่างได้เคยปลูกฝังกุศลมูลในเฉพาะพระพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์มาแล้ว โดยต่างตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในทันใดนั้นภิกษุทั้งหมดเหล่านั้น ก็มีจิตกลับขึ้นไปสู่ภูมิธรรมเดิมนั้นอีก และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ก็มีจิตกลับขึ้นไปสู่ภูมิธรรมเดิมนั้นอีกและภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันอภิวาทน์บาทของวิมลเกียรติอุบาสกด้วยเศียรเหล่า ครั้งนั้น วิมลเกียรติอุบาสกได้กล่าวธรรมกถา ยังจิตของภิกษุเหล่านั้นไม่ให้เสื่อมถอยจากพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณวิถีอีกต่อไป ข้าพระองค์มาตรึกว่า พระสาวกซึ่งไม่พิจารณาอินทรีย์ของสัตว์โลก ก็มิสมควรที่จักแสดงพระสัทธรรม เพราะเหตุนั้นแล ข้าพระองค์จึงเป็นผู้ไม่สมควรในการไปเยี่ยมไข้ของคฤหบดีผู้นั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธดำรัสให้พระมหากัจจานะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระมหากัจจานะกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรที่จักไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ของคฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์มาตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระสุคตเจ้าทรงพระสัทธรรมโดยสังเขปนัยแต่หมู่ภิกษุสงฆ์ ภายหลังข้าพระองค์ได้ทำหน้าที่อรรถาธิบายในช้อสัทธรรมนั้น อันว่าด้วยเรื่องอนิจจกถา ทุกขกถาสุญญาตกถา อนัตตกถา นิโรธกถา เป็นต้น ครั้งนั้น วิมาเกียรติคฤหบดีได้มากล่าวแก่ข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้ามหากัจจานะ พระคุณโปรดอย่าแสดงภูตสัตยธรรมด้วยจิตจรรยาอันเกิดดับนี้เลย พระคุณเจ้ามหากัจจานะ แท้จริงธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่มีความเกิด ไม่มีความดับเป็นสภาพ นี้คือความหมายแห่งอนิจจตา การพิจารณาแทงตลอดในปัญจขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นสภาพว่างเปล่า ปราศจากสาระบังเกิดขึ้น นี้คือความหมายแห่งทักขตาธรรมทั้งหลายปราศจากสภาวะในที่สุด นี้คือความหมายแห่งสุญญตาอัตตากับอนัตตามิได้เป็นธรรมแตกต่างกัน นี้คือความหมายแห่งอนัตตาตามธรรมดาธรรมทั้งปวง ก็ไม่มีสภาพอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงไม่มีสภาพดับสลายไป นี้คือความหมายแห่งนิโรธ.”
“เมื่อคฤหบดีนั้นกล่าวจบลง ภิกษุเหล่านั้น มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะเหตุฉะนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมที่จะไปเยี่ยมเขา พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกา ให้พระอนุรุทธะไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระมหาเถระกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็เป็นผู้ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของคฤหบดีนั้น พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์เดินจงกรมอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น มีพรหมราชองค์หนึ่ง ทราบนามว่าอลังการวิสุทธิพรหม พร้อมด้วยพรหมบริษัทหนึ่งหมื่นองค์ มีรัศมีโอภาสรุ่งเรืองยิ่งนัก เข้ามาหาข้าพระองค์ การทำการอภิวาทน์โดยความเคารพแล้วถามข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าอนุรุทธ์ ทิพยจักษุของพระคุณจักมีทัศนวิสัยเพียงไรหนอ?”
“ข้าพระองค์จึงตอบไปว่า “ท่านผู้เจริญ เราทัศนาพุทธเกษตรองค์สมเด็จพระศากยมุนีพุทธเจ้า พร้อมทั้งมหาตรีสหัสสโลกธาตุ ดุจเล็งดูผลมะขามป้อมในฝ่ามือ”
“สมัยนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้เข้ามาพูดกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าอนุรุทธ์ ทัศนวิสัยแห่งทิพยจักษุของพระคุณนั้น พระคุณแลดูด้วยจิตปรุงแต่งในลักษณะฤๅไม่ หรือว่าแลดูด้วยจิตอันปราศจากการปรุงแต่งในลักษณะ ? หากพระคุณแลดูด้วยจิตที่ปรุงแต่งในลักษณะ ก็ชื่อว่าเป็นสังขตธรรม ย่อมมีค่าเท่ากับอภิญญา ๕ ของพวกพาหิรลัทธิ หากพระคุณแลดูด้วยจิตไม่ปรุงแต่งในลักษณะ ก็ชื่อว่าเป็ฯอสังขตธรรม ย่อมไม่ควรที่จักมีการเห็นอะไรอีก.”
“ข้าแต่พระสุคต เวลานั้นข้าพระองค์ต้องสงบนิ่งไป มิได้ตอบว่าอย่างไร แต่บรรดาพรหมเทพเหล่านั้น ครั้นได้สดับถ้อยคำนั้นแล้ว รู้สึกว่าเป็นถ้อยคำที่ตนไม่เคยฟังมาก่อน จึงพากันทำอภิวาทน์วิมลเกียรติคฤหบดี แล้วถามขึ้นว่า
“ข้าแต่ท่านวิมลเกียรติผู้เจริญ ในสากลโลกนี้ ผู้ไดเล่าที่ได้บรรลุทิพยจักษุอย่างแท้จริง ?”
คฤหบดีนั้นตอบว่า “มีอยู่ คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ได้บรรลุทิพยจักษุอย่างแท้จริง ทรงอยู่ในสมาธิโดยมิขาด เล็งแลเห็นสรรพพุทธเกษตรทั้งปวง มิได้เห็นโดยอาศัยจิตปรุงแต่งในลักษณะหรือเห็นโดยจิตไม่ปรุงแต่งในลักษณะ.”
“พรหมราชอลังการวิสุทธิ พร้อมพรหมบริษัทอีก ๕๐๐ องค์ ได้สดับธรรมกถานี้แล้ว ต่างก็ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วพากันอภิวาทน์บาทของวิมลเกียรติคฤหบดี อันตรธานหายไปในบัดดลนั้น โดยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมที่จะไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้นพระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธบรรหารให้พระอุบาลีไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระอุบาลีกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรที่จักไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ของอุบาสกนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์มาตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง มีภิกษุสองรูปพระพฤติผิดพระวินัยบัญญัติ เธอมีความสำนึกละอายในอาบัตินั้น ไม่กล้าจักกราบทูลไต่ถามโทษแห่งอาบัติกับพระสุคตเจ้าได้ จึงได้มาไต่ถามข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่ท่านอุบาลีผู้เจริญ เราทั้งสองต้องอาบัติล่วงพระวินัยบัญญัติ มิอาจกราบทูลถามพระพุทธองค์ได้ ขอท่านผู้เจริญโปรดได้เมตตาช่วยตัดวิมติกังขา เพื่อเราทั้งสองจักได้พ้นอาบัติด้วยเถิด.
“ข้าพระองค์จึงได้ชี้แจงโดยสมควรแก่พระธรรมวินัย ครั้งนั้นวิมลเกียรติคฤหบดี ได้เข้ามากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าอุบาลี ขอพระคุณอย่าได้เพิ่มโทษผิดให้กับพระภิกษุสองรูปนี้เลย พระคุณควรจะสอนให้ดับโทษที่สมุฏฐานโดยตรงดีกว่า ไม่พึงก่อวิปฏิสารจิตแก่ท่านทั้งสองรูป ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าสภาวะแห่งอาบัติโทษนั้น มิได้อยู่ภายใน มิได้อยู่ภายนอก และมิได้อยู่ ณ ท่ามกลาง สมดั่งพระพุทธภาษิตที่ว่า เมื่อจิตเศร้าหมอง สัตว์ก็ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เศร้าหมอง เมื่อจิตผ่องแผ้ว สัตว์ก็ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ผ่องแผ้วก็ธรรมชาติแห่งจิตนั้น ไม่ตั้งอยู่ภายใน ไม่ตั้งอยู่ภายนอก และไม่ตั้งอยู่ ณ ท่ามกลาง ธรรมชาติแห่งจิตเป็นอย่างไร ธรรมชาติแห่งอาบัติโทษก็ย่อมมีอัปมาดุจเดียวกัน ธรรมทั้งปวงมีสภาพอย่างเดียวกัน เพราะสิ่งทั้งปวง ย่อมไม่พ้นจากความเป็น “ตถตา” เช่นเดียวกับพระคุณท่านอุบาลีเอง เมื่อสมัยที่จิตของพระคุณหลุดพ้นจากอาสวกิเลส จิตในสมัยนั้นจักมีความเศร้าหมองฤๅไม่ ?”
ข้าพระองค์ตอบว่า “หามิได้”
วิมลเกียรติคฤหบดีจึงว่า “ธรรมชาติจิตของสรรพสัตว์ ก็ปราศจากความเศร้าหมองโดยนัยเดียวกัน.
ข้าแต่พระคุณเจ้าอุบาลี วิกัลปสัญญาชื่อว่าเป็นธรรมเศร้าหมองความพ้นจากวิกัลปสัญญาชื่อว่าเป็นธรรมบริสุทธิ์ วิปลาสสัญญาชื่อว่าเป็นธรรมเศร้าหมอง ความพ้นจากวิปลาสสัญญาชื่อว่าเป็นธรรมบริสุทธิ์ ความยึดถือในตัวตนชื่อว่าธรรมเศร้าหมอง ความพ้นจากความยึดถือตัวตนชื่อว่าธรรมบริสุทธิ์ พระคุณท่านอุบาลีผู้เจริญ อันธรรมทั้งปวงนั้นเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปราศจากแก่นสาร ความดำรงมั่นเหมือนมายาเหมือนสายฟ้าแลบ ธรรมทั้งปวงไม่เป็นคู่ แม้เพียงชั่วขณะจิตหนึ่งก็ไม่ตั้งมั่นอยู่ได้ ธรรมทั้งปวงสำเร็จมาจากวิกัลปทิฏฐิเหมือนฝัน เหมือนพยับแดด เหมือนเงาดวงจันทร์ในน้ำ เหมือนเงาในกระจก ล้วยอุบัติมาจากวิกัลปสัญญา ผู้ที่เข้าถึงสถานะความจริงอย่างนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติพระวินัย และชื่อว่าเป็นผู้แตกฉานเจนจบในพระวินัยโดยแท้จริง.”
ภิกษุทั้งสองรูป ได้กล่าวสรรเสริญขึ้นว่า “ท่านผู้เจริญเป็นผู้มีปัญญาเยี่ยมยอดโดยแท้หนอ แม้แต่ท่านพระอุบาลีก็ยังไม่อาจเปรียบปานได้ ขนาดเป็นเอตทัคคะทางพระวินัยก็ยังไม่สามารถจักแสดงถึงเช่นนี้ได้.”
ข้าพระองค์จึงกล่าวตอบไปว่า “ยกพระผู้มีพระภาคเสียแล้วก็ไม่มีพระสาวกหรือพระโพธิสัตว์ได ๆ ที่จักมีสติปัญญาปฏิภาณโวหารสามารถแหลมลึกเช่นอุบาสกผู้นี้ได้”
สมัยนั้น พระภิกษุสองรูป มีวิมติกังขาไปปราศจากแล้ว ได้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมกับตั้งจิตปฎิธานว่า “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีสติปัญญา ปฏิภาณสามารถอย่างเดียวกันนี้ทั่วหน้าเถิด.”
เพราะเหตุฉะนี้แล พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์จึงเป็นผู้ไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของคฤหบดีนั้น.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธดำรัสให้พระราหุลเป็นผู้ไปเยี่ยมไข้ พระราหุลกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสมควรไปเป็นผู้เยี่ยมไข้คฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง คฤหบดีทั้งหลายชาวเมืองเวสาลีได้เข้ามาหาพระองค์ กระทำอภิวาทน์ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าราหุลผู้เจริญ พระคุณเป็นโอรสผู้ประเสริฐของพระพุทธองค์ แต่พระคุณสละจักรพรรดิสมบัติออกบรรพชาบำเพ็ญวิราคธรรม ก็การประพฤติเนกขัมมจริยาดังกล่าวนั้น จักมีคุณประโยชน์ประการใดบ้าง ?”
“ข้าพระองค์จึงได้แจกแจงเนกขัมมานิสงส์ โดยนัยประการต่าง ๆ ให้ฟัง ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้เข้ามากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าราหุล ขอพระคุณโปรดอย่าได้แสดงถึงเนกขัมมานิสงส์ได ๆ เลย ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ เพราะเมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์แล้ว ก็ไม่มีสภาวะใดที่จะพึงเรียกว่าคุณประโยชน์ หรือจักพึงเรียกว่าบุญญานิสงส์นั่นเอง และนั่นจึงเป็นอรรถรสอันแท้จริงของการออกบรรพชา โดยนัยแห่งสังขตธรรม จึงกล่าวบัญญัติได้ว่า มีสภาวะที่เป็นคุณประโยชน์ มีสภาวะที่เป็นบุญญานิสงส์ แต่การออกบรรพชาบำเพ็ญเนกขัมมจริยานั้น ก็เพื่อบรรลุถึงธรรมอันเป็นอสังขตะ ก็ในอสังขตธรรมนั้น ย่อมปราศจากสภาวะอันจักพึงบัญญัติเรียกได้ว่าเป็นคุณประโยชน์ฤๅเป็นบุญญานิสงส์ ข้าแต่ท่านราหุลผู้เจริญ ผู้ที่ออกบรรพชาโดยแท้จริงนั้นย่อมไม่ยึดถือว่า มีนั่น มีนี่ หรือยึดถือในท่ามกลาง เขาย่อมห่างไกลจากทิฏฐิ ๖๒ ตั้งอยู่ในนิพพาน อันเป็นธรรมซึ่งบัณฑิตผู้มีปัญญาจักพึงบรรลุเป็นธรรมซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายดำเนินตามอยู่ เขาย่อมอาจสามารถทำลายเหล่ามารทั้งหลาย ข้ามพ้นจากปัญจคติ เป็นผู้มีปัญจจักษุอันหมดจด ถึงพร้อมด้วยปัญจพละ ตั้งอยู่ในปัญจินทรีย์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายพ้นจากสรรพอกุศลธรรม ข่มนอนพวกพาหิรลัทธิได้ เป็นผู้พ้นจากข่ายแห่งสมมติบัญญัติ ดังอุบลซึ่งบานพ้นจากเปือกตม เป็นผู้ปราศจากสังโยชน์เครื่องร้อยรัด ไม่มีอหังการและมมังการ ไม่มีอนุภูตธรรม ไม่มีความฟุ้งซ่านวิปฏิสารใด ๆ ภายในจิต มีแต่ความปีติสุข เป็นผู้แผ่ธรรมคุ้มครองสรรพสัตว์ ให้ได้เข้าถึงสภาพธรรมดุจเดียวกับตนด้วย มีปกติอยู่ในฌานสมาธิ ห่างไกลจากปวงบาปโทษทั้งผองหากผู้ใดทำได้เช่นนี้ จึงชื่อว่าเป็นผู้ออกบรรพชาที่แท้จริง.”
ครั้นแล้ว วิมลเกียรติคฤหบดี จึงหันมากล่าวกับบุตรคฤหบดีทั้งหลายว่า “ท่านผู้เจริญ สมควรจักอุทิศตนพรรพชาในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะว่าการที่จักได้เกิดร่วมยุคร่วมสมัย มีโอกาสเห็นพระพุทธองค์เป็นการยากยิ่งนัก จึงไม่ควรพลาดโอกาสนี้เสีย.”
บุตรคฤหบดีทั้งหลายต่างพูดขึ้นว่า “ข้าแต่ท่านคฤหบดี พวกเราได้สดับพระพุทธพจน์ว่า เมื่อบิดามารดาไม่ยินยอมอนุญาต จักออกบรรพชาอุปสมบทมิได้.”
วิมลเกียรติคฤหบดีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายพึงตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จักขื่อว่าได้ออกบรรพชาอุปสมบทโดยสมบูรณ์แล้ว.”
“ครั้งนั้น บุตรคฤหบดี ๓๒ คน ต่างก็ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธฎีกาให้พระอานนท์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระอานนท์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้านั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง พระสุคตเจ้าประชวรด้วยอาพาธเล็กน้อย จำต้องใช้น้ำนมโคมาบำบัด ข้าพระองค์ได้ถือบาตรจาริกไปยืนอยู่หน้าบ้านของมหาพราหมณ์ผู้หนึ่ง เพื่อบิณฑบาตน้ำนมโค ครั้งนั้นวิมลเกียรติคฤหบดีได้กล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าอานนท์ผู้เจริญ มาถือบาตรยืนอยู่ ณ ที่นี้แต่เช้าเพื่ออะไรหรือ ?”
“ข้าพระองค์ตอบไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี พระผู้มีพระภาคประชวร อาพาธเล็กน้อย จำเป็นต้องใช้น้ำนคโคไปบำบัด อาตมภาพจึงมายืนอยู่ ณ ที่นี้ เพื่อสิ่งประสงค์นั้น.”
“วิมลเกียรติคฤหบดีพูดว่า “หยุดเถอะ ! หยุดเถอะ ! พระคุณเจ้าอานนท์ อย่าได้กล่าววาจาอย่างนี้อีกเลย อันพระวรกายของพระพุทธองค์นั้น ย่อมสำเร็จเป็นวัชรกายสิทธิ มีสรรพบาปโทษละได้ขาดแล้วโดยสิ้นเชิง เป็นที่ประชุมแห่งสรรพกุศลธรรมทั้งปวง ที่ไหนจักมีอาพาธมาเบียดเบียนได้ที่ไหนจักต้องเดือนร้อนเพราะความเบียดเบียนนั้นเล่า ? โปรดเงียบเสียเถิดพระคุณอย่าได้กล่าวจ้วงจาบพระพุทธองค์นักเลย อย่าได้ให้พวกพาหิรชนได้สดับถ้อยคำอันหยาบช้านี้ อย่าได้ให้บรรดาทวยเทพผู้มีมหิทธิฤทธิ์กับทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในวิสุทธิพุทธเกษตรต่าง ๆ ซึ่งมาเฝ้าพระพุทธองค์สดับถ้อยคำนี้ได้ ข้าแต่พระคุณเจ้าอานนท์ แม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิซึ่งอาศัยบุญญาธิการแต่เพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นผู้ปราศจากพยาธิภัย จักกล่าวไปไยกับพระตถาคตเจ้าซึ่งทรงสมบูรณ์ ประชุมพร้อมด้วยบุญญาธิการอันไม่มีประมาณประเสริฐเลิศกว่าเล่า กลับไปเสียเถิดพระคุณเจ้าอย่ากระทำให้พวกเราต้องได้รับความอับอายเลย พวกพาหิรชนสมณพราหมณ์ภายนอก หากได้สดับถ้อยคำของพระคุณเจ้าแล้ว ก็จักเกิดความตรึกคิดขึ้นว่า ก็นี่จักชื่อว่าพระบรมศาสดาได้อย่างไรกัน เพราะแม้แต่โรคของตนเองยังบำบัดช่วยตนเองไม่ได้ ที่ไหนจักสามารถช่วยบำบัดโรคภัยของผู้อื่นเล่า ? ฉะนั้น พระคุณจงรีบกลับไปเงียบ ๆ อย่ากระโตกกระตากให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้ยินเป็นอันขาดเทียวหนา พระคุณเจ้าอานนท์พึงทราบไว้เถอะว่า พระวรกายที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็คือพระธรรมกายนั้นเอง มิได้เป็นกายเกิดจากกิเลสตัณหา พระพุทธองค์เป็นพระผู้ควรบูชา ประเสริฐเลิศกว่าผู้หนึ่งผู้ใดในไตรโลก พระสรีระของพระองค์เป็นอนาสวะ มีอาสวธรรมเป็นมูลเฉทสิ้นเชิงแล้ว พระสรีระของพระองค์เป็นอสังขตะ ปราศจาก เหตุปัจจัยปรุงแต่งได้ ไม่ตกไปในข่ายแห่งการนับประมาณได้ ก็เมื่อพระวรกายของพระองค์มีสภาพดังกล่าวมานี้ จักมีโรคาพาธเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า ?
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สมัยนั้น ข้าพระองค์ได้บังเกิดความละอายเกรงกลัวในตนเองขึ้นว่า เราเป็นผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดพระบรมศาสดาจักฟังพระพุทธดำรัส โดยฟังผิดไปกระนั้นฤๅ ? ทันใดนั้น ข้าพระองค์ก็ได้ยินเสียงในอากาศดังขึ้นมาว่า ๑ ”
“อานนท์ ! ถูกต้องแล้วตามที่คฤหบดีผู้นั้นกล่าว แต่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าทรงถืออุบัติมาในปัญจสหาโลกธาตุ ซึ่งมีความเสื่อม ๕ ประการจึงทรงสำแดงให้เห็นไปต่าง ๆ (มีอาพาธ) เป็นต้น เพื่อเป็นอุบายโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ จงปฏิบัติต่อไปเถิดอานนท์ บิณฑบาตน้ำนมโคต่อไปได้ โดยอย่ามีความหวั่นเกรงเลย.”
“ข้าแต่พระสุคต ดูเถิด ! สติปัญญาปฏิภาณความสามารถของวิมลเกียรติคฤหบดีมีอยู่เห็นปานฉะนี้ โดยเหตุนั้นแล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้เขา พระพุทธเจ้าข้า.”
ด้วยประการดั่งบรรยายมานี้ พระสาวกทั้ง ๕๐๐ องค์ ต่างก็กราบทูลแถลงยุบลความเป็นมาแห่งเรื่องราวของแต่ละองค์กับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกล่าวสดุดียกย่องชมเชยในพจนาทของวิมาเกียรติคฤหบดี แต่ต่างก็ทูลด้วยเสียงอันเดียวกันว่า ตนเองไม่เหมาะสมแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น
ปริเฉทที่ ๓ สาวกวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตววรรค
ปริเฉทที่ ๔
โพธิสัตววรรค
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกาให้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้วิมลเกียรติคฤหบดี พระเมตไตรยโพธิสัตว์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของอุบาสดนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์กำลังแสดงธรรมว่าด้วยปฏิปทาแห่งนิวรรตนิยภูมิแก่ดุสิตเทวราชพร้อมทั้งเทวบริษัทอยู่ ครั้งนั้นวิมลเกียรติคฤหบดีได้เข้ามากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าเมตไตรยผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์พระคุณว่า พระคุณยังเกี่ยวเนื่องกับชาติอีกชาติเดียว ก็จักได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระคุณจักเอาชาติใดในการรับลัทธยาเทสพุทธพยากรณ์เล่า จักเอาอดีตชาติฤๅ ? อนาคตชาติฤๅ ? หรือจักเอาปัจจุบันชาติฤๅ ? ถ้าเป็นอดีตชาติไซร้อดีตก็ชื่อว่าล่วงลับไปแล้ว หากเป็นอนาคตชาติเล่า อนาคตก็ยังเป็นธรรมที่ยังไม่มาถึง หรือจักเป็นปัจจุบันชาติ ปัจจุบันชาติก็ปราศจากสภาวะความดำรงตั้งมั่นอยู่ได้ สมดังพระพุทธวจนะที่ว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลใด ที่ชาติของเธอบังเกิดขึ้นในกาลนั้น ก็ชื่อว่าชรา เป็นภังคะด้วย ถ้าพระคุณจักเอาอนุตปาทะ ความไม่มีชาติรับลัทธยาเทสพุทธพากรณ์ไซร้ ความไม่มีชาติเป็นอนุตปาทธรรมนั้น แท้จริงก็คือ ตัตตวสัตยธรรม ก็ในตัตตวสัตยธรรมนั้น ย่อมไม่มีการให้พยากรณ์ และไม่มีการบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อเป็นดังนี้พระคุณเจ้าเมตไตรยจักรับพุทธพยากรณ์ว่าพระคุณเป็นเอกชาติปฏิพัทธะยังเกี่ยวเนื่องกับชาติอีกเพียงชาติเดียว ก็จักตรัสรู้อย่างไรได้เล่า ? หรือจักกล่าวว่า ได้รับพุทธพยากรณ์ในความเกิดขึ้นแห่ง ตถตา ฤๅ ? หรือจักกล่าวว่า ได้รับพุทธพยากรณ์ในความดับไปแห่ง ตถตา ฤๅ ? ถ้าเป็นการรับพุทธพยากรณ์ในความเกิดขึ้นแห่ง ตถตา ไซร้ โดยความจริงแล้ว ตถตา ย่อมไม่มีความเกิดขึ้น ถ้าเป็นการรับพุทธพยากรณ์ในความดับไปแห่ง ตถตา ไซร้ โดยความจริงแล้ว ตถตา ย่อมไม่มีความดับไป สรรพสัตว์ย่อมเป็น ตถตา นี้ แม้พระคุณท่านเมตไตรยเองก็เป็น ตถตา นี้ด้วย ฉะนั้น ถ้าพระคุณได้รับพุทธพยากรณ์ สรรพสัตว์ก็สมควรจักได้รับพุทธพยากรณ์ด้วยข้านั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าอันธรรมชาติแห่ง ตถตา นั้น ย่อมไม่มีความเป็นหนึ่งหรือความเป็นสองนั้นเอง หากพระคุณได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สรรพสัตว์ก็สมควรจะต้องบรรลุข้อนั้น เพราะเหตุเป็นไฉน ? ทั้งนี้เพราะธรรมชาติแห่งสรรพสัตว์นั้น โดยเนื้อแท้แล้วก็คือธรรมชาติแห่งโพธินั่นเอง และถ้าพระคุณดับขันธปรินิพพานลง สรรพสัตว์ก็สมควรจักต้องดับขันธปรินิพพานด้วย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรู้ชัดว่า ธรรมชาติของสรรพสัตว์นั้น มีความดับรอบเป็นสภาพ คือพระนิพพานาตุนั่นเอง มิจำเป็นต้องมีอะไรมาดับรอบกันอีก เพราะฉะนั้นแล ข้าแต่ะพระคุณเจ้าเมตไตรยผู้เจริญ พระคุณโปรดอย่าได้แสดงะรรมอย่างนี้ (คือแสดงปฏปทาแห่งอนิวรรตรนิยภูมิ) ลวงเทวบริษัทเลย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า โดยประมัตถืแล้ว ก็ไม่มีผุ้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเลย พระคุณควรเทศนาสอนให้เทพยดาเหล่านี้ละวิกัลปทิฏฐิในธิเสีย ด้วยเหตุเป็นไฉน ? เพราะธรรมชาติแห่งโพธินั้น จักบรรลุด้วยกายก็มิได้ ฤๅจักบรรลุด้วยจิตก็หามิได้ ธรรมชาติที่ดับรอบสนิทโดยไม่มีเศษเหลือนั่นแลคือโพธิ เพราะดับเสียซึ่งปวงลักษณะเสียได้ ฯลฯ
“ข้าแต่พระสุคต เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมนี้จบลง มีเทพยดา ๒๐๐ องค์ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ ด้วยเหตุประการฉะนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของเขา พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธดำรัสให้พระประภาลังการกุมารไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระประภาลังการกุมารกราบทูลว่า
ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของเขาพระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ข้าพระองค์ยังระลึกได้อยู่ว่าสมัยหนึ่ง ข้าพระองค์เดินทางออกจากเมืองเวสาลี ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีก็กำลังเดินทางเข้ามาสูนนครเวสาลี เมื่อพบกัน ข้าพระองค์ได้แสดงคารวะแล้วถามท่านว่า “ท่านคฤหบดีมาแต่ไหนเทียว ?ไ
วิมลเกียรติคฤหบดีตอบว่า “ผมมาแต่ธรรมมณฑล.”
ข้าพระองค์จึงถามต่อไปว่า “ธรรมมณฑลไหน ?”
“ท่านตอบว่า จิตที่ตั้งไว้ตรงนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความล่อลวง การปฏิบัติธรรมนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังให้ลุแก่ปฏิเวธ จิตที่ลึกซึ้งนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งกุศลธรรมอันสมบูรณ์พร้อม โพธิจิตนั้นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความหลงผิดใด ๆ ทานบริจาคนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ สีลสังวรนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังปฎิธานให้สำเร็จ ขันตินั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะจิตไม่บังเกิดความเบียดเบียนเป็นอุปสรรคในสรรพสัตว์ วิริยะนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะปราศจากโกสัชชะ ฌานสมาธินั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะมีจิตอันฝึกฝนอ่อนโยนเป็นกรรมนียะแล้ว ปัญญานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะอรรถว่ารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวงโดยประจักษ์เมตตานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังความสุขให้เกิดแก่สรรพสัตว์โดยเสมอภาพกรุณานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะสามารถทำให้อดกลั้นต่อความทุกข์ในการโปรดสัตว์ได้ มุทิตานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทำให้ชื่นชมยินดีในธรรม อุเบกขานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นธรรมซึ่งยังความชัง ความรักให้สมุจเฉทไป อภินิหารนั่นแลชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังฉฬภิญญาให้สำเร็จไพบูลย์ได้ วิมุตตินั่นแลช ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะสละเสียซึ่งสรรพธรรมได้ อุปายนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นเหตุให้สั่งสอนโปรดสรรพสัตว์ได้ สังคหวัตถุ ๔ นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นธรรมซึ่งสงเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย พหูสูตนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นเหตุชักจูงให้ปฏิบัติตามที่ได้สดับศึกษามา การควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะนำมาซึ่งยถาภูตญาณทัสสนะได้โพธิหักขิยธรรม ๓๗ ประการนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะนำให้ปล่อยวางสังขารธรรมได้ จตุราริยสัจนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะเป็นสภาพจริงไม่ล่อลวงโลก ปฏิจจสมุปบาทนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑลเพราะอวิชชา ฯลฯ ชรามรณะนั้นล้วนเป็นอนัตตธรรม (ด้วยเป็นสภาพว่างเปล่า) กิเลสาสวะทั้งปวงนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะความรู้แจ้งตามสภาพของมัน* สรรพสัตว์นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะรู้แจ้งในหลักอนัตตา ธรรมทั้งปวงนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทราบชัดว่าธรรมทั้งปวงนั้นเป็นสุญญตา มารวิชัยนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะทำให้ไม่หวั่นไหวกำเริบ ภพทั้ง ๓ นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่ยึดเอาคติแห่งภพนั้น สิงหนาทนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากความหวั่นหวาดจากภัย พละ อุภยะ อเวณิกธรรมนั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะปราศจากอกุศลโทษทั้งหลาย ไตรวิชชานั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะไม่มีอาวรณธรรมใด ๆ อื่น ความที่ชั่วขณะจิตเดียวก็สามารถรู้แจ้งสรรพธรรมได้นั่นแล ชื่อว่าธรรมมณฑล เพราะยังสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จด้วยประการดังที่พรรณนามานี้ ดูก่อนกุลบุตร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อโปรดสรรพสัตว์ การกระทำของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถใด จะเดิน จะเหิน จะไป จะมา ท่านพึงกำหนดรู้ไว้เถอะว่า พระโพธิสัตว์นั่นชื่อว่ามาจากธรรมมณฑลตั้งอยู่ในธรรมของพระพุทธองค์แล.”
“เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมกถานี้จบลง มีเทพยดา ๕๐๐ องค์ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณ ด้วยเหตุประการฉะนี้แล ข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีผู้นั้นพระพุทธเจ้าข้า.”
* อธิบายว่า กิเลสก็เป็นอนัตตา พระนิพพานเล่าก็เป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ ในส่วนของอนัตตาทั้งสองก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงย่อมไม่หานิพพานภายนอกกิเลส เพราะเมื่อใดมารู้ชัดว่ากิเลสนั้นว่างเปล่า เมื่อนั้นก็ย่อมเป็นนิพพาน.
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระดำรัสให้พระวสุธาธรโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้ พระวสุธาธรโพธิสัตว์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้ของคฤหบดีผู้นั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์อาศัยอยู่ใจเคหะอันสงัดวิเวก ครั้งนั้น พญามารสวัตดีมีทิพยลักษณ์ ดุจท้าวศักรินทรเทวราช มีนางเทพธิดา ๑๒,๐๐๐ แวดล้อมเป็นบริวาร บำเรอด้วยทิพยสังคีต พากันมาอภิวาทน์บาทของข้าพระองค์ กระทำอัญชลีกรรมด้วยความเคารพแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ข้าพระองค์สำคัญผิดว่า เป็นท้าวศักรินทร์เทวราชจริง ๆ จึงได้กล่าวปฏิสันถารว่า
“ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์ได้เสวยวิบากแห่งบุญเห็นปานนี้ ขอพระองค์อย่าได้ประมาทพึงพอใจแต่เพียงเท่านี้เลย พึงพิจารณาเบญจพิธกามคุณ ๕ ว่าเป็นสิ่งอนิจจัง เพื่อเจริญกุศลธรรมไว้เป็นรากฐานยิ่งขึ้นไปอีก พระองค์พึงอาศัยสรีระ ชีวิต และโภคสมบัตินี้แสวงหาธรรมอันมีสาระเถิด.”
พญามารได้ตอบข้าพระองค์ว่า “ข้าแต่ท่านมุนี ข้าพเจ้าขอถวายเทพธิดา ๑๒,๐๐๐ นี้แกท่าน เพื่อเอาไว้ใช้งานมีการปัดกว่านเสนาสนะเป็นต้น.”
ข้าพระองค์ได้ปฏิเสธว่า “ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระองค์อย่าได้ปรารถนาให้สิ่งอันไม่ชอบธรรมแก่อาตมภาพ ซึ่งเป็นสมณศากยบุตรเลย สิ่งนี้ไม่สมควรแก่สมณวิสัย.”
ข้าพระองค์ไม่ทันจะพูดจบ วิมลเกียรติคฤหบดีก็ตรงมากล่าวกับข้าพระองค์ว่า
“นั่นไม่ใช่ท้าวศักรินทร์หรอก เป็นมารจำแลงมาผจญทำลายตบะท่านต่างหากเล่า.”
แล้วคฤหบดีนั้นก็หันมาปราศรัยกับมารว่า “บรรดาเทพธิดาเหล่านี้จงยกให้แก่เราได้ เพราะตัวเรานี้แหละ เป็นผู้เหมาะควรแก่การรับของของท่านนี้.”
สมัยนั้น พญามารมีความหวาดกลัว เกิดความปริวิตกว่า วิมลเกียรติคฤหบดี จักเล่นงานเราหรืออย่างไร จึงจักอันตรธานหายไปจากที่นั้นแต่ก็ไม่บังเกิดผล แม้จักบันดาลด้วยมหิทธิฤทธิ์นานัปการก็ไปจากที่นั้นหาได้ไม่ ทันใดนั้น มีเสียงนฤโฆษดังมาจากอากาศว่า*
“วสวัตดีเอ๋ย เจ้าจงมอบเทพธิดาเหล่านี้ให้เขาเสียเถิด แล้วเจ้าจึงกลับไปได้.”
“พญามารมีความกลัวนัก จึงยอมมอบเทพธิดาบริวารให้แก่วิมลเกียรติคฤหบดีไปตามคำบัญชานั้น.”
ครั้งนั้นท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้สอนเทพธิดาทั้งปวงว่า พญามารได้มอบเธอทั้งหลายแก่เราแล้ว บัดนี้เธอทั้งปวงจงตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเทอญ” แล้วพร่ำสอนโอวาทานุศาสนืเป็นอันมาก ยังเทพธิดาทั้งนั้นให้มีจิตตั้งมั่นอยู่ใจธรรมานุธรรมปฏิบัติ ในที่สุดคฤหบดีนั้นกล่าวว่า
“บัดนี้ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ก็มีจิตตั้งมั่นอยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมสุขเป็นที่ยินดีโดยตนเอง ฉะนั้น อย่าพึงยินดีในเบญจพิธกามคุณ ๕ อีกต่อไป”
เทพธิดาเหล่านั้นจึงถามขึ้นว่า “อะไรชื่อว่ามีธรรมสุขเป็นที่ยินดี ?”
ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีตอบว่า “ยินดีที่มีศัทธาปสาทะในพระพุทธองค์เป็นนิตย์ ยินดีในการสดับพระสัทธรรมเป็นนิตย์ ยินดีในการได้บูชาสักการะพระสงฆเจ้าเป็นนิตย์ ยินดีในการพ้นจากเบญจพิธกามคุณเป็น
นิตย์ ยินดีในการพิจารณาเห็นปัญจขันธทั้ง ๕ มีอุปมาดุจโรคร้าย ยินดีในการพิจารณาเห็นมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีอุปมา
__________________________
* เป็นเสียงของวิมลเกียรติสำแดงขึ้นดุจงูพิษ ยินดีในการพิจารณาเห็นสฬายตนะภายในมีอุปมาดุจเรือนร้าง ยินดีในการคุ้มครองรักษาจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติ ยินดีในการบำเพ็ญอัตถประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ ยินดีในการเคารพบูชาคุณครูบาอาจารย์ ยินดีในการบริจาคมหาทาน ยินดีในการมีสีลสังวรเคร่งครัด ยินดีในการมีขันติโสรัจจะ ยินดีในการยังกุศลสโมธานให้บังเกิดโดยมิย่นย่อ ยินดีในฌานสมาธิอันไม่ฟุ้งซ่าน ยินดีในปัญญาอันบริสุทธิ์สะอาด ยินดีในการมุ่งจิตต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยินดีในการบำราบเหล่ามาร ยินดีในการยังสรรพกิเลสให้ขาดเป็นสมุจเฉท ยินดีในการยังพุทธเกษตรให้บริสุทธิ์หมดจด ยินดีในการยังมหาปุริสลักษณะให้สำเร็จจึงสร้างปวงกุศลสมภาร ยินดีในกิจอลังการธรรมมณฑล ยินดีในการสดับพระสัทธรรมอันเป็นส่วนลึกซึ้ง ก็ไม่พึงบังเกิดความท้อถอยเหนื่อยหน่ายหวั่นเกรง ยินดีในการบรรลุวิโมกข์ ฯลฯ นี้แลชื่อว่าพระโพธิสัตว์มีธรรมสุขเป็นที่ยินดี.”
ในลำดับนั้น พญามารวสวัตดีได้กล่าวแก่บรรดาเทพธิดาว่า “เราปรารถนาจักกลับคืนสู่เทพมณเฑียรพร้อมกับท่านทั้งหลาย.”
เทพธิดาบริษัทตอบสนองว่า “พวกหม่อมฉันพร้อมด้วยท่านคฤหบดีผู้นี้มีธรรมสุขด้วยกันอยู่ พวกหม่อมฉันได้เสวยสุขอันประณีตอย่างยิ่ง มิได้ยินดีปรารถนาต่อเบญจพิธกามสุขอีกต่อไปแล้ว.”
พญามารจึงหันมาร้องขอกับวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ข้าแต่ท่านคฤหบดี ขอท่านโปรดสละเทพธิดาทั้งปวงนี้เถิดบุคคลผู้อาจจะสละสิ่งที่เห็นปานนี้ได้ ย่อมมีชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์โดยแท้.”
ท่านวิมลเกียรติกล่าวว่า “เรานะสละให้แล้วละ ท่านจงกลับคืนไปเสียเถอะ จงยังสรรพสัตว์ให้เข้าถึงความสมบูรณ์แห่งธรรมปณิธิโดยทั่วหน้าเทอญ.”
สำดับนั้นเทพธิดาบริษัทก็ถามขึ้นว่า “ข้าแต่ท่านคฤหบดี พวกเราทั้งหมดนี้ จักพึงอาศัยอยู่ในมารมณเฑียรด้วยฐานะอย่างไรหนอแล ?”
วิมลเกียรติคฤหบดีจึงอธิบายว่า “ดูก่อนภคินีทั้งหลาย” มีธรรมบทอันหนึ่งเรียกว่า อนันตาประทีป ท่านทั้งปวงพึงศึกษากำหนดไว้ ที่ชื่อว่าอนันตประทีปนั้นอุปมาว่า ประทีปดวงหนึ่งสามารถเป็นสมุฏฐานจุดประทีปให้ลุกโพลง ขึ้นอีกหลายร้อยหลายพันดวง ยังผู้ตกอยู่ในความมืดให้ได้รับแสงสว่าง และแสงสว่างนี้ก็มิรู้จักขาดสิ้นไปได้ โดยประการฉะนี้แลภคินี้ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ๆ ย่อมเป็นผู้กล่าวแนะนำชี้ทางแก่สรรพสัตว์อีกหลายร้อยหลายพัน ยังสัตว์เหล่านั้นให้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีจิตที่มุ่งในธรรมานุธรรมปฏิบัติไม่รู้จักขาดสิ้นแสดงพระสัทธรรมตามฐานะอันควร ยังสรรพกุศลสมภารของตนเองให้ทวีไพบูลย์ขึ้น นี้แลชื่อว่า อนันตประทีป ท่านทั้งปวงมาตรว่าจักอาศัยอยู่ในวิมาน มารก็จงอาศัยอนันตประทีปนี้ ยังเทพยดาเทพธิดาจำนวนมากเป็นอประไมยเหล่านี้ ให้เกิดจิตปณิธานในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณการกระทำดังนี้ ชื่อว่าท่านทั้งหลายได้สนองพระคุณของพระพุทธองค์ กับทั้งชื่อว่าได้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์สุขให้เกิดแก่สรรพสัตว์ด้วย.”
“ครั้งนั้น เทพธิดาบริษัท ได้อภิวาทน์บาทของท่านวิมลเกียรติด้วยเศียรเกล้า แล้วติดตามพญามารคืนสู่สรวงสวรรค์ ได้หายไปในบัดดลนั้นเอง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วิมลเกียรติคฤหบดีอุดมด้วยมหิทธานุภาพอันเป็นอิสระ ประกอบทั้งปัญญาปฏิภาณโกศลเห็นปานฉะนี้ ข้าพระองค์จึงไม่หมาะสมควรที่จักไปเยี่ยมไข้ของเขา พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธบรรหารให้บุตรคฤหบดี ผู้ชื่อว่าสุทัตตะเป็นผู้ไปเยี่ยมไข้ สุทัตตะกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์ก็ไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้นหรอก พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ข้าพระองค์ยังตามระลึกได้อยู่ว่า สมัยหนึ่ง ข้าพระองค์ได้จัดงานกุศลบำเพ็ญมหาทานบริจาค ณ คฤหาสน์ของท่านบิดา บริจาคทำบุญสักการะในสมณะทั้งหลาย ในพราหมณ์ทั้งหลาย กับทั้งบรรดานักบวชภายนอกศาสนาอื่น ๆ คนทุคตะเข็ญใจ พวกวรรณะต่ำ คนปราศจากญาติมิตรไร้ที่พึ่งและยาจก มีกำหนดครบถ้วน ๗ วัน ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีได้มาในท่ามกลางงานโอยทานนี้ และกล่าวกะข้าพระองค์ว่า
“ดูก่อนบุตรคฤหบดี อันมหาทานสันนิบาตนี้ เขาไม่จัดทำกันอย่างเช่นที่ท่านทำอยู่นี้หรอก ท่านพึงบำเพ็ญธรรมทานสันนิบาตเป็นนิตย์ วัตถุทานเหล่านี้จักไปทำไม ?”
ข้าพระองค์จึงถามว่า “ข้าแต่ท่านคฤหบดี อะไรเล่าชื่อว่าธรรมทานสันนิบาต ?”
ท่านตอบว่า “อันธรรมทานสันนิบาตนั้น ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตในกาลเดียวบูชาสักการะในสรรพสัตว์ได้ทั่วถึงนี้แลชื่อว่าธรรมทานสันนิบาต.”
ข้าพระองค์ถามอีกว่า “นั่นคืออะไร ?”
ท่านตอบว่า “เพราะมีความตรัสรู้เป็นที่ตั้ง พึงยังเมตตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักโปรดสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง พึงยังพระมหากรุณาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักธำรงพระศาสนาให้ยั่งยืนนาน พึงยังมุทิตาจิตให้เกิดขึ้น เพราะจักสงเคราะห์ปัญญาให้เกิดขึ้น พึงปฏิบัติในอุเบกขา เพราะจักสงเคราะห์ คนมัจฉริยะโลภมาก พึงยังทานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะจักสั่งสอนคนทุศีลพึงยังศีลบารมีให้เกิดขึ้น เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พึงยังขันติบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการบรรลุความตรัสรู้ พึงยังฌานบารมีให้เกิดขึ้น เพราะการสำเร็จในสัพพัญญุตญาณ พึงยังปัญญาบารมีให้เกิดขึ้น แสดงธรรมสั่งสอนปวงสัตว์ แต่ก็มีสัญญตสัญญาเกิดอยู่เป็นปกติ ไม่ต้องสละสังขตธรรม แต่ก็ยังอนิมิตตธรรมให้เกิดได้ แม้จักแสดงให้เห็นว่าต้องเสวยภพชาติอยู่ แต่ก็ไม่ยึดถือว่าเป็นกรรม เพราะธำรงรักษาพระศาสนาพึงยังอุปายพละให้เกิดขึ้น เพราะทำการโปรดสรรพสัตว์ พึงยังสังคหวัตถุธรรมให้เกิด ฯลฯ ปฏิบัติตามกุศลธรรมานุธรรมวิธี พึงยังอาชีวะให้บริสุทธิ์มีจิตหมดจด หฤหรรษ์อยู่ พึงเข้าไกล้บัณฑิตแลไม่รังเกียจพาลชน พึงควบคุมรักษาจิตไว้ให้อยู่ในอำนาจ ฯลฯ ละสรรพกิเลสให้เป็นสภุจเฉทพร้อมทั้งสรรพอาวรณะธรรมและสรรพอกุศลธรรมให้หมดไป ยังสรรพกุศลธรรมให้เกิดขึ้นเพื่อบรรลุสัพพัญญุตญาณ ยังสรรพกุศลธรรมและโพธิปักขิยธรรม อันเกื้อกูลแก่ความตรัสรู้ให้อุบัติขึ้น ด้วยประการดังนี้แลกุลบุตร ! จึงชื่อว่าธรรมทานสันนิบาตพระโพธิสัตว์องค์ใด ซึ่งสถิตอยู่ในธรรมทานสันนิบาตนี้ ย่อมชื่อว่าเป็นมหาทานบดี และชื่อว่าเป็นบุญเขตอันประเสริฐของโลกทั้งปวงด้วย.”
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีแสดงธรรมจบลงในพราหมณบริษัท มีพราหมณ์ ๒๐๐ คน ต่างมุ่งจิตต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จิตของข้าพระองค์พระองค์เองในสมัยนั้น ก็หมดจดสะอาดได้สรรเสริญธรรมของท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีแล้วได้มีขึ้นได้กระทำอภิวาทน์บาทของคฤหบดีนั้นด้วยเศียรเกล้าแล้ว ข้าพระองค์จึงแก้เอาสร้อยสังวาลเครื่องประดับมีราคามากกว่า ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะออกจากตัว น้อมไปบูชาท่านวิมลเกียรติ ท่าไม่รับของบูชานั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวว่า
“ข้าแต่ท่านคฤหบดี โปรดรับสิ่งบูชานี้เถิด สิ่งนี้สุดแล้วแต่ท่านจักจัดการ.”
“ลำดับนั้น วิมลเกียรติคฤหบดี จึงรับสร้อยสังวาลเครื่องประดับดังกล่าว แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน นำส่วนหนึ่งไปบริจาคให้แก่ยาจกผู้มีวรรณะต่ำที่สุดในสมาคมนั้น อีกส่วนหนึ่งนำไปน้อมถวายบูชาพระอปราชิตถาคตเจ้า ซึ่งประทับอยู่ในรัศมีประภาพุทธเกษตร.”
ครั้งนั้น บริษัทชนทั้งปวงต่างก็ได้ยลเห็นพระอปราชิตตถาคตเจ้าพระองค์ผู้ประทับอยู่ ณ รัศมีประภาโลกธาตุนั้น ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีกล่าวว่า
“หากผู้บริจาคทานมีจิตสม่ำเสมอ ไม่แบ่งแยกบริจาคให้แก่ยาจกผู้อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด ดุจเดียวกับว่าได้ถวายแก่พระตถาคตเจ้าอันเป็นบุญเขตที่เลิศ มีจิตกอปรด้วยมหากรุณา ไม่หวังปรารถนาต่อผลตอบแทนใด ๆ ไซร้ การบริจาคนั้นถึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมทานอันสมบูรณ์.”
“ครั้งนั้น ในนครมียาจกผู้อยู่ในวรรณะต่ำที่สุด ได้ทัศนาอิทธิปาฏิหาริย์อันมหัสจรรย์ และได้สดับธรรมกถาของคฤหบดีผู้นั้น ก็ตั้งจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเหตุฉะนี้แลข้าพระองค์จึงไม่เหมาะสมควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
ด้วยประการดังกล่าวมานี้ บรรดาพระโพธิสัตว์ต่างก็กราบทูลเล่ายุบลถึงสาเหตุของตน และต่างสดุดีความเป็นไปของวิมลเกียรติคฤหบดีพร้อมทั้งทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า ตนเองไม่เหมาะสม ควรแก่การไปเยี่ยมไข้คฤหบดีนั้น.
ปริเฉทที่ ๔ โพธิสัตวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๕ คิลานปุจฉาวรรค
ปริเฉทที่ ๕
คิลานปุจฉาวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีพุทธบรรหารให้พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ไปเป็นผู้เยี่ยมไข้วิมลเกียรติคฤหบดี พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระสุคตเจ้า อันอุดมบุรุษผู้นั้นหนอ ยากที่จักมีใครโต้ตอบปุจฉาวิสัชนาด้วย เหตุด้วยท่านเป็นผู้เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในยถาภูตสัตยธรรมมีความเชี่ยวชาญเจนจบในการแสดงธรรม มีปฏิภาณโกศลปราศจากที่ขัดข้องอักทั้งปรัชญาญาณอันแหลมลึกทะลุปรุโปร่งไม่มีที่กีดขวาง และเป็นผู้แตกฉานรู้รอบในสรรพโพธิสัตว์ธรรม ทั้งยังเป็นผู้เข้าถึงระหัสยครรภ์อันสุขุมลุ่มลึก แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกโสดหนึ่ง คฤหบดีนั้น เป็นผู้ชนะมาร บริบูรณ์ด้วยอภิญญากรีฑา มีปรัชญาอุบายให้สำเร็จกิจในการโปรดสรรพสัตว์ แต่ถึงแม้กระนั้น ข้าพระองค์ก็ขอรับพระพุทธบัญชา จักไปเยี่ยมไต่ถามอาการไข้ของคฤหบดีนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
ครั้งนั้นแล ในธรรมมหาสันนิบาต อันมีปวงพระโพธิสัตว์ พระมหาสาวก ท้าวพรหมราช ท้าวศักรินทร์ ท้าวจาตุมมหาราช ต่างก็เกิดมนสิการในใจว่า บัดนี้มหาบุรุษทั้งสองคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์กับท่านวิมลเกียรติคฤหบดีจักร่วมสนทนาปราศรัยกัน จักต้องมีการแสดงคัมภีรธรรมอันลึกซึ้งต่อกันเป็นแม่นมั่น ครั้นแล้วจึงพระโพธิสัตว์ ๘,๐๐๐ องค์ พระอรหันตสาวก ๕๐๐ องค์ และเทวบริษัทนับด้วยร้อยเป็นอเนก นับด้วยพันเป็นอเนก ต่างพากันมีสมานฉันท์ในอันจักติดตามไปด้วย ลำดับนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พ้อมด้วยหมู่แห่งพระโพธิสัตว์ พระมหาสาวกและทวยเทพนิกรแวดล้อมติดตามแล้วก็พากันยาตราเข้าไปสู่นครเวสาลี.
ก็โดยสมัยนั้นแล วิมลเกียรติคฤหบดีมีความปริวิตกในใจว่า บัดนี้พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พร้อมทั้งบริษัทหมู่ใหญ่จักมาสู่เคหสถานนี้พร้อมกัน จึงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขารยังเคหาสน์ของตนให้สำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นเคหาสน์ว่างเปล่า ปราศจากสิ่งประดับตกแต่งใด ๆ ปราศจากบริวารผู้อุปัฏฐากรับใช้ได้ ๆ มีเหลือแต่เตียงอยู่เตียงเดียว ซึ่งตนนอนเจ็บอยู่เท่านั้น ลำดับนั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้ย่างกรายเข้ามาสู่คฤหาสน์ของคฤหบดีนั้นแล้ว ได้ยลแต่คหาสน์อันว่างเปล่าปราศจากเครื่องแต่งบ้านใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่วิมลเกียรติคฤหบดีนอนอยู่บนเตียงโดดเดี่ยวอยู่ ครั้งนั้น วิมลเกียรติคฤหบดีจึงทักพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ขึ้นว่า
“ข้าแต่พระมัญชุศรีผู้เจริญ การมาของพระคุณเป็นการมาดีแล้ว แต่ว่ากันตามเป็นจริง พระคุณก็ไม่มีลักษณะใดที่จะมาแต่ก็ได้มา กระผมเล่าก็ไม่มีลักษณะใดจะพึงเห็นแต่ก็ได้เห็น.”
พระมัญชุศรีตอบว่า “ถูกละ คฤหบดี ! ถ้ามาแล้วก็ย่อมไม่มีการมาอีก หรือหากไปแล้วก็ย่อมไม่มีการไปอีก ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะโดยความจริงแล้ว ย่อมปราศจากแห่งหนในการมา แลย่อมปราศจากแห่งหนในการไป อันสรรพสิ่งที่เห็นนั้นเล่า ก็ย่อมปราศจากสภาวะอันจักพึงเห็นได้ ปัญหาเรื่องนี้เชิญงดไว้ก่อน อาพาธของท่านน่ะยังพออดทนได้อยู่ฤๅ? การบำบัดรักษาเปล่าจากผลถึงกับอาการโรคทวีขึ้นหรือไม่เล่า? พระผู้มีพระภาคมีพระมหากรุณาให้อาตมภาพมาเยี่ยมเยือนถามถึงความเป็นไปของท่าน อนึ่ง อาพาธของท่านนั้นก็สมุฏฐานมาจากอะไร? เกิดขึ้นเป็นไปอยู่นานเท่าไร? แลจักดับหายไปได้อย่างไร ?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “เพราะอาศัยโมหะเป็นสมุฏฐานจึงมีตัณหานี้เป็นการอุบัติขึ้นแห่งอาพาธของกระผม เพราะเหตุที่สรรพสัตว์เจ็บป่วยกระผมจึงต้องเจ็บป่วย ถ้าหากสรรพสัตว์พ้นจากความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยของกระผมก็ย่อมดับสูญไปเอง ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ? เพราะว่าพระโพธิสัตว์ย่อมอาศัยสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง จึงมาสู่ความวนเวียนแห่งชาติมรณะ ครั้นเมื่อยังมีชาติมรณะอยู่ ก็ย่อมมีความเจ็บป่วยอยู่ตามธรรมดา ก็ถ้าว่าสรรพสัตว์พ้นจากความเจ็บป่วยได้ พระโพธิสัตว์ย่อมปราศจากอาพาธใด ๆ รบกวนอีก อุปมาดั่งคฤหบดีผู้มีบุตรแต่เพียงคนเดียว เมื่อบุตรนั้นล้มเจ็บ บิดามารดาก็ย่อมพลอยเจ็บตามไปด้วย ครั้นบุตรนั้นหายเจ็บ บิดามารดาก็พลอยหายเจ็บไปด้วยฉันใด พระโพธิสัตว์ ก็มีอุปไมยดุจเดียวกับแม้ฉันนั้น กล่าวคือมีความกรุณาเมตตาต่อสรรพสัตว์เช่นบุตรในอุทร เมื่อสรรพสัตว์เจ็บ ก็เท่ากับพระโพธิสัตว์ท่านเจ็บ เมื่อสรรพสัตว์หายเจ็บ ความเจ็บของพระโพธิสัตว์ก็ย่อมสูญหายไป.”
“อนึ่ง พระคุณถามว่า สมุฏฐานแห่งอาพาธเนื่องมาจากอะไร ? กระผมขอวิสัชนาว่า เหตุแห่งอาพาธของพระโพธิสัตว์นั้น มีพระมหากรุณาเป็นสมุฏฐานด้วยดั่งนี้แล.”
พระมัญชุศรีถามว่า “คฤหาสน์ของท่านคฤหบดี ไฉนจึงว่างเปล่าจากผู้คนบริวารเล่า?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “แม้แต่พระพุทธเกษตรแห่งพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็มีสภาพว่างเปล่าดุจกัน.”
ถามว่า “เพราะเหตุดังฤๅจึงว่างเปล่า?”
ตอบว่า “เพราะมีความว่างเปล่าเป็นสภาพดังนั้นจึงชื่อว่าว่างเปล่า”
ถามว่า “ก็เมื่อเป็นสภาพว่างเปล่าอยู่แล้ว ไฉนจึงต้องเพ่งพิจารณาว่าว่างเปล่าอีก ?”
ตอบว่า “ เพราะความที่ปราศจากวิกัลป์ปะในความว่างเปล่านั่นเอง จึงเป็นสุญญตา.”
ถามว่า “ก็สุญญตานั้นพึงวิกัลป์ปะได้ด้วยฤๅ”
ตอบว่า “แม้วิกัลป์ปะก็เป็นสุญญตา”
ถามว่า “จักหาสุญญตาได้แต่ไหน ?”
ตอบว่า “พึงหาได้จากทิฏฐิ ๖๒.”
ถามว่า “ก็ทิฏฐิ ๖๒ นั้น จักหาได้แต่ไหน ?”
ตอบว่า “พึงหาได้ในวิมุตติภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง.”
ถามว่า “ก็วิมุตติภาพแห่งพระสัมพุทธเจ้าทั้งปวงเล่า พึงหาได้แต่ไหน?”
ตอบว่า “พึงหาได้จากจิตจรรยาของสรรพสัตว์ อนึ่ง พระคุณท่านถามกระผมตอนต้นว่า ไฉนกระผมจึงไม่มีผู้คนบริวารเป็นอุปัฏฐากนั้น อันทีจริงสรรพมารกับทั้งปวงพาหิรชน ล้วนเป็นบริวารอุปัฏฐากของกระผม ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าสรรพมารทั้งปวงย่อมยินดีปรารถนาในความเวียนว่ายตายเกิด แม้พระโพธิสัตว์ก็ย่อมไม่สละคืนซึ่งความเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกัน บรรดาพาหิรชนย่อมยินดีปรารถนาในปวงทิฏฐิ แต่พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ไหวหวั่นด้วยทิฏฐิเหล่านั้น.”
พระมัญชุศรีถามว่า “อาพาธของท่านคฤหบดีมีลักษณาการโรคอย่างไร ?”
ตอบว่า “อาพมธของกระผมปราศจากลักษณาการอันจักพึงเห็นได้.”
ถามว่า “อาพาธของท่านคฤหบดี มันเกิดเป็นขึ้นกับกายหรือเกิดเป็นขึ้นกับจิต ?”
ตอบว่า “จักว่ากายก็มิใช่ เพราะห่างไกลจากกายลักษณะ และก็มิใช่จิต เพราะจิตนั้นเป็นดุจมายา.”
ถามว่า “ในบรรดามหาภูตรูป ๔ กล่าวคือ ปฐวีมหาภูต อาโปมหาภูตเตโชมหาภูต วาโยมหาภูตนั้น มหาภูตใดของท่านหนอที่เกิดอาพาธขึ้น ?”
ตอบว่า “ อาพาธของกระผมมิใช่เป็นที่ปฐวีมหาภูต อาโปมหาภูต เตโชมหาภูต วาโยมหาภูต แต่ก็ไม่เป็นอื่นไปจากมหาภูตทั้ง ๔ นั้น ก็แต่ว่าอาพาธสมุฏฐานแห่งปวงสัตว์ ย่อมเกิดมาจากมหาภูตรูป ๔ เมื่อสรรพสัตว์ยังอาพาธอยู่ตราบใด กระผมก็ยังต้องอาพาธอยู่ตราบนั้น.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้ถามท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า “พระโพธิสัตว์ผู้ไปเยี่ยมเยียนพระโพธิสัตว์ผู้อาพาธอยู่ จักพึงปลอบโยนให้โอวาทด้วยประการฉันใดหนอ ?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “พึงให้โอวาทถึงความอนิจจังแห่งสรีระแต่อย่ากล่าวให้เกิดความรังเกียจเอือมระอาในสรีระ พึงให้โอวาทพึงความเป็นทุกขังแห่งสรีระ แต่อย่ากล่าวให้เกิดความยินดีในพระนิพพาน* พึงให้โอวาทพึงความเป็นอนัตตาแห่งสรีระ แต่ให้กล่าวให้เกิดวิริยะในการโปรดสรรพสัตว์ พึงให้โอวาทพึงความเป็นสุญญตาแห่งสรีระ แต่อย่ากล่าวว่าโดยที่สุดสิ่งทั้งปวงเป็นสภาพดับรอบไม่เหลือ พึงให้โอวาทพึงการขมาโทษก่อน แต่อย่ากล่าวโทษเหล่านั้น ว่าเป็นสิ่งที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต พึงอาศัยความเจ็บป่วยของตนเอง เปรียบเทียบไปถึงความป่วยเจ็บของสรรพสัตว์ แล้วแลเกิดความกรุณาต่อสัตว์เหล่านั้น พึงย้อนระลึกพึงความทุกข์ที่ตนได้เสวยมาแต่เบื้องอดีตชาตินานไกล นับด้วยหลายอสงไขยกัลป์ป์แล้วตั้งจิตให้มั่นอยู่ในกิจ ที่จักบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์พึงระลึกถึงกุศลสมภารที่ตนได้สร้างสมมา ตั้งจิตอยู่ในวิสุทธิสัมมาอาชีวปฏิปทา อย่าให้เกิดความทุกข็โทมนัส พึงตั้งอยู่ในวิริยภาพดำรงตนเป็นจอมแพทย์ในอันจักรักษาบำบัดพยาธิภัยแก่ปวงสัตว์ พระโพธิสัตวึงปลอบโยนให้โอวาทแก่พระโพธิสัตว์ผู้อาพาธ ยังพระโพธิสัตว์ผู้อาพาธนั้นให้มีธรรมปีติบังเกิดขึ้นเป็นอยู่ ด้วยประการดังกล่าวนี้.”
พระมัญชุศรีถามว่า “ดูก่อนคฤหบดี ก็พระโพธิสัตว์ผู้อาพาธอยู่จักพึงฝึกฝนอบรมจิตใจอย่างไรหนอ ?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “พระโพธิสัตว์ผู้อาพาธ พึงมนสิการในใจว่า ความเจ็บป่วยของเรานี้ แต่ละล้วนมีสมุฏฐานปัจจัยจากวิกัลปสัญญาพร้อมทั้งอาสวกิเลสในเบื้องอดีตชาติ โดยความจริงแล้ว ก็ไม่มีสภาวะที่ยืนยงใด ๆใครเล่าที่เป็นผู้เสวยทุกข์จากความเจ็บป่วย (แท้จริงไม่มีผู้เจ็บป่วยเลย) ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะการประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ จึงบัญญัติเรียกว่าสรีระ มหาภูตรูป ๔ นี้ปราศจากผู้เป็นเจ้าของสรีระเล่าก็เป็นอนัตตา อนึ่ง ความเจ็บป่วยที่บังเกิดขึ้นเล่า ก็ล้วนมาจากความยึดถือใจตัวตนว่ามี (ฉัน) ดังนั้นจึงสมควรละความยึดถือในตัวตนเสียแลเมื่อรู้ถึงอาพาธสมุฏฐานเช่นนี้ ก็พึงละอัตตสัญญากับสัตวสัญญาพึงยังธรรมสัญญาให้บังเกิด กล่าวคือมนสิการว่า สรีระนี้เป็นแต่สภาวธรรมมาประชุมสำเร็จขึ้น มีแต่สภาวธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น สภาวธรรมเท่านั้นที่ดับไป สภาวธรรมเหล่านี้ต่างไม่ได้นัดหมายรู้อะไรกันมา ในสมัยที่เกิดขึ้นก็มิได้พูดว่าฉันเกิดขึ้นแล้วจ้ะ ในสมัยที่ดับไปก็มิได้พูดว่า ฉันดับไปแล้วจ้ะ อนึ่ง พระโพธิสัตว์ผู้อาพาธพึงปฏิบัติต่อไปเพื่อดับธรรมสัญญานี้ พึงมนสิการว่า แม้แต่ธรรมสัญญาอย่างนี้ ก็ยังเป็นวิปลาสสัญญา ขึ้นชื่อว่าเป็นวิปลาสแล้ว ย่อมมีมหันตภัย เราจำต้องละเสีย ละอะไร ? ก็ละอหังการความยึดถือว่า “ตัวฉัน” ละมมังการ ความยึดถือว่า “ของของฉัน” การละอหังการมมังการนั้นละอย่างไร ? คือละธรรม ๒ อย่าง ธรรม ๒ อย่างนั้นคืออะไร ? กล่าวคือ ความไม่ยึดถือนะรรมที่เป็นภายในกับธรรมที่เป็นภายนอก ดำรงอยู่สมธรรม ก็สมธรรมนั้นเป็นไฉน ? คือตัวของเราอย่างไร พระนิพพาน ก็เหมือนกันอย่างนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะเหตุว่าธรรมเหล่านั้นเป็นสักแต่ว่าสมมติบัญญัติปราศจากสภาวะที่แน่นอนด้วยตัวของมันเอง จึงได้ชื่อว่าเป็นสมธรรมครั้นเห็นแจ้งโดยประการดั่งนี้ สรรพอาพาธก็ย่อมไปปราศสิ้น คงมีเหลือแต่สุญญตาพาธ กล่าวคือความเจ็บป่วยเพราะเหตุติดในสุญญตานั้นเพียงประเภทเดียว และดั่งนั้นจึงจำต้องสละความยึดมั่นสำคัญหมายในสุญญตานั้น กล่าวคือความรู้สึกยึดฉวยว่ามีสุญญตาก็ต้องให้สูญไปด้วย มาตรแม้ว่าบังเกิดทุกขเวทนาเป็นไปเนื่องในสรีระอยู่ไซร้ ก็พึงมนสิการถึงสรรพสัตว์ในทุคติภูมิ ซึ่งต้องเสวยทุกข์อยู่เป็นอันมาก พระโพธิสัตว์นั้นพึงยังมหากรุณาจิตให้อุบัติขึ้น กล่าวคือเมื่อตัวของตนสามารถบำราบกำจัดทุกข์ให้พ่ายแพ้สูญหายไปอย่างไรแล ก็พึงช่วยสงเคราะห์บำราบกำจัดทุกข์ภัยแห่งหมู่สัตว์ดุจเดียวกัน ฯลฯ
“อนึ่ง พระโพธิสัตว์แม้จักอยู่ในท่ามกลางแห่งชาติมรณะ ก็มิได้แปดเปื้อนด้วยมลทินนั้น แม้จัก
ตั้งอยู่ในพระนิพพาน แต่ก็มิได้ด่วนดับขันธปรินิพพาน มิได้ดำเนินตามปุถุชนจริยา ฤๅดำเนินตามอายรชนจริยานี้__________________________
* เพราะถ้ารีบด่วนเข้า อนุปาทิเสสนิพพาน ก็ไม่มีโอกาสมาว่ายเวียนโปรดสัตว์ได้อีก.
แลชื่อว่าจริยาแห่งพระโพธิสัตว์ จักนับเป็นมลจริยาก็มิได้ ฤๅจักนับเป็นวิมลจริยาก็มิได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักปฏิบัติผ่านมารจริยามาแต่ก็สามารถสำแดงการบำราบมารให้อยู่ในอำนาจได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักเพ่งพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒ แต่ก็สามารถเข้าถึงบรรดามิจฉาทิฏฐิได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักสงเคราะห์สรรพสัตว์ แต่ก็ไม่บังเกิดฉันทราคะเพลิดเพลิน นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักบำเพ็ญสุญญตจริยา แต่ก็สร้างสมสรรพกุศลธรรมไว้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักปฏิบัติตามอัปปนิมิตธรรม แต่ก็โปรดสรรพสัตว์นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักปฏิบัติตามอกตธรรม แต่ก็สำแดงการเสวยภพชาติให้ปรากฏได้ แม้จักปฏิบัติตามอนุตปาทธรรม แต่ก็ยังสรรพกุศลจริยาให้เกิดมีขึ้นได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักปฏิบัติในปารมิตา ๖ แต่ก็มีความรอบรู้แทงตลอดในจิตเจตสิกธรรมแห่งมวลสัตว์ชีพได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักบำเพ็ญตามฉฬภิญญา แต่ก็ไม่ยังอาสวะให้หมดจดสิ้นเชิงเลยทีเดียว นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักปฏิบัติในอัปปมัญญาจตุพรหมวิหาร ๔ แต่ก็ไม่มีความปรารถนาที่จักไปอุบัติในพรหมโลก นี้แลชื่อว่าโพธิสัตว์จริยา แม้จักปฏิบัติในฌานสมาบัติ วิโมกข์ สมาธิ แต่ก็ไม่หลงใหลเพลินเพลินในธรรมเหล่านั้น นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา ฯลฯ แม้จักปฏิบัติในปัญจพลธรรม ๕ แต่ก็ยินดีปรารถนาในทศพล ๑๐ ของพระสัมมาสัมุทธเจ้า ฯลฯ แม้จักสำแดงตนมีวัตรจริยาเป็นพระอรหันตสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ละเลยต่อพระสัพพัญญุตญาณธรรม นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักเพ่งพิจารณาเห็นพุทธเกษตจรปราศจากสภาวะเป็นสุญญตา แต่ก็สำแดงภูมิแห่งความบริสุทธิ์หมดจดนานัปการในพุทธเกษตรนั้นได้ นี้แลชื่อว่าโพธิสัตวจริยา แม้จักสำเร็จพระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแสดงพระธรรมจักร แลดับขันธปรินิพพาน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สละคืนซึ่งโพธิสัตวจริยา นี้แลชื่อว่าจริยาแห่งพระโพธิสัตว์.”
เมื่อวิมลเกียรติคฤหบดีกล่าวธรรมบรรยานนี้จบลง ในบรรดาประชาชนซึ่งติดตามมากับพรัญชุศรีโพธิสัตว์ มีเทพบุตร ๘๐๐ องค์ ได้ตั้งจิตมุ่งต่อพระโพธิญาณแล.
ปริเฉทที่ ๕ คิลานปุจฉาวรรค จบ
ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค
ปริเฉทที่ ๖
อจินไตยวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล พระสารีบุตร ทัศนาดูคฤหาสน์ของวิมลเกียรติคฤหบดีปราศจากอาสนะที่นั่ง จึงเกิดมนสิการขึ้นว่า ก็พระโพธิสัตว์บริษัทกับพระมหาสาวกบริษัทจำนวนมากเห็นปานฉะนี้ จักนั่งด้วยอาสนะอะไรหนอ ?
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีได้ทราบถึงมนสิการของพระสารีบุตรแล้ว จึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า
“นี้อย่างไรกัน พระคุณมา ณ สถานที่นี้เพื่อแสวงหาธรรม ฤๅว่ามาเพื่อแสวงหาอาสนะที่นั่งเล่า ?”
พระสารีบุตร ตอบว่า “อาตมภาพมาเพื่อแสวงหาธรรม มิได้มาเพื่อแสวงหาอาสนะที่นั่งหรอก.”
วิมลเกียรติคฤหบดี จึงว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมไม่ละโมบติดใจในสรีระหรือใจชีวิต จักป่วยกล่าวไปไยกับเรื่องอาสนะที่นั่ง อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่แสวงหารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่แสวงหาธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ไม่แสวงหากามาวจรภพ รูปาวจรภพ อรูปาวจรภพ พระคุณเจ้าสารีบุตร อันผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมไม่แสวงหาด้วยการยึดติดในพระพุทธองค์ ยึดติดในพระธรรม ยึดติดในพระสงฆ์ ผู้แสวงหาธรรม ย่อมไม่แสวงหาด้วย (ความสำคัญตน) ในการกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัยทำให้แจ้งในนิโรธ เจริญในมรรค ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะว่า ธรรมนั้นย่อมปราศจากปปัญจธรรม หากกล่าวว่ามีตัวตนเป็นผู้กำหนดรู้ทุกข์ละสมุทัย ทำให้แจ้งในนิโรธ เจริญในมรรคไซร้ ย่อมชื่อว่าเป็นปปัญจธรรมหาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ พระคุณท่านสารีบุตร ธรรมนั้นย่อมชื่อว่าเป็นธรรมอันสงบ ระงับดับสนิทโดยไม่เหลือเชื้อ หากมีจิตประพฤติในความเกิดขึ้นแลดับไปในธรรมไซร้ หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ธรรมนั้นชื่อว่าปราศจากความเศร้าหมองฉันทราคะ ถ้ามีฉันทราคะในธรรมฤๅจนที่สุดในพระนิพพานย่อมชื่อว่าเป็นฉันทราคกิเลส หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ ฯลฯ ธรรมนั้นไม่สามารถจะรู้เห็น รู้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้นึกคิดได้ ถ้ามีความรู้เหล่านี้เป็นไปอยู่ ก็เป็นแต่ความรู้เห็น ฯลฯ รู้นึกคิดเท่านั้น หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ ธรรมนั้นชื่อว่าเป็นอสังขตะ ถ้ายังเป็นไปในความปรุงแต่งอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นการแสวงหาสังขตะ หาชื่อว่าเป็นการแสวงหาธรรมไม่ เพราะฉะนี้แล ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าเป็นผู้แสวงหาธรรมไซร้ ก็พึงเป็นผู้ไม่ปรารถนาแสวงหา โดยยึดมั่นในธรรมทั้งปวงนั่นเอง.”
เมื่อวิมลเกียรติอุบาสก แสดงธรรมกถานี้จบลง มีเทพบุตร ๕๐๐ องค์ บรรลุธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ ด้วยมารู้แจ้งว่า ธรรมทั้งปวงไม่พึงปรารถนาแสวงหาโดยยึดมั่น.
ครั้นแล้ว ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีจึงถามพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า
“ข้าแต่ท่านมัญชุศรีผู้เจริญ พระคุณจาริกท่องเที่ยวไปในอสงไขยโลกธาตุอันนับประมาณมิได้ ยังมีพุทธเกษตรใดหนอที่มีสิงหาสนะอันอุดมวิเศษสมบูรณ์ด้วยสรรพคุณาลังการ ?”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ตอบว่า
“ดูก่อนคฤหบดีจากที่นี้ไปเบื้องบนบูรพาทิศผ่านโลกธาตุจำนวนมากดุจเม็ดทรายในคงคานที ๓๖ นทีรวมกัน มีโลกธาตุหนึ่งชื่อว่าสุเมรุลักษณะ ณ โลกธาตุนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุเมรุประทีปราชาตถาคต ยังประทับอยู่ ณ กาลบัดนี้ พระวรกายแห่งพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นสูงถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สิงหาสนะที่ประทับก็สูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สมบูรณูด้วยสรรพคุณาลังการอย่างยอดเยี่ยม.”
โดยสมัยนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีจึงบันดาลด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ ทูลขอประทานสิงหบัลลังก์จากพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงประทานสิงหบัลลังก์จำนวน ๓๒,๐๐๐ อันสูงสะอาดหมดจดวิจิตรตระการ มาสู่คฤหาสน์ของอุบาสกนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์ พระมหาสาวก ท้าวพรหมราช ท้าวศักรินทร์ ท้าวจาตุมมหาราชเป็นอาทิ ต่างก็มิได้ทัศนาเห็นคฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติกว่างขวางขยายออกไป แต่ก็สามารถรองรับสิงหบัลลังก์ทั้ง ๓๒,๐๐๐ บัลลังก์ได้อย่างสะดวกไม่ขัดข้อง แม้ตัวนครเวสาลีตลอดถึงชบพูทวีป ก็มิได้เกิดความคับแคบ คงดูเป็นปกติธรรมดาดุจเดิม.
ครั้นแล้ว ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า
“ขอนิมนต์นั่งบนสิงหบัลลังก์ ขอพระคุณพร้อมทั้งปวงพระโพธิสัตว์แลท่านผู้เป็นอุดมบุรุษทั้งหลายขึ้นนั่งบนบัลลังก์ พึงยังสรีรกายของท่านผู้เจริญให้ได้ระดับเสมอด้วยกับระดับแห่งสิงหาสนะนี้.”
บรรดาพระโพธิสัตว์ ที่ได้สำเร็จอภิญญาต่างก็บันดาลด้วยฤทธิ์นิรมิตกายสูง ๓๔,๐๐๐ โยชน์ ขึ้นประทับนั่งบนสิงหบัลลังก์ ฝ่ายบรรดาพระโพธิสัตว์ซึ่งเพิ่งมีจิตปริธานในพระโพธิญาณใหม่ ๆ กับทั้งปวงพระมหาสาวก ล้วนไม่สามารถจักขึ้นไปนั่งได้.
ครั้งนั้น ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า “นิมนต์พระคุณเจ้านั่งบนสิงหาสนบัลลังก์.”
พระสารีบุตร ตอบว่า “ดูก่อนคฤหบดี อาสนะนี้สูงใหญ่นัก อาตมภาพขึ้นไปถึงมิได้.”
ท่านวิมลเกียรติ จึงว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณจงกระทำความนอบน้อมอภิวันทนาพระสุเมรุประทีปราชาตถาคตเจ้าเสียก่อน แล้วพระคุณเจ้าจักสามารถขึ้นไปนั่งได้.”
ด้วยประการฉะนี้ บรรดาพระโพธิสัตว์ผู้เพิ่งมีรจิตปณิธานในพระโพธิญาณกับทั้งพระมหาสาวก ต่างกระทำความนอบน้อมอภิวันทนาพระสุเมรุประทีปราชาตถาคตเจ้า ทันใดนั้นต่างก็ได้ขึ้นไปประดิษฐานบนสิงหาสนะบัลลังก์โดยทั่วหน้ากัน.
พระสารีบุตร กล่าวว่า
“ดูก่อนคฤหบดี น่าอัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว คฤหาสน์อันน้อยนิดเท่านี้ สามารถรองรับบรรจุอาสนะอันสูงใหญ่พิลึกมหึมา แม้นครเวสาลีก็มิได้มีที่กี่ขวาง ในชมพูทวีปทุกคามนิคมชนบทราชธานีน้อยใหญ่วิมานเวียงวังสถานที่อยู่แห่งทวยเทพนิกร ฤๅของนาคราชอสูรยักษ์ปีศาจก็มิได้เกิดความคับแคบขึ้นแลย.”
ท่านวิมลเกียรติ ตอบว่า
“พระคุณเจ้าสารีบุตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ กับทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีวิมุตติธรรมชื่ออจินไตย ถ้าพระโพธิสัตว์ใดตั้งอยู่ในวิมุตติดังกล่าวนี้ แม้ความสูงใหญ่แห่งขุนเขาพระสุเมรุก็ยังอาจสามารถนำเอามาบรรจุไว้ในเมล็ดพันธุ์ผักเมล็ดหนึ่ง โดยไม่เต็มไม่หย่อนคือบรรจุได้พอดี ทั้งนี้เพราะสภาวะแห่งจอมเขาพระสุเมรุนั้นเป็น ตถตา นั่นเอง แต่ถึงกระนั้นทวยเทพนิกรในชั้นจาตุมมหาราชิกาตาวติงสา (สวรรค์ ๒ ชั้นนี้อยู่ที่เขาพระสุเมรุ) ก็ยังไม่รู้สึกตนเองว่าเข้าไปสถิตอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักนอกจากผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์อันพึงโปรดได้เท่านั้น จึงสามารถทัศนาเห็นจอมสุเมรุมาศตั้งอยู่ในท่ามกลางเมล็ดพันธุ์ผักได้ นี้แลชื่อว่าอจินไตยวิมุตติธรรม อนึ่ง การยังน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ให้เข้าไปบรรจุอยู่ในขุมรูโลมาขุมหนึ่ง โดยมิได้รบกวนบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลาย มีหลา เต่า ตะพาบ เป็นอาทิ แต่สภาวะแห่งมหาสมุทรหลวงนั้นก็ยังไม่หวั่นไหวฉันใด บรรดาทวยเทพนาคราชอสูรยักษ์ภูตผีปีศาจ ต่างก็ไม่รู้ตนเองว่ากำลังเข้าไปสถิตอยู่ภายใน โดยมิได้เกิดความรบกวนต่อสรรพสัตว์เหล่านี้เลย.”
“อนึ่ง ท่านสารีบุตร ! พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรมย่อมถือเอามหาตรีสหัสสโลกธาตุ ดุจเครื่องปั้นหมุนของนายช่างปั้นมาประดิษฐานไว้ในอุ้งมือ แล้วแลโยนขว้างออกนอกเขตแห่งอนันตโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเมล็ดทรายในคงคานทีได้โดยง่าย สรรพสัตว์ในโลกานุโลกเหล่านั้น ต่างก็ไม่รู้สึกทิศทางไปแห่งหน และพระโพธิสัตว์นั้นย่อมนำมหาตรีสหัสสโลกธาตุกลับคืนมาไว้ ณ ที่เดิม กระทำมิให้สรรพสัตว์ผู้อาศัยในโลกธาตุเหล่านั้นมีความรู้สึกในการไปแลมาแห่งตน ถึงกระนั้นสภาวะของโลกธาตุก็ยังมิไหวหวั่นประการใด.”
“อนึ่ง พระคุณเจ้าสารีบุตร หากมีสรรพสัตว์ใดที่มีความยินดีต่อการดำรงอยู่ในโลก กับทั้งเป็นเวไนยสัตว์ที่จักโปรดได้อีกด้วย พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงระยะกาลเพียง ๗ ทิวาให้ยาวนานดุจ ๑ กัลป์ กระทำให้สัตว์เหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นกาลนาน ๑ กัลป์ ฤๅหากมีสรรพสัตว์ที่ไม่ยินดีต่อการดำรงอยู่ในโลกนาน กับทั้งเป็นเวไนยสัตว์ที่จักโปรดได้อีกไซร้ พระโพธิสัตว์ ผู้สำแดงย่นระยะกาลยาว ๑ กัลป์ให้สั้นเหลือดุจ ๗ ทิวา กระทำให้สัตว์เหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นกาลสั้น ๗ ทิวาเท่านั้น ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระโพธิสัตว์ผู้ดำรงอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรม ย่อมยังสรรพคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรทั้งปวงมาประชุมอยู่ ณ โลกธาตจุแห่งเดียวสำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อนึ่ง พระโพธิสัตว์ยังสามารถนำสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งปวงมาประชุมอยู่ ณ โลกธาตุแห่งเดียวสำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อนึ่ง พระโพธิสัตว์ยังสามารถนำสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งสิ้นประดิษฐานไว้ในอุ้งหัตถ์ขวาแล้ว แลกระทำปาฏิหาริย์เหาะลอยไปสู่ทศทิศ เพื่อสำแดงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยลสรรพสิ่งโดยทั่วถึง แต่ก็มีสถานะเดิม ไม่หวั่นไหวอันใด.”
“ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร สรรพภาชนะวัตถุซึ่งสัตว์ทั้งหลายในทศทิศถวายเป็นพุทธบูชา พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงให้สรรพสัตว์เห็นประจักษ์ได้ในรูขุมขนเพียงรูเดียว แลดวงภาณุมาศ ดวงศศิธร ดวงดาราใหญ่น้อยแห่งโลกธาตุทั้งหมดในทศทิศ ก็บันดาลให้มาปรากฏอยู่ในรูขุมขนเพียงรูเดียว แต่ให้ยลกันได้ทั่วถึง.”
“อีกประการหนึ่ง พระคุณเจ้าสารีบุตร วายุแห่งโลกธาตุทั่วทศทิศ พระโพธิสัตว์ย่อมสามารถถอมเข้าไว้ในโอษฐ์ได้ โดยจักเป็นอันตรายต่อสรีระก็หามิได้ สรรพพฤกษชาติรุกขพรรณภายนอกก็บ่ห่อนได้หักล้มไปเพราะแรงวายุนั้นเลย อนึ่งเล่า ครั้นเมื่ออัคนีประลัยกัลป์ล้างโลกานุโลกในทศทิศไซร้ พระโพธิสัตว์ก็ยังนำเพลงประลัยกัลป์นั้นมาบรรจุไว้ในท่ามกลางอุทรประเทศได้ โดยที่สภาวะแห่งอัคนีนั้นเป็น ตถตา จึงมิได้เกิดเป็นอันตรายแต่อย่างใด อีกประการหนึ่ง นับจากทิศเบื้องต่ำผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนปริมาณดุจเม็ดทรายในคงคานที พระโพธิสัตว์สามารถถือเอาถุทธเกษตรแห่งหนึ่งยกเทิดขึ้นไปสู่ทิศเบื้องบน โดยผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนปริมาณดุจเม็ดทรายในคงคานทีดุจกันโดยง่าย เฉกเช่น บุคคลผู้ถือเอาเข็มเล่มหนึ่ง ฤๅใบพุทราใบหนึ่ง ปราศจากน้ำหนักรบกวนแต่อย่างใด.”
“ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรม ย่อมสามารถบันดาลด้วยมหิทธิฤทธิ์สำแดงตนเป็นพุทธกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระปัจเจกพุทธกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระสาวกกาย ฤๅสำแดงตนเป็นท้าวศักรินทรกาย ฤๅสำแดงตนเป็นท้าวพรหมราชกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระปชาบดีกาย ฤๅสำแดงตนเป็นพระเจ้าจักรพรรพิกายได้ อนึ่ง สรรพสำเนียงเสียงจำนวนที่มีอยู่ทั่วไปในโลกานุโลกทั่วทศทิศ ไม่ว่าจักเป็ฯเสียงสูง เสียงกลาง เสียงต่ำ พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมสามารถกระทำให้เสียงเหล่านั้นสำเร็จ แปรเป็นพุทธศัพทโฆษได้ ประกาศซึ่งธรรม มีอนิจจตาทุกขตา สุญญตา อนัตตา ตลอดทั้งเป็นเสียงแห่งพระสัทธรรม เทศนาประการต่าง ๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทศทิศ ยังสรรพสัตว์ให้ได้สดับฟังโดยทั่วหน้ากันได้ ข้าแต่พระคุณท่านสารีบุตรผู้เจริญ กระผมได้บรรยายถึงพลานุภาพแห่งวิมุตติ อันเป็ฯอจินไตยแห่งพระโพธิสัตว์แต่เพียงสังเขปนัยเท่านี้หนา หากจักให้กระผมแถลงไขโดยพิสดารไซร้ แม้กัลป์จักบรรลัยหมดสิ้นไป ก็ยังไม่อาจบรรยายให้จบสมบูรณ์ได้แล.”
สมัยนั้น พระมหากัสสปเถรเจ้า ได้สดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยของพระโพธิสัตว์นี้แล้ว ก็บังเกิดความปสาทะเลื่อมใสนักสดุดีว่า “สิ่งที่ไม่เคยมีก็ได้มีขึ้นแล้วหรอ” แล้วกล่าวกับพระสารีบุตรเถรเจ้าว่า
“ท่านสารีบุตรผู้เจริญ อุปมาบุคคลผู้นำรูปวัตถุสีสันต่าง ๆ มาสำแดงแก่ผู้มีอันธจักษุ ย่อมไม่เป็นวิสัยที่ผู้นั้นจักทัศนาได้ฉันใด บรรดาพระสาวกทั้งหลาย ได้สดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้แล ย่อมมิอาจจักเข้าใจได้ ก็มีอุปไมยฉันเดียวกัน เมธีชนผู้ได้สดับธรรมกถานี้แล้ว ใครเล่าจักไม่ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระเราไฉนถึงได้มีอุปนิสัยอินทรีย์ในมหายานธรรม ขาดถึงมูลเฉทฉะนี้เล่า กับมหายานธรรมเป็นดุจเมล็ดพืชซึ่งเสื่อมจากคุณภาพแล้ว (คือไม่มีอัธยาศัยโน้มไปเป็นมหายานิกะ) พระสาวกทั้งปวง เมื่อสดับธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้ ควรแล้วหนอที่จักร้องไห้คร่ำครวญ ยังเสียงร้องไห้นั้นให้สนั่นก้องไปทั่วมหาตรีสหัสสโลกธาตุ (คือร้องไห้เสียดายที่มิได้สดับธรรมอันล้ำลึกอย่างนี้มาก่อน เป็นเหตุให้พลาดจากการเป็นมหายานนิกรชน*) ส่วนพระโพธิสัตว์ทั้งหลายพึงโสมสัสปรีดาปราโมทย์นำศรีษะเข้ามารองรับพระสัทธรรมนี้ ถ้ามีพระโพธิสัตว์ใดมีจิตศรัทธาเข้าใจถ่องแท้ในธรรมทวารแห่งวิมุตติอันเป็นอจินไตยนี้ไซร้ สรรพมารย่อมบ่หาญอาจทำอะไรกับพระโพธิสัตว์นั้น ๆ ได้เลย.”
เมื่อพระมหากัสสป กล่าวจบลง ก็มีเทพบุตร ๓๒,๐๐๐ องค์ ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ลำดับนั้น ท่านวิมลเกียรติได้พูดกับพระมหากัสสปว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้ามหากัสสปผู้เจริญ บรรดาผู้ที่เป็นพญามาราธิราชในอสงไขยโลกธาตุทั่วทศทิศ แต่ละล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สถิตอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย แต่หากได้สำแดงโดยอุบายพละในอันจักสั่งสอนสรรพสัตว์ จึงกระทำเป็นพญามาราธิราช พระคุณท่านมหากัสสปพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกานุโลกอันมิอาจประมาณทั่วทศทิศ บ้างก็ปรากฏว่ามีผู้มาร้องขอหัตถ์ บาท กรรณ นาสิก ศีรษะ จักษุ ฯลฯ ร้องขอคามนิคม ปุระ บุตร ธิดา ภรยา บริวารชน ช้าง ม้า ยานพาหนะ สรรพสุวรรณ หิรัญ ไพฑูรย์ ฯลฯ เพชร นิล จินดา มณีรัตน์ สิ่งบริโภคอุปโภค ประการต่าง ๆ บรรดาผู้มาร้องขอเหล่านี้ ส่วนมากล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สถิตอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย ได้สำแดงโดยอุบายพละมาเพื่อทดลอง(บุคคลผู้บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา) แลเพื่อประสงค์กระทำให้ผู้มีจิตปณิธานต่อพระโพธิญาณ มีความเข้มแข็งมั่นคง ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งอยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย ย่อมมีเดชพละ จึงสามารถกระทำการดุจรุกรานบีบคั้น (ให้พระโพธิสัตว์ด้วยกันกระทำการบริจาค เป็นต้น) สำแดงปรากฏต่อสรรพสัตว์ อันการกระทำที่ยากเห็นปานฉะนี้ ไหนเลยปุถุชนจักมีเดชพละถึงปานนั้นได้ ปุถุชนย่อมไม่อาจรุกรานบีบคั้นพระโพธิสัตว์ได้ อุปมาดั่งรอยเหยียบแห่งบาทพญามังกรแลพระโพธิสัตว์อยู่ในวิมุตติธรรมอันเป็นอจินไตย เป็นทวารแห่งปรัชญาแลอุปายะด้วยประการฉะนี้แล.
ปริเฉทที่ ๖ อจินไตยวรรค จบ.
__________________________
* ตรงนี้ ท่านผู้ประพันธ์พระสูตรนี้คงเผลอลืมไปว่า พระอรหันตสาวกย่อมพ้นจากกิเลส อันเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าโศกเพลิดเพลินทั้งปวงแล้ว เจตนาของผู้ประพันธ์ต้องการยกย่องคติมหายานว่าประเสริฐกว่าเท่านั้น.
ปริเฉทที่ ๗ สรรพสัตว์วิทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๗
สรรพสัตว์วิทรรศนะวรรค
ครั้งนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ได้ถามวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“พระโพธิสัตว์ พึงเพ่งพิจารณาสรรพสัตว์โดยประการอย่างไรหนอ ?” ท่านวิมลเกียรติตอบว่า
“เปรียบด้วยผู้เป็นมายากร พิจารณาแลดูซึ่งมายาบุรุษอันตนนิมิตขึ้นฉันใด พระโพธิสัตว์พึงเพ่งพิจารณาสรรพสัตว์โดยอาการอย่างเดียวกันฉันนั้น อนึ่ง เปรียบด้วยผู้มีปัญญาแลดูซึ่งเงาดวงจันทร์ในท้องน้ำ ฤๅเปรียบด้วยการแลดูฉายาแห่งตนในกระจก ฤๅเปรียบด้วยพยับแดดในท่ามกลางแสงสุริยัน ฤๅเปรียบด้วยเสียงกู่ก้องสะท้อน ฤๅเปรียบด้วยก้อนเมฆในท้องนภาลัย ฤๅเปรียบด้วยฟองน้ำ ฤๅเปรียบด้วยต่อมน้ำ ฤๅเปรียบด้วยแก่นสารอันคงทนของต้นกล้วย ฤๅเปรียบด้วยความดำรงมั่นแห่งสายวิชชุ ฤๅเปรียบด้วยมหาภูตที่ ๕ ฤๅรียบด้วยขันธ์ที่ ๖ ฤๅเปรียบด้วยวิญญาณที่ ๗ ฤๅเปรียบด้วยอายตนะ ๑๓ ฤๅเปรียบด้วยธาตุ ๑๙๑ พระโพธิสัตว์พึงเพ่งพิจารณาดูสรรพสัตว์ด้วยอาการอย่างนี้แล.”
“อนึ่ง พึงพิจารณาดูสรรพสัตว์ โดยอาการดังนี้อีกคือ ด้วยอาการเปรียบด้วยรูปธาตุในอรูปภพ ฤๅเปรียบด้วยการงอกเงยของเมล็ดพันธุ์ข้าวซึ่งแห้งตายแล้ว ฤๅเปรียบด้วยสักกายทิฏฐิของพระโสดาบัน ฤๅเปรียบด้วยการถือเอาครรภ์ปฏิสนธิของพระอนาคามีบุคคล ฤๅเปรียบบด้วยอกุศลมูล ๓ แห่งพระอรหันต์ ฤๅเปรียบพระโพธิสัตว์ผู้ลุธรรมกษานติลุแก่โลภะโทสะกระทำการล่วงสีลสังวร ฤๅเปรียบด้วยกิเลสาสวะแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฤๅเปรียบด้วยผู้มีจักษุมืดแลเห็นรูป ฤๅเปรียบด้วยผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติยังมีลมอัสสาสะปัสาสะอยู่ ฤๅเปรียบบด้วยรอยเท้านกในอากาศ ฤๅเปรียบด้วยบุตรแห่งนางหิน ฤๅเปรียบด้วยกิเลสของมายาบุรุษ ฤๅเปรียบด้วยประสบการณ์ในความฝัน ซึ่งตื่นขึ้นก็อาจพบเห็นได้อีก ฤๅเปรียบด้วยในอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังมีวิบากขันธ์มาเสวยภพอีก ฤๅเปรียบด้วยควันที่ปราศจากไฟเป็นเชื้อ พระโพธิสัตว์พึงเพ่งพิจารณาดูสรรพสัตว์ด้วยอาการดังพรรณนามานี้แล.๒ ”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ถามว่า
“หากพระโพธิสัตว์เพ่งพิจารณาดูสรรพสัตว์ด้วยอาการดั่งพรรณนามาแล้วไซร้ ก็จักดำเนินเมตตาจริยาโดยประการฉันใดหน ?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า
“เมื่อพระโพธิสัตว์เพ่งพิจารณาด้วยอาการดั่งกล่าวมาแล้ว ก็พึงมนสิการว่า เราจักต้องประกาศธรรมเห็นปานนี้ ให้สำเร็จประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จึงจักเป็นผู้ได้ชื่อว่าดำเนินเมตตาจริยาโดยแท้จริง กล่าวคือ พึง
ดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วยการแสดงอนุตปาทธรรม คือธรรมอันไม่มีความเวียนเกิดอีก พึงดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วย__________________________
๑. ต้นกล้วยไม่มีแก่น สายฟ้าแลบก็ตั้งมั่นอยู่นานมิได้ มหาภูตมี ๔ คือ ปฐวี เตโช วาโย อาโป เท่านั้น ไม่มีมหาภูตที่ ๕ ปัญจขันธ์ก็มีเพียง ๕ ความรู้ทางทวารทั้ง ๖ คือจักษุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณเท่านั้น ไม่มีวิญญาณที่ ๗ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ รวมเป็น ๑๒ เท่านั้น ไม่มีที่ ๑๓ ธาตุก็มีเพียง ๑๘ คือธาตุอายตนะคายใจ ๖ ธาตุอายตนะภายนอก ๖ และวิญญาณธาตุที่เป็นไปในอายตนะอีก ๖,๓x๖ = ๑๘ คำพูดในตอนนี้เป็นคำปฏิเสธความเป็นตัวตนในสรรพสัตว์ คือให้พิจารณาดูว่าสรรพสัตว์เป็นอนัตตา สุญญตา เช่นกับธรรมที่ยกมาเปรียบย่อมเป็นสิ่งที่มีไม่ได้ฉันใด การจะหาสาระแก่นสารโดยความเป็นตนหรือของตน ๆ ในสรรพสัตว์ก็ฉันนั้น.
๒. คำพูดตอนนี้เป็นการแสดงภาวะตรงกันข้ามทั้งนั้น กล่าวคือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการที่จะถือเอาอัตตาในสัตว์ บุคคลก็ย่อมถือเอาไม่ได้ ด้วยสรรพสัตว์ย่อมเป็นสุญญตา โดยสภาพนั่นเอง ถ้ายังขืนสำคัญว่ามีสารถในสิ่งอันปราศจากสารถอยู่ ก็เปรียบได้ว่าพระอรหันต์ยังละอกุศลมูลไม่ได้ ซึ่งตามความจริงแล้ว ไม่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.”
การแสดงอสันตาปธรรม คือธรรมปราศจากความเร่าร้อนเพราะกิเลส พึงดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วยการแสดงสมธรรม คือธรรมซึ่งยังกาละทั้ง ๓ ให้เสมอกัน พึงดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วยการแสดงอรณวิหารธรรม คือธรรมเป็น เครื่องอยู่อันปราศจากการอุบัติขึ้นแห่งข้าศึกคือกิเลส พึงดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วยการแสดงอไทวตธรรม คือธรรมไม่เป็นคู่ ไม่มีภายนอก ฯลฯ พึงดำเนินเมตตาปฏิปทาด้วยการยังความสันติสุขให้เกิดมีขึ้นในสรรพสัตว์ คือยังสัตว์เหล่านั้นให้ได้รับสันติรสแห่งพระพุทธองค์ เมตตาปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญด้วยประการฉะนี้แล.”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ถามว่า
“ก็กรุณาปฏิปทาเล่า เป็นไฉน ?”
“กุศลสมภารต่าง ๆ ซึ่งพระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ล้วนยังสรรพสัตว์ให้มีส่วนร่วมในกุศลสมภารนั้นด้วย ชื่อว่ากรุณาปฏิปทา.”
ถาม “ก็มุทิตาปฏิปทาเล่า เป็นไฉน ?”
ตอบ “พระโพธิสัตว์กระทำความดีใด ๆ ย่อมไม่ตั้งความหวังผลสนอง ชื่อว่าอุเบกขาปฏิปทา.”
ถาม “ในท่ามกลางภัยแห่งธรรมชาติ มรณะนี้ พระโพธิสัตว์พึงอาศัยอะไรเป็นที่พำนัก ?”
ตอบ “พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในท่ามกลางห้วงมหรรณพ อันมีชาติภัยมรณะภัยเป็นต้น พึงอาศัยพุทธานุภาพเป็นที่พึ่งพำนัก.”
ถาม “พระโพธิสัตว์ปรารถนาจักอาศัยพุทธานุภาพเป็นที่พึ่งงพำนักพึงปฏิบัติอย่างไร ?”
ตอบ “พระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาจะอาศัยพุทธานุภาพะเป็นที่พึ่งพำนักพึงปฏิบัติตนด้วยการโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์.”
ถาม “ในการโปรดสรรพสัตว์ พึงกำจัดสิ่งใด ?”
ตอบ “ในการโปรดสรรพสัตว์ พึงกำจัดอาสวกิเลส.”
ถาม “ในการกำจัดอาสวกิเลส พึงปฏิบัติอย่างไร ?”
ตอบ “พึงมีสัมมาสติ.”
ถาม “สัมมาสติ พึงปฏิบัติอย่างไร ?”
ตอบ “พึงปฏิบัติในธรรมอันไม่ให้มีความเกิดขึ้น และธรรมอันไม่ให้มีความดับไป.”
ถาม “ธรรมอะไรที่ไม่ให้เกิดขึ้น ธรรมอะไรที่ไม่ให้ดับไป ?”
ตอบ “อกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น กุศลธรรมไม่ให้ดับไป.”
ถาม “กุศล อกุศล มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “มีกายเป็นสมุฏฐาน.”
ถาม “กาย มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “มีอภิชฌาวิสมโลภาะป็นสมุฏฐาน.”
ถาม “อภิชฌาวิสมโลภะ มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “มีมายาวิกัลปะเป็นสมุฏฐาน.”
ถาม “มายาวิกัลปะมีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “มีวิปลาสสัญญาเป็นสมุฏฐาน.”
ถาม “วิปลาสสัญญา มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “มีความไม่มีที่ตั้งเป็นสมุฏฐาน.”
ถาม “ความไม่มีที่ตั้ง มีอะไรเป็นสมุฏฐาน ?”
ตอบ “ความไม่มีที่ตั้ง ย่อมไม่มีสิ่งใดมาเป็นสมุฏฐานได้อีก ข้าแต่พระคุณเจ้ามัญชุศรี จากความไม่มีที่ตั้งนี้แล จึงบัญญัติธรรมทั้งปวงขึ้นมา.*”
ก็โดยสมัยนั้นแล ในคฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติ มีเทพธิดาองค์หนึ่ง เห็นหมู่เทวบริษัทสดับฟังธรรมบรรยายของท่านคฤหบดีนั้น นางจึงสำแดงองค์ให้ปรากฏ แลนางได้โปรยทิพยบุปผาบูชาหมู่แห่งพระโพธิสัตว์กับทั้งพระมหาสาวก ทิพยบุปผาเหล่านั้นตกถึงสรีระของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแล้ว ก็ร่วงหล่นตกจากสรีระไป แต่ครั้นตกถึงสรีระของพระมหาสาวก ก็กลับติดแน่นไม่ร่วงหล่น พระมหาสาวกทั้งหลาย ต่างใช้อิทธาภิสังขาร เพื่อสลัดพิทยบุปผาออกจากสรีระก็มิอาจสลัดทิ้งได้.
ครั้งนั้น นางเทพธิดาจึงถามพระสารีบุตรว่า “ไฉนพระคุณจึงพยายามสลัดทิพยบุปผานี้เล่า ?”
พระสารีบุตร ตอบว่า “สมณศากยบุตรไม่สมควรต่อการมีบุปผชาติมาประดับให้ผิดธรรมวินัย อาจมภาพจึงสลัดมันออกไป.”
เทพธิดากล่าวว่า “ขอพระคุณโปรดอย่าได้กล่าวว่า บุปผชาตินี้ไม่สมควรแก่ธรรมวินัยเลยเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าธรรมดาดอกไม่ย่อมไม่มีจิตมาคิดว่าชอบธรรมไม่ชอบธรรม มีแต่พระคุณเจ้าเองหรอกที่มาเกิดวิกัลปสัญญขึ้นเองต่างหากเล่า ผู้ใดที่ออกบวชในพระพุทธศาสนา หากยังมีวิกับปสัญญาอยู่ ผู้นั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติไม่สมควรแก่ธรรม ผู้ใดปราศจากวิกัลปสัญญา ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติสมควรแก่ธรรมโดยแท้ ขอพระคุณจงพิจารณาดูเพิดว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ไม่มีองค์ใดเลยที่มีบุปชาติติดค้างอยู่ที่สรีระ ทั้งนี้เนื่องด้วยพระโพธิสัตว์กระทำวิกัลปสัญญาให้เป็นสมุจเฉทแล้ว เปรียบดุจมนุษย์ที่ตกอยู่ในท่ามกลางยักขภัย ถ้าเป็นคนแสดงออกความหวาดกลัวก็โง่เป็นโอกาสแห่งยักษ์ที่จักทำร้ายได้ เช่นเดียวกับพระสาวกที่หวาดกลัวต่อชาติมรณภัย ก็ย่อมเปิดโอกาสให้ รูป เ สียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์ประทุษร้ายได้ ส่วนบุคคลที่ปราศจากความหวาดหวั่นในภัยเหล่านี้ ภัยทั้งหลายมีกามคุณ ๕ เป็นต้น ย่อมมิอาจกระทำให้หวั่นไหวได้ ผู้ใดที่มีวาสนายังละได้มิขาด บุปผชาติก็ย่อมติดแน่นอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดที่มีวาสนา ละได้ขาดแล้ว บุปผชาติก็ย่อมไม่เหลือติดค้างอยู่กับเขาอีก.”
พระสารีบุตร ถามขึ้นว่า “ดูก่อนเทวี เธอมาอยู่ในคฤหาสน์นี้เป็นเวลานานเท่าไรแล้ว ?”
ตอบ “ดิฉันมาอยู่ที่นี่นานเท่ากับเวลาที่พระคุณหลุดพ้นจากกิเลส.”
ถาม “เธออยู่นานกระนั้นฤๅ ?”
ตอบ “ก็พระคุณหลุดพ้นมาแล้วนานเท่าไรเจ้าข้า ?
พระสารีบุตรนิ่งเงียบไม่ตอบ เทพธิดานั้นจึงว่า
“เหตุไรพระคุณเจ้าผู้มีปัญญา ไฉนจึงนิ่งเงียบไปเสียเจ้าคะ ?”
พระสารีบุตรกล่าวว่า “ในความหลุดพ้น ย่อมพ้นทางแห่งบัญญัติโวหาร โดยเหตุนั้นแล อาตมภาพจึงไม่รู้จะตอบเธออย่างไร ?”
เทพธิดากล่าวว่า “คำพูดก็ดี ตัวอักษรก็ดี ย่อมได้ชื่อว่าเป็นลักษณะแห่งวิมุตติ ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าในวิมุตตินั้นย่อมไม่มีภายใน ภายนอก หรือท่ามกลาง อักษรก็ไม่อยู่ในภายในภายนอกหรือท่ามกลาง เพราะฉะนั้นแล ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระคุณเจ้าได้ละเลยอักษรแล้วกล่าวเรื่องวิมุตติ ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน ? ก็เพราะว่าธรรมทั้งปวง ย่อมล้วนเป็นวิมุตติลักษณะทั้งสิ้น.”
พระสารีบุตรกล่าวว่า “ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น มิเป็นว่า เอาราคะ โทสะ โมหะ มาเป็นวิมุตติไปด้วยฤๅ ?”
__________________________
* ความไม่มีที่ตั้ง คือสุญญตานั่นเอง ปุถุชนหลงผิดในสุญญตาว่าเป็นอัตตา จึงยึดถือสำคัญหมายในภาวะที่ว่างเปล่าว่ามีสาระ จึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิด.
เทพธิดา “พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลผู้มีอติมานะให้ละจาก ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าวิมุตติ หากไม่มีอติมานบุคคลไซร้พระพุทธองค์จักตรัสว่า ราคะ โทสะ โมหะ นั้นแลเป็นวิมุตติ.๑ ”
พระสารีบุตร จึงอนุโมทนาขึ้นว่า
“สาธุ ๆ ดูก่อนเทวี เธอได้บรรลุธรรมอะไร ตรัสรู้ในธรรมอะไรหรอ จึงมีปฏิภาณโกศลสามารถเห็นปานนี้ ?”
เทพธิดาตอบว่า “ดิฉันไม่ได้บรรลุอะไร และก็ไม่ได้รู้แจ้งในอะไรเลยเจ้าข้า พระคุณเจ้า ! ดิฉันถึงมีปฏิภาณโกศลเห็นปานฉะนี้ได้ ถ้าดิฉันได้บรรลุอะไร ฤๅได้รู้แจ้งในอะไรไซร้ ก็ชื่อว่าเป็นอติมานบุคคลในพรหมจรรย์แห่งพระพุทธองค์ไปแล้ว.๒”
พระสารีบุตรถามว่า “ดูก่อนเทวี ในยานทั้ง ๓ นั้น เธอมีจิตปรารถนาในยานใดหนอ ?”
ตอบ “สำหรับดิฉันน่ะหรือพระคุณเจ้าขา ถ้าดิฉันจะต้องแสดงธรรมโปรดบุคคลผู้มีนิสัยเหมาะแก่สาวกยาน ดิฉันก็สำแดงตนเป็นพระสาวกถ้าจะต้องแสดงปฏิจจสมุปบาทธรรมโปรดสัตว์ ดิฉันก็สำแดงตนเป็นพระปัจเจกโพธิ แลถ้าอาศัยมหากรุณาในการโปรดสรรพสัตว์ ดิฉันก็สำแดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ในมหายาน ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อุปมาบุคคลเข้าไปอยู่ในดงดอกจำปี ย่อมได้สูดแต่สุคันธะแห่งบุปผชาติจำปีเพียงประการเดียว มิได้รับกลิ่นอื่นใดอีกฉันใด ชุคคลผู้เข้าสู่คฤหาสน์สถานนี้ก็ย่อมได้ฟังสูดแต่กลิ่นแห่งพระพุทธคุณ ไม่พอใจที่จักฟังสูดกลิ่นแห่งคุณพระอรหันตสาวก และคุณพระปัจเจกโพธิก็มีอุปไมยฉันนั้น พระคุณเจ้าสารีบุตรหากมีท้าวพรหมราช ท้าวศักรินทร์ ท้ายจารุมมหาราช ทวยเทพนิกร นาค ยักษ์ อสูร คนธรรพ์ต่าง ๆ ได้สดับพระธรรมเทศนาแห่งอุดมบุรุษผู้นี้๓ แล้ว ย่อมพอใจยินดีในกลิ่นแห่งพระพุทธคุณ มีจิตมุ่งต่อพระอนตตรสัมมาสัมธิญาณแล้วแล จึงกลับคืนออกไป ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร ดิฉันอยู่ในคฤหาสน์นี้ได้ ๑๒ ปีแล้ว นับตั้งแต่ต้นก็มิได้สดับหลักธรรมในคติฝ่ายพระอรหันตสาวก ฤๅหลักธรรมในคติฝ่ายพระปัจเจกโพธิ ก็แต่ว่าที่สดับนั้นล้วนเป็นธรรมอันว่าด้วยหลักมหาเมตตามหากรุณาแห่งพระโพธิสัตว์ นั่นคือ สรรพพระพุทธธรรมอันเป็นอจินไตยนั่นเอง ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตรผู้เจริญ ในคฤหาสน์นี้มีคุณสมบัติอันนับเป็นอัพภูตธรรมอยู่ ๘ ประการ ก็ ๘ ประการนั้นเป็นไฉน ?
๑. คฤหาสน์นี้ มีสุวรรณประภาโอภาสอยู่เป็นนิตย์ ปราศจากความแตกต่างระหว่างทิวากับราตรี โดยมิต้องอาศัยแสงจากดวงทิวากรฤๅนิศากรใดเลย นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๑.
๒. คฤหาสน์นี้ หากบุคคลใดได้เข้ามาถึงได้ ย่อมมี่พูกสรรพกิเลสสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงย่ำยีได้ นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๒
๓. คฤหาสน์นี้ มีท้าวพรหมราช ท้าวศักรินทร์ ท้าวจาตุมมหาราชและสรรพพระโพธิสัตว์จากโลกธาตุอื่น ๆ มาประชุมสโมสรอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๓
๔. คฤหาสน์นี้ มีการแสดงพระสัทธรรมบรรยายว่าด้วยปารมิตา ๖ และอนิวรรตนิยธรรมเป็นนิตย์ นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๔.
๕. คฤหาสนี้ มีเสียงทิพยดุริยางค์อันเลิศบรรเลงขับกล่อมอยู่เป็นนิตย์ และเสียงแห่งทิพยสังคีตนั้น
__________________________
๑. เพราะราคถ โทสะ โมหะ เป็นมายาธรรม เป็นสุญญตา พระนิพพานเล่าก็เป็นสุญญตา.
๒. กล่าวคือ เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา ถ้าไปเกิดสำคัญว่าตนได้บรรลุสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือรู้แจ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ยังเชื่อว่าเป็นอุปาทานอยู่นั่นเอง เพราะโดยปรมัตถ์แล้ว ตนผู้เป็นทุกข์นั้นไม่มี ก็เมื่อตนไม่มีแล้ว ธรรมอันตนจักบรรลุจักรู้แจ้งจักมีได้อย่างไร เหมือนคนกินข้าวไม่มีความหิวความอิ่มก็ไม่มีไปด้วย
๓. คือท่านวิมลเกียรติคฤหบดี.
เป็นเสียงประกาศพระสัทธรรมโดยอเนกปริยาย จักประมาณขอบเขตก็มิได้ นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๕.
๖. คฤหาสน์นี้ มีมหาจตุรโกศะบริบูรณ์ด้วยสรรพรัตนะของวิเศษพอแจกจ่ายแก่สรรพทุคตชนเข็ญใจได้โดยถ้วนหน้ามิขาดพร่อง นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๖.
๗. คฤหาสน์นี้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันไม่มีประมาณในทศทิศเสด็จมาแสดงพระสัทธรรมเป็นนิตย์ อาทิเช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภถุทธเจ้า พระอักโฏภยพุทธเจ้า พระรัตรคุณพุทธเจ้า พระรัตนโชติพุทธเจ้า พระรัตนจันทรพุทธเจ้า ฯลฯ พระพุทธเจ้าทั้งหลายอันเป็นอปรไมยในทศทิศทุกพระองค์นี้ ในกาลใดอุดมบุรุษผู้นั้น (หมายพึงท่านวิมลเกียรติ) อนุสรณ์ทูลเชิญแล้ว ย่อมเสด็จมาปรากฏพระองค์แสดงแจกแจงข้อพระสัทธรรมอันสุขุมคุรภีรภาพ ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว จึงเสด็จกลับคืนไป นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๗.
๘. คฤหาสน์นี้ ย่อมปรากฏภาพอันไพจิตรตระการรุ่งแห่งปวงวิมานทิพยมณเฑียรสถาน แลปวงพุทธเกษตรดันอุดมด้วยสรรพคุณาลังการสำแดงให้เห็นได้ในคฤหาสน์ นี้เป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมประการที่ ๘.
“พระคุณเจ้า ท่านสารีบุตรเจ้าขา ก็เมื่อมีคฤหาสน์อันสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัตินับเป็นอัจฉริยอัพภูตธรรมถึง ๘ ประการดังนี้ ใครเลยที่เขาได้มายลสภาพอันเป็นอจินไตยเห็นปานฉะนี้แล้ว เขาจักมาพอใจยินดีปราระนาในธรรมฝ่ายสาวกอีกทำไม.”
พระสารีบุตร ถามว่า “ดูก่อนเทวี ก็ไฉนเธอจึงไม่เปลี่ยนสภาวะความเป็นหญิงของเธอเสียเล่า ?”
เทพธิดาตอบว่า “ตลอดระยะกาล ๑๒ ปีมา ดิฉันค้นหาไม่พบสภาวะความเป็นหญิงตัวดิฉันเลย เมื่อเป็นดังนี้จะให้เอาอะไรมาเปลี่ยนเล่าพระคุณเจ้า อุปมาบุรุษมายากรได้สำแดงรูปสตรีมายาขึ้น หากมีผู้ถามรูปมายานั้นว่า ไฉนท่านจึงไม่เปลี่ยนสภาวะของท่านเสียเล่า การถามเช่นนั้นชื่อว่าเป็นการถามที่ถูกต้องกับความเป็นจริงฤๅไม่เจ้าคะ ?”
พระสารีบุตรตอบว่า “ไม่ถูกต้องหรอกเทวี! เพราะอันที่จริงมีแต่สภาพมายาสาระ หาแก่นสารมั่นคงมิได้ จะเอาอะไรที่ไหนมาเปลี่ยน.”
เทพธิดาจึงว่า “สิ่งทั้งปวงก็มีอุปไมยฉันเดียวกัน ปราศจากสภาวะคงที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระคุณยังจะถามดิฉันว่า ไฉนจึงไม่เปลี่ยนสภาวะหญิงไปเสียทำไมกัน.”
ครั้งนั้นแล เทพธิดานางนั้นได้สำแดงอิทธาภิสังขารบันดาลให้พระสารีบุตรกลายเป็นตัวนางเทพธิดาเสียเอง ส่วนตนเองก็แปลงร่างเป็นสารีบุตรแล้วจึงย้อนกลับไปถามสารีบุตรว่า
“เทวี! ไฉนเธอจึงไม่เปลี่ยนสภาวะหญิงเสียเล่า ?”
พระสารีบุตรในรูปนางเทพธิดาตอบว่า “อาตมภาพมิทราบว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ จึงมากลายเป็นนางเทพธิดาไปได้ ?”
เทพธิดา “พระคุณเจ้าสารีบุตร ถ้าพระคุณอาจแปรเปลี่ยนรูปหญิงนี้ได้ สตรีทั้งปวงก็จักสามารถเปลี่ยนภาวะของเธอได้ เช่นกับพระคุณเองมิใช่เป็นสตรี แต่ก็สำแดงปรากฏเป็นรูปสตรีฉันใด สตรีทั้งหลายแม้จักปรากฏโดยรูปว่าเป็นหญิง แต่ความจริงแล้วก็หาสภาวะหญิงมิได้ฉันนั้น เพราะเหตุประการฉะนี้แล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สิ่งทั้งปวง ไม่มีสภาวะชาย ฤๅสภาวะหญิง.”
ลำดับนั้นแล นางเทพธิดาจึงเรียกฤทธิ์ให้กลับคืน ยังพระสารีบุตรให้คืนสู่ลักษณะเดิมของท่าน แล้วนางก็ถามว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้า อิตถีลักษณะนั้น เดี๋ยวนี้ตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?”
ตอบ “อิตถีลักษณะนั้นมิได้ตั้งอยู่ ณ ที่ใด และไม่มีสถานที่ใดเลยที่อิตถีลักษณะนั้นจักมิได้ตั้งอยู่.”
เทพธิดา “ธรรมทั้งปวงก็มีนัยดุจเดียวกัน มิได้ตั้งอยู่กำหนดแน่นอน ณ ที่ใด แลในประการเดียวกันก็ไม่มีสถานที่ใดที่ธรรมเหล่านั้นมิได้ตั้งอยู่อันหลักที่ว่ามิได้ตั้งอยู่ ณ ที่ใด แลไม่มีสถานที่ใดที่จักมิได้ตั้งอยู่ นี้เป็นพุทธานุศาสน์นั้นเอง.”
พระสารีบุตรถามว่า “ดูก่อนเทวี เมื่อเธอละสรีระนี้แล้ว จักไปถืออุบัติ ณ ภพภูมิไดหนอ ?”
เทพธิดา “ภูมิใดซึ่งพระพุทธองค์ทรงอวตารเพื่อโปรดสัตว์ ดิฉันย่อมไปถืออุบัติ ณ ภพภูมินั้น ๆ.”
พระสารีบุตร “การอวตารเพื่อโปรดสัตว์ของพระพุทธองค์ ไม่นับว่าเป็นความเกิดขึ้นแลความดับไป.”
เทพธิดา “ถ้าเช่นนั้นไซร้ แม้การเวียนว่ายตายเกิดแห่งสรรพสัตว์ก็มีนัยฉันเดียวกัน คือไม่นับว่าเป็นความเกิดขึ้นแลความดับไปด้วย.”
ถาม “เป็นกาลเวลาอีกนานเท่าไรหนอ ที่เธอจักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ?”
ตอบ “ในกาลเวลาใดแล ที่พระคุณเจ้าพระสารีบุตร กลับเป็นปุถุชนภาวะ ในกาลเวลานั้นดิฉันก็จักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเจ้าค่ะ.”
พระสารีบุตร “ข้าที่อาตมภาพจักคืนสู่สภาวะปุถุชน ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้.”
เทพธิดา “ก็เช่นเดียวกันแหละเจ้าค่ะ ข้อที่ดิฉันจักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้ เพราะเหตุไฉน ก็เพราะว่าพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น เป็นธรรมปราศจากที่ตั้ง เหตุฉะนั้นแลจึงไม่มีผู้จักบรรลุ.* ”
ถาม “ก็บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สำเร็จ บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในอดีตด้วย ในอนาคตด้วย นับจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที ความเป็นไปปรากฏอย่างนี้ จักว่าฉันใดเล่า ?”
ตอบ “ความเป็นไปปรากฏอย่างนั้น ล้วนนับเนื่องด้วยอักขระบัญญัติโวหาร ตามสมมติโลกิยนัย จึงบัญญัติว่ามีกาละทั้ง ๓ อัน พระโพธิญาณนั้นย่อมไม่อยู่ในวิสัยแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคตใด ๆ .”
ลำดับนั้น นางเทพธิดาจึงถามพระสารีบุตรขึ้นบ้างว่า “พระคุณเจ้าสารีบุตรผู้เจริญ พระคุณได้สำเร็จพระอรหันตมรรคกระนั้นฤๅเจ้าคะ ?”
พระสารีบุตร “เพราะเหตุที่อาตมภาพมิได้ยึดถือว่ามีตัวตนเป็นผู้ได้บรรลุมรรคผล อาตมภาพจึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์.”
เทพธิดา “แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย กับทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งปวงก็ดุจเดียวกัน กล่าวคือมิได้มีความยึดถือว่ามีสภาวะอันจักพึงบรรลุเมื่อปราศจากความยึดถือ จึงชื่อว่าได้สำเร็จพระโพธิญาณโดยแท้จริง.”
ลำดับนั้น ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้า อันเทพธิดาผู้นี้ ได้กระทำการสักการบูชาบำเพ็ญกุศลสมภารในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๙๒ โกฏิพระองค์มาแล้ว เธอมีความเชี่ยวชาญในโพธิสัตว์อภิญญากรีฑาอย่างยอดเยี่ยม มีปณิธานอันสมบูรณ์เต็มเปี่ยม บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ ตั้งอยู่ในภูมิอันไม่เสื่อมถอยหมุนกลับคืนมาอีก แต่ด้วยอาศัยมูลปณิธาน เธอจึงสำแดงตนตามมโนปรารถนาด้วยประการต่าง ๆ เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์.”
ปริเฉท ๗ สรรพสัตว์วิทรรศนะวรรค จบ.
__________________________
* หมายความว่า พระโพธิญาณเป็นอนัตตา ไม่มีที่ตั้งกำหนดได้ว่าอยู่ทิศนั้นทิศนี้ ไม่อยู่ในวิสัยแห่งกาละหรือเทศะใด ๆ ส่วนบุคคลผู้บรรลุเล่าก็เป็นอนัตตา จึงกล่าวว่าไม่มีการบรรลุโดยปรมัตถนัย.
ปริเฉทที่ ๘ พุทธภูมิวรรค
ปริเฉทที่ ๘
พุทธภูมิวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ได้ถามท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ดูก่อนคฤหบดี พระโพธิสัตว์จักพึงบรรลุเข้าถึงพระพุทธภูมิโดยประการใดหนอ ?”
วิมลเกียรติคฤหบดีตอบว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้า หากพระโพธิสัตว์ใดสามารถดำเนินปฏิปทาอันตรงกันข้ามกับปฏิปทาเพื่อบรรลุพระพุทธภูมิไซร้ พระโพธิสัตว์นั้นย่อมชื่อว่าบรรลุเข้าถึงพระพุทธภูมิโดยแท้เทียว.”
ถาม “ที่ชื่อว่าดำเนินตามปฏิปทาอันตรงกันข้ามกับปฏิปทาเพื่อบรรลุพระพุทธภูมินั้น เป็นไฉนเล่า ?”
ตอบ “หากพระโพธิสัตว์สามารถบำเพ็ญโพธิจริยา ในท่ามกลางปัญจานันตริยภูมิได้* โดยปราศจากความวิปฏิสารเร่าร้อนด้วยกิเลสเข้าไปสู่ภูมินรกได้ โดยปราศจากการครอบงำแปดเปื้อนด้วยมลทินใด ๆ ตั้งอยู่ในภูมิเดรัจฉานได้ โดยปราศจากโทษแห่งอวิชชา สาเถยยะ มานะ เป็นต้น บังเกิดในภูมิเปรตอสุรกายได้ โดยมีสรรพกุศลธรรมบริบูรณ์ไม่บกพร่อง แม้จักอุบัติเหตุในรูปาวจรภพ อรูปาวจรภพ แต่ก็ไม่สำคัญหมายว่านั้นเป็นภพอันวิเศษ แม้จักสำแดงให้เห็นและประหนึ่งว่าเป็นผู้มีอภิชฌาวิสมโลภะ แต่ความจริงนั้นเป็นผู้เว้นจากปวงฉันทราคะ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีโทสะ แต่ความจริงเป็นผู้ปราศจากความกีดขวางเป็นภัยต่อสรรพสัตว์ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้โง่เขลา แต่ความจริงเป็นผู้มีสติปัญญาญาณ ฝึกหัดอบรมจิตของตนและของผู้อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีมัจฉริยะตระหนี่ถี่เหนียว แต่ความจริงเป็นผู้เสียสละสรรพสมบัติทั้งภายใจภายนอก จนที่สุดแม้สละชีวิตก็สามารถสละได้ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้ทุศีล แต่ความจริงเป็นผู้สถิตอยู่ในศีลสังวรอันบริสุทธิ์เสมอ จนที่สุดแม้โทษอันเล็กน้อยก็มีความครั่นคร้ามยิ่งนัก มิอาจล่วงสิกขาบทได้ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีความโกรธ แต่ความจริงเป็นผู้มีใจตั้งอยู่ในเมตตากษานติธรรมเป็นนิตย์ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีโกสัชชะ แต่ความจริงเป็นผู้ขวนขวายพากเพียรในการสร้างกุศลธรรมยิ่งนักหนา แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แต่ความจริงเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิจิตมิขาด แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีโมหะโฉดเขลา แต่ความจริงเป็นผู้รอบรู้แตกฉานในโลกิยปัญญา และโลกุตรปัญญา แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีมารยา แต่ความจริงเป็นผู้อนุโลมตจามอรรถแห่งพระสูตรทั้งหลาย โดยกุศโลบายเพื่อโปรดสัตว์ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีความเย่อหยิ่งทะนงถือตัว แต่ความจริงเป็นผู้รับใช้บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ปวงสัตว์ ดุจสะพานเป็นที่อาศัยเดินข้ามของปวงชนฉะนั้น แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสรรพกิเลส แต่ความจริงจิตภายใจของเขาสะอาดหมดจดเป็นนิรันดร์ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้เข้าไปสู่มารสมาคม แต่ความจริงเป็นผู้ปฏิบัติตนตามพระพุทธปัญญา ไม่รับปฏิบัติตามมารานุศาสน์เลย แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้ยากจนเข็ญใจ แต่ความจริงเป็นผู้อุดมด้วยรัตนคุณานันต์ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้พิกลพิการ แต่ความจริงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศุภลักษณ์อันเลอเลิศอเนกพรรณราย ประดับตน แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้อยู่ในวรรณะต่ำ แต่ความจริงเป็นผู้อุบัติในพระพุทธวงศ์อันประเสริฐ สะพรั่งพร้อมด้วยสรรพคุณานุคุณ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้อัปลักษณ์
__________________________
* ปัญจานันตริยภูมิ หมายถึงนรกซึ่งผู้ที่ก่อปัญจานันตริยธรรม เข้าไปเสวยทุกข์อยู่ พระโพธิสัตว์ลงไปเกิดในภูมิดังกล่าว เพื่อโปรดสัตว์นรกเหล่านั้น โดยปราศจากหวาดหวั่นต่อความทุกข์ยากในนรกนั้น.
ทุพพลภาพ แต่ความเป็นจริงเป็นผู้มีสรีรกายดุจองค์นารายณเทพ เป็นปรียทัศนาแห่งสรรพสัตว์ แม้จักสำแดงประหนึ่งว่าเป็นผู้อันชราพญาธิบีฑา แต่ความจริงเป็นผู้ยังพยาธิมุ,สมุจเฉทแล้ว เป็นผู้ข้ามจากมรณภัยแล้ว แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสรรพสิ่ง อุปโภค บริโภค ทรัพย์สินเครื่องบำรุง แต่ความจริงเป็นผู้ตั้งอยู่ในอนิจจานุปัสสนาเป็นนิตย์ ปราศจากอภิชาฌาวิสมโลภะใด ไ แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีภริยาคู่ครองทารสมบัติ แต่ความจริงเป็นผู้ห่างเว้นจากเบญจพิธกามคุณ ดุจปทุมมาลย์ซึ่งเจริญขึ้นพ้นจากโคลนตบฉะนั้น แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้มีวาจาติดขุดไม่แคล่วคล่องว่องไว แต่ความจริงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสรรพปฏิสัมภิทาปฏิภาณโกศลสำเร็จสมบูรณ์มิเสื่อมถอย แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้แสดงคติธรรมฝ่ายมิจฉาทิฐิของพวกพาหิรลัทธิ แต่ความจริงเป็นผู้แสดงคติธรรมฝ่ายสัมมาทิฐิโปรดปวงสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้จักสำแดงให้เห็นประนึ่งว่าเป็นผู้เข้าถึงคติทั้ง ๖ แต่ความจริงเป็นผู้มีคติมูลสมุจเฉทแล้ว แม้จักสำแดงให้เห็นประหนึ่งว่าเป็นผู้บรรลุพระนิพพาน แต่ความจริงเป็นผู้ไม่ละชาติมรณะให้ขาดสิ้น (เพื่ออาศัยชาติมรณะนั้นบำเพ็ญหิตประโยชน์แก่ปวงสัตว์) ข้าแต่พระมัญชุศรีผู้เจริญ พระโพธิสัตว์ใดสามารถดำเนินตามปฏิปทาอันตรงกันข้ามดั่งกล่าวนี้ ย่อมชื่อว่าพระโพธิสัตว์นั้นเป็นผู้บรรลุเข้าถึงพระพุทธภูมิโดยแท้เทียว.”
ลำดับนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีได้ถามพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้ามัญชุศรีผู้เจริญ ธรรมอะไรหนอ ชื่อว่าตถาคตพีชะ ?”
พระมัญชุศรีตอบว่า “ดูก่อนคฤหบดี สรีรกายนี้แล ชื่อว่าพระตถาคตพีชะ อวิชชา ภวตัณหา ชื่อว่าพระตถาคตพีชะ โลภะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าพระตถาคตพีชะ แม้วิปลาส ๔ และนิวรณ์ ๕ ก็ชื่อว่าพระตถาคตพีชะสฬายตนะ ๖ ชื่อว่าพระตถาคตพีชะ วิญญาณธาตุ ๗ มิจฉัตตะ ๘ เหล่านี้ก็นับว่าเป็นพระพุทธพีชะ แลเมื่อกล่าวโดยรวบยอดแล้ว มิจฉาทิฐิ ๖๒ กับปวงกิเลสล้วนเป็นพระพุทธพีชะได้ทั้งสิ้น.”
ถาม “ข้านั้น เพราะเหตุดังฤๅ ?”
ตอบ “เพราะเหตุว่าหากบุคคลเป็นผู้สำเร็จอริยผล ได้บรรลุพระนิพพานไซร้ บุคคลนั้นก็อาจตั้งจิตมณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้.”
อุปมาดั่งพื้นปฐพีดลอันสูงลิ่ว ย่อมไม่เป็นฐานะที่ดอกโกมุทจักพึงอุบัติขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ต่ำ เป็นเลนตมชื้นแฉะ จึงเป็นแหล่งอันปทุมชาติจักพึงอุบัติขึ้นได้ฉันใด บุคคลผู้ได้สำเร็จอริยผล บรรลุพระนิพพานแล้วไซร้ ย่อมบ่ออาจจักยังเขาให้ตั้งจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมธิญาณได้ ในท่างกลางโคลนตมคือกิเลส จึงมีผู้สามารถบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็มีอุปไมยฉันนั้น อนึ่งเปรียบเหมือนผู้ที่หว่านพืชลงในสถานที่พื้นที่โสโครก พืชนั้นกลับจักเจริญงอกงอมขึ้น เช่นเดียวกับบุคคลผู้สำเร็จอริยผล บรรลุพระนิพพานไปแล้ว ย่อมอาจตั้งจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้อีก โดยประการตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่ยังอัตตานุทิฏฐิกว้างขวางใหญ่โต ครุวนาดั่งจอมสุเมรุบรรพตกลับจักสามารถบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยประการฉะนี้แล ท่านคฤหบดี ! ขอท่านพึงกำหนดรู้ไว้ว่า สรรพกิเลสาสวะทั้งหลาย แต่ละล้วนนับเป็นพระตถาคตพีชะ อนึ่ง เปรียบเหมือนบุคคลผู้ปรารถนาจักได้ดวงมณีอันหาค่าเปรียบมิได้ มาตรแม้ว่าเขาไม่ออกไปสู่สาครสมุทรอันล้ำลึกเพื่อเสาะแสวงหาไซร้ ไหนเลยจักได้เป็นเจ้าของมณีรัตน์อันล้ำค่าเห็นปานนั้นได้เล่าความอุปมานี้ฉันใด ความอุปไมยเช่นเดียวกับบุคคลผู้มิได้เข้าไปสู่ท่ามกลางมหาโอฆะกันดารแห่งกิเลส ก็ย่อมบ่ออาจสำเร็จบรรลุในสรรเพชุดาญาณรัตนะก็ฉันนั้นแล.”
ครั้งนั้นแล พระมหากัสสปได้เปล่งวาจาอนุโมทนาขึ้นว่า
“สาธุ ! สาธุ ! ท่านมัญชุศรีผู้เจริญ ท่านกล่าวได้แหลมลึกนักความจริงย่อมเป็นดั่งคำกล่าวของท่านมิ
คลาดเคลื่อน กล่าวคือสรรพกิเลสทั้งปวงย่อมเป็นพระตถาคตพีชะ๑ พวกอาตมภาพทั้งหลาย (หมายถึงพระอรหันตสาวก) มิอาจบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ซึ่งผิดกับบุคคลผู้ประกอบแม้จนกระทั่งปัญจานันตริยกรรม เขายังมีโอกาสที่จักบังเกิดปณิธานในพระพุทธภูมิได้ ก็แต่พวกอาตมภาพกลับเป็นผู้ไม่สามารถตั้งจิตปณิธานในพระโพธิญาณได้ดุจเดียว กับบุคคลผู้มีอินทรีย์อันทุพพลภาพไปแล้ว๒ ย่อมมิอาจเสวยเบญจพิธกามคุณารมณ์ได้ดั่งปกติ ครุวนาเช่นพระอรหันตสาวกผู้ทำงายสังโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ย่อมบ่ห่อนจักสามารถบำเพ็ญพุทธการกธรรมได้ ย่อมบ่ห่อนจักบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ เพราะเหตุฉะนั้นแล ท่านมัญชุศรีผู้เจริญ ปุถุชนในพระธรรมวินัย ของพระพุทธแม้จักยังมาความหวั่นไหวกลับกลอก บัดได้บัดเสื่อมจากคุณธรรม นับเป็นกุปปบุคคลแต่พระอรหันตสาวกเป็นอกุปปบุคคล ปราศจากความหวั่นไหว ไม่เสื่อมจากคุณธรรมที่ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ก็เพราะว่าหากปุถุชนได้สดับฟังพระสัทธรรมอันเป็นไปเพื่อพุทธภูมิไซร้ ก็จักสามารถบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ เขาย่อมเป็นผู้สืบสายวงศ์พระรัตนตรัยมิให้ขาดสะบั้น๓ ฝ่ายพระอรหันตสาวกนั้น มาตรว่าตลอดชีพจักสดับธรรมอันเป็นไปเพื่อพระพุทธภูมิ มีทศพลธรรม อภัยธรรมเป็นอาทิก็ยังไม่สามารถบังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมโพธิญาณได้.”
ลำดับนั้นแล ณ ท่ามกลางธรรมสันนิบาตนั้น มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง นามกรว่า สัพพัตถทิสมานกาย ได้เอื้อนโอษฐ์ถามท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ดูก่อนท่านคฤหบดี ก็มารดาบิดาภริยาและบุตรธิดา อีกทั้งวงศาคณาญาติบริวารชนของท่านนั้น เป็นใครหนอ ? อนึ่ง บ่าวไพร่ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก อีกทั้งยวดยานพาหนะของท่านเล่า บัดนี้อยู่ ณ แห่งหนใด ?”
ท่านวิมลเกียรติได้สดับถ้อยปุจฉานั้นแล้ว จึงแถลงปฏิพจน์โดยคาถาว่า :-
“พระโพธิสัตว์มีปรัชญาเป็นมารดา มีอุปายะเป็นบิดา อันพระผู้นำทางพ้นทุกข์แก่ส่ำสัตว์ ไม่มีสักพระองค์หนึ่งเลยที่จักไม่อุบัติขึ้นจากมารดาบิดาดังกล่าวนี้. ๔ ”
“กระผมเอาปีติในพระธรรมมาเป็นคู่เคียง มีจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาเป็นบุตรสาว เอาความซื่อสัตย์สุจริตใจเป็นบุตรชาย มีสุญญาตาเป็นเรือนอาศัย เอาสรรพสัตว์เป็นศิษย์ กระผมย่อมอบรมสั่งสอนสัตว์เหล่านั้นได้ตามปรารถนา อนึ่ง กระผมมีโพธิปักขิยธรรมเป็นกัลยารมิตรได้อาศัยธรรมดั่งกล่าวนี้แล้ว จึงถึงภูมิตรัสรู้ได้.”
“ความทรงไว้ซึ่งสรรพธรรมอรรถ เป็นอุทยานของกระผมอนาสวธรรมเป็นไพรพฤกษ์ มีจิตตรัสรู้เป็นบุปผชาติลดาวัลย์ เผล็ดผลกล่าวคือวิมุตติญาณ วิโมกข์ ๘ เป็นสระโบกขรณี มีสมาธิจิตเป็นวารีอันเต็มเปี่ยมเสมอ สะพรั่งด้วยบัวบานปราศจากมลทิน ๗ อย่าง กล่าวคือสุทธิ ๗ กระผมได้อาบรดด้วยวารีดั่งกล่าวนั้น.”
“กระผมมีอภิญญา ๕ เป็นช้างม้าที่ไปได้เร็ว มีมหายานธรรมเป็นยวดยาน เอกัคคตาจิตเป็นนายสารถี กระผมอาศัยยานพาหนะเช่นนี้ท่องเที่ยวไปตามหนทาง กล่าวคืออัฏฐังคิกมรรค ๘.”
“มหาสุริสลักษณะ ๓๒ เป็นรูปร่างของกระผม มีอนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นอลังการแห่งองคาพยพ มี
__________________________
๑. เพราะถ้าไม่มีความทุกข์เพราะกิเลสในสรรพสัตว์ ก็จักไม่มีผู้ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อเปลื้องทุกข์ภัยให้แก่สรรพสัตว์ได้
๒. เช่นโสตินทรีย์วิการไปย่อมไม่อาจเสวยสัททารมณ์ได้เป็นต้น อินทรีย์ในที่นี้หมายถึงจักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชีวหินทรีย์ และกายินทรีย์ คู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
๓. หมายความว่า เมื่อเขาได้บำเพ็ญเพียรบารมีจนลุพุทธภูมิแล้ว ก็จักได้ตั้งพระพุทธศาสนาสืบต่อจากพระอดีตพระพุทธเจ้า.
๔. หมายความว่า พระโพธิสัตว์มีทั้งปัญญาและมีทั้งอุปายโกศลที่จะสอนสัตว์ให้พ้นทุกข์ ให้ถูกกับจริตของสัตว์ เมื่อเป็นไปได้เช่นนี้ชื่อว่าได้สำเร็จโพธิญาณ บำเพ็ญพุทธกินโดยสมบูรณ์ สำนวนเหล่านี้เป็นสำนวนเปรียบเทียบธรรมาธิษฐานกับบุคคลาธิษฐาน
หิริโอตตัปปะเป็นวิภูษิตตาภรณ์ จิตที่สุขุมคัมภีรภาพเป็นศิราภรณ์ กระผมมั่งคั่งด้วยอริยทรัพย์ทั้ง ๗ อนึ่ง การสั่งสอนอบรมทวยนิกรสัตว์ให้เป็นผู้สมบูรณ์ในอริยทรัพย์นั้น เพื่ออุทิศในพระโพธิญาณนับว่าเป็นดอกเบี้ยประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของกระผมทีเดียว.”
“กระผมเอารูปาวจรฌานทั้ง ๔ เป็นอาสนะ มีความเป็นอยู่ด้วยสัมมาอาชีวะ มีพหุสูตเป็นเครื่องทวีปัญญา กับทั้งเป็นเสียงยังตนเองให้รู้แจ้ง โภชนาหารของกระผมเล่าคือมฤตธรรม มีวิมุตติรสเป็นน้ำปานะกระผมโสรจสรงสนานตัวด้วยการชำระจิตให้บริสุทธิ์ลูบไล้ด้วยสุคันธชาตกล่าวคือศีล.”
“กระผมหักรานโจรคือกิเลสให้พินาศย่อยยับ มีวีรภาพอันยิ่งยงปราศจากผู้เปรียบเกิน ยังมาร ๔ ประเภทให้ตกอยู่ในอำนาจสถาปนาธรรมณฑลขึ้นแล้ว ยังธรรมวิชัยธุชให้โบกไสว.”
“ถึงมาตรว่ากระผมจักรู้แจ้งในธรรม อันปราศจากความเกิดขึ้นและดับไป แต่เพื่อโปรดสรรพสัตว์ จึงยังคงวนเวียนท่องเที่ยวในภพอีกมีกายปรากฏในสรรพโลกานุโลก ดั่งดวงภาณุมาศซึ่งปรากฏแก่ชนทั้งหลายฉะนั้น.”
“กระผมได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีประมาณพระองค์อันจักพึงนับมิได้ทั่วทศทิศ โดยมิได้เกิดวิกัลปสัญญาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายกับตนเองแตกต่างกันเลย ถึงมาตรกระผมรู้จักว่าสรรพพุทธเกษตร แลสรรพสัตว์ล้วนเป็นสุญญตา แต่กระผมก็บำเพ็ญกรณีกิจเพื่อยังโลกธาตุให้บริสุทธิ์เสมอ เพื่อโปรดทวยประชาสัตว์.”
“สัตว์ทั้งหลาย โดยประเภทมีหลายหลาก รูปลักษณะก็ดี สุ้มเสียงจำนรรจา อีกทั้งอิริยาบถประการต่าง ๆ พระโพธิสัตว์ย่อมอาศัยกำลังแห่งอภัยธรรม สำแดงตนให้ปรากฏโดยลักษณะดั่งกล่าวนั้น ในกาลพียงชั่วครู่เดียว.”
“พระโพธิสัตว์ย่อมรู้เท่าทันเรื่องราวของมาร แต่สำแดงตนประหนึ่งว่าเข้าไปพัวพันกับมารนั้น ก็ด้วยอาศัยปัญญากุศโลบายอันแยบคายตามใจปรารถนา ชักจูงให้มารมุ่งจิตต่อพระพุทธภุมิ.”
“อนึ่ง พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงตน ประหนึ่งว่ามีชราพยาธิมรณะก็เพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้สำเร็จประโยชน์ ในการแทงทะลุสรรพธรรมโดยปราศจากอุปสรรค ว่าสังขารทั้งปวงเป็นมายาไร้แก่นสาร.”
“อนึ่ง ย่อมแสดงให้เห็นกัลป์อันประลัยด้วยอัคนี พร้อมทั้งมหาปฐพี ซึ่งลุกไหม้ยังชนซึ่งยึดถือในนิจจสัญญา ให้บังเกิดความแจ่มชัดในความเป็นอนิจจัง ทวยนิกรสัตว์นับอสงไขยอประไมยต่างก็บ่อยหน้ามาพึ่งพิงพระโพธิสัตว์ยังสถานที่อาศัย ในเวลาเดียวกันพระโพธิสัตว์ย่อมสั่งสอนให้สรรพสัตว์ทั้งนั้นมุ่งจิตต่อพระพุทธภูมิ.”
“ศาสตราคม อาถรรพเวท อีกทั้งนานาศิลปวิทยา พระโพธิสัตว์ย่อมศึกษาเจนจบ นำมาเป็นเครื่องมือบำเพ็ญประโยชน์เพื่อประชาสัตว์ อนึ่งย่อมสำแดงตนถือเพศเป็นนักบวชในสรรพพาหิรลัทธิ ทั้งนี้เพื่อมุ่งขจัดความหลงของเหล่าพาหิชน โดยที่ตนเองมิได้กลายเป็นมิจฉาทิฐิไปตาม.
“อนึ่ง พระโพธิสัตว์ ย่อมสำแดงตนเป็นสุริยเทพ จันทรเทพฤๅท้าวมหาพรหมปชาบดี ในลางสมัยย่อมสำแดงเป็นปฐพีมหาภูต อาโปมหาภูต ฤๅวาโยมหาภูต เตโชมหาภูต ก็แลหากบังเกิดโรคันตราย ในท่ามกลางความเป็นไปแห่งกัลป์ไซร้ พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงสรรพต้นยาสมุนไพร อันชนใดกินเข้าไปแล้ว ย่อมสามารถดับพิษโรคได้อย่างฉมัง ฤๅหากว่าบังเกิดทุพภิกขภัย พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงโภชนาหารอันประณีต ยังสรรพชนให้อิ่มหนำสำราญระงีบความหิวโหย แล้วแลแสดงธรรมแก่เขาเหล่านั้น ฤๅหากมียุทธภัยเกิดขึ้น พระโพธิสัตว์ย่อมยังชนอันเป็นข้าศึกแก่กันทั้ง ๒ ฝ่าย ให้มีจิตเมตตาต่อกัน ตั้งอยู่ในอรณภูมิ ฤๅหากมีมหารณรงค์ อันกองทัพทั้ง ๒ ฝ่ายตั้งประจัญกัน ณ สมรภูมิ พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงเตชพละ ยังกองทัพทั้งนั้นให้อยู่ในอำนาจแล้ว แลให้อยู่ในสันติความสมัครสมานกันได้ในที่สุด.”
“ในท่ามกลางสรรพโลกานุโลก ประดาที่มีนรกภูมิ พระโพธิสัตว์ย่อมเสด็จไปปรากฏ ณ ที่เช่นนั้น เพื่อช่วงเปลื้องทุกข์ของสัตว์ผู้เสวยทุกข์ในท่ามกลางสรรพโลกานุโลก ประดาที่มีเดรัจฉานภูมิ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายต่างกัดกินกันเป็นอาหาร พระโพธิสัตว์ย่อมเสด็จไปปรากฏ ณ แดนนั้น เพื่อสั่งสอนให้ระงับการเบียดเบียนยังหิตานุหิตคุณให้มีขึ้น.”
“อนึ่ง พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงตนประหนึ่งว่าเสวยเบญจพิธกามคุณ ในยามเดียวกันก็สำแดงตนประหนึ่งว่าบำเพ็ญฌานสมาบัติยังจิตของมารให้งงงวย ไม่พบช่องโอกาสที่จักสำแดงมายาได้ เปรียบเหมือนดอกโกมุท ซึ่งอุบัติขึ้นจากท่ามกลางแวดวงแห่งกามคุณ แต่กลับสามารถตั้งมั่นอบคมในฌานสมาบัติได้ ก็มีนัยดุจเดียวกัน.”
“อนึ่ง ลางสมัยพระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงตนประหนึ่งเป็นหญิงหนักในราคะ ชักจูงล่อบรรดาชายผู้อภิรมย์ในรสกามให้มาผู้พัน ทั้งนี้ก็โดยใช้วิธีเอากามคุณมาเป็นเบ็ดเกี่ยวจิตใจของชนผู้มีนันทิราคะให้มาติดเสียก่อน ภายหลังจึงพร่ำสอนให้เขาเหล่านั้น บรรลุภูมิตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.”
“ฤๅลางสมัย สำแดงตนเป็นหัวหน้าแห่งคามนิคม ฤๅเป็นผู้นำแหล่าพาณิช ฤๅเป็นราชปุโรหิต ฤๅเป็นอัครมนตรี ทั้งนี้ก็เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ปวงนิกรชน ในบรรดาชนทุคตะเข็ญใจยากไร้อนาถาพระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงธนทรัพย์อันอเนกอนันต์ แจกจ่ายให้แก่ชนเหล่านั้น แล้วเลยอบรมสั่งสอนแนะนำให้พวกเขาตั้งจิตมุ่งมั่นต่อพระโพธิญาณ”
“ในบุคคลผู้มีความลำพองเย่อหยิ่งทะนง พระโพธิสัตว์ย่อมสำแดงตนเป็นบุรุษกำยำ มีพละ แรงกล้า เพื่อปราบความลำพองเย่อหยิ่งนั้น ให้เขาตั้งอยู่ในภูมิที่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ในชนที่มีแต่ความหวาดหวั่นภัย พระโพธิสัตว์ย่อมไปปลอบขวัญเล้าโลมจิตของเขา ย่อมยังอภัยให้บังเกิดขึ้น ภายหลังจึงชักจูงให้เขามุ่งจิตต่อพระโพธิญาณ.”
“ในชนผู้ปรารถนามีผู้รับใช้ พระโพธิสัตว์ก็ย่อมสำแดงตนเป็นเด็กรับใช้ ปฏิบัติกิจของผู้เป็นนาย ยังความยินดีของนายให้เป็นไป จึงถือโอกาสอบรมจิตของนายให้มุ่งพระโพธิญาณ ยังความปรารถนาของเขาให้เป็นไปตามหวัง กระทำให้เขาเข้าสู่พระพุทธภูมิ ทั้งนี้ก็โดยอาศัยกำลังแห่งกุศโลบาย กระทำให้สมบูรณ์ได้.”
“วิถีของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มีประมาณ จริยาของพระโพธิสัตว์ก็ปราศจากขอบเขต พระโพธิสัตว์ย่อมปลดเปลื้องสัตว์ไม่มีประมาณให้พ้นจากห้วงแห่งทุกข์ และโดยประการดังกล่าวนี้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จักตรัสสรรเสริญพรรณนาคุณของพระโพธิสัตว์ นับเป็นอสงไขยกัลป์ก็ยังบ่อาจจักพรรณนาได้จบสิ้นได้.”
“ผู้ใดมาตรว่าได้สดับธรรมเห็นปานดั่งนี้ไซร้ ใครเล่าจักไม่บังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมาสัมโพธิญาณ นอกเสียแต่ชนผู้โง่เขลา มีแต่อัญญาณเท่านั้นแล.”
ปริเฉทที่ ๘ พุทธภูมิวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๙ อไทฺวตธรรมทวาวรรค
ปริเฉทที่ ๙
อไทฺวตธรรมทวาวรรค
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติอุบาสก ได้กล่าวกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายว่า
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระโพธิสัตว์จักเข้าไปสู่อไทฺวตธรรมทวาร คือประตูแห่งความไม่เป็นคู่อย่างไรฤๅหนอแล ? ขอท่านผู้เจริญทั้งปวงโปรดแสดงมติของท่านแต่ละท่านออกมาเถิด!
ลำดับนั้น ในท่ามกลางธรรมสันนิบาต มีพระโพธิสัตว์ชื่อ พระธรรมอิศวร จึงกล่าวขึ้นว่า
“ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ความเกิดและความดับ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่แต่เนื้อแท้สิ่งทั้งปวงปราศจากความเกิดขึ้น เมื่อเป็นดังนี้ จึงไม่มีอะไรดับไปผู้ใดได้ลุถึงอนุตปาทธรรมกษานติดังกล่าว จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระคุณรักษโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“อัตตา อัตตนิยะ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เหตุเพราะมีตัวตน จึงมีสิ่งที่เนื่องด้วยตน เมื่อปราศจากตนเสียแล้ว สิ่งที่เนื่องด้วยของของตนก็ไม่มีจึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระอนิมมิสโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความเสวยภพชาติ ความไม่เสวยภพชาติ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่แต่เนื้อแท้ธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา ปราศจากผู้เสวย จึงปราศจากสิ่งที่พึงถือเอาว่าเป็นเจ้าของได้ เพราะปราศจากสิ่งอันพึงยึดมั่น จึงไม่มีอุปาทานไม่มีการละอุปาทาน ไม่มีกิเลสกรรม ไม่มีการปฏิบัติเพื่อพ้นกิเลสกรรม นี้แลชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระคุณเสขรโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“มลธรรม วิมลธรรม ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเห็นเจ้งในสภาวะตามเป็นจริงของมลธรรมอันเป็นสุญญตาไซร้ วิมลธรรมก็ย่อมพลอยไม่มีไปด้วย ย่อมอนุโลมเป็นไปในนิโรธ นี้แลชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระศุภเคราะห์โพธิสัตว์ กล่าวว่า
“อารมณ์ ๖ ที่ทำให้ท่านหวั่นไหว วิปลาสสัญญาอันเป็นไปในอารมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เมื่อปราศจากความหวั่นไหวเพราะอารมณ์ ๖ จึงไม่มีวิปลาสสัญญา เมื่อไม่มีวิปลาสสัญญาก็ปราศจากวิกัลปะ ผุ้รู้แจ้งดั่งนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสมันตจักษุโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“สภาวะ อภาวะ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดรู้แจ้งว่า เนื้อแท้สภาวะก็คืออภาวะ ไม่เกิดความยึดถือในอภาวะว่ามีอยู่อีกด้วย ตั้งอยู่ในสมธรรมจึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระศรีหัตถโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“จิตพระโพธิสัตว์ จิตพระอรหันตสาวก ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดพิจารณาเห็นภาวะแห่งจิตว่าเป็นสุญญตา เป็นมายา ปราศจากแก่นสารเนื้อแท้ไม่มีอะไร ที่เป็นจิตพระโพธิสัตว์ฤๅจิตพระอรหันตสาวก จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระปุสสโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“กุศล อกุศล ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดไม่เกิดความรู้สึกยึดถือก่อเกิดกุศลฤๅอกุศล รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงอัปปณิหิตธรรม จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสิงหราชาโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“บาป บุญ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดรู้แจ้งว่าเนื้อแท้ภาวะแห่งบาป มิได้ผิดแปลกจากบุญเลย ใช้วชิรปัญญาเข้าไปตัดความติดแน่นในลักษณะแบ่งแยกเสียได้ ไม่มีผู้ถูกผูกพันฤๅไม่มีผู้หลุดพ้น จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสิงหมติโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“อาสวะ อนาสวะ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเข้าถึงความจริงว่าสรรพธรรมเป็นสมตา ย่อมไม่เกิดอาสวสัญญา ฤๅอนาสวสัญญาขึ้น ไม่ยึดถือในสภาวะ ไม่ยึดถือในอภาวะ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระวิสุทธิญาณโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“สังขตะ อสังขตะ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดพ้นจากสิ่งที่พึงนับได้จิตของผู้นั้นว่างเปล่า เขาย่อมมีปัญญาอันบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งขัดข้อง จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระนารายณโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“โลกิยะ โลกุตตระ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้โลกิยธรรมเป็นสุญญตา เป็นอันเดียวกับโลกุตตระ ฉะนั้น จึงไม่มีการเข้าสู่โลกิยะฤๅการออกไปจากโลกิยะ ไม่มีความไหลเอ่อล้นฤๅความฟุ้งซ่าน จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระศุภมติโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความเกิด ความตาย พระนิพพาน ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเห็นแจ้งว่าสภาพแห่งความเกิด ความตาย เนื้อแท้ ปราศจากความเกิดความตาย ไม่มีความผูกพันฤๅความหลุดพ้น ไม่มีความลุกโพลงฤๅความดับความเย็น ผู้เห็นแจ้งดั่งนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสันทิฏฐิกโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความสิ้นไปแห่งกิเลส กวามไม่สิ้นไปแห่งกิเลส ชื่อว่าเป็นธรรมคู่เนื้อแท้ของสภาพธรรมนั้น ความสิ้นไปก็คือความไม่สิ้นไป แต่ละล้วนเป็นภาวะอันไม่มีขอบเขต ภาวะอันไม่มีของเขตก็คือสุญญตา เพราะเป็นสุญญตจึงปราศจากขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ใดเข้าถึงความจริงดั่งนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสมันตรักษโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“อัตตา อนัตตา ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ อันที่จริงอัตตาย่อมหาไม่ได้เลยแล้วอนัตตาจักมีได้อย่างไร ผู้ใดรู้แจ้งในธรรมตามเป็นจริงดั่งนี้ ย่อมไม่เกิดความยึดถือในอัตตา อนัตตา จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระวิชชุเทพโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“วิชชา อวิชชา ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้สภาพแห่งอวิชชาก็คือวิชชา แม้วิชชาก็ไม่พึงยึดมั่น เมื่อพ้นจากภาวะแห่งการนับเสียได้ ตั้งอยู่ในภูมิอันสม่ำเสมอไม่เป็นสอง ผู้เช่นนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระปรียทรรศนโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“รูปกับความสูญของรูป ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้รูปก็คือความสูญ มิใช่ต้องรอให้รูปธรรมแตกดับไปจึงเรียกว่าสูญ แท้จริง สภาวะแห่งรูป ย่อมเป็นสุญญตาอยู่โดนธรรมดา แม้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณกับความสูญแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้เวทนา ฯลฯ วิญญาณ ก็คือความสูญ มิใช่ต้องรอให้เวทนา ฯลฯ กับไปเสียก่อน จึงเรียกว่าสูญ แท้จริง สภาวะแห่งเวทนา ฯลฯ วิญญาณ ย่อมเป็นสุญญตาอยู่โดยธรรมดา ผู้ใดเห็นแจ้งแทงทะลุในเรื่องนี้ได้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระวิทยาลักษณโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“มหาภูตรูป ๔ กับอากาศธาตุ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้สภาวะแห่งธาตุ ๔ ก็คืออากาศธาตุนั่นเอง เช่นเดียวกับอดีต อนาคต อันเป็นสิ่งว่างเปล่า ดังนั้นปัจจุบันก็ว่างเปล่า ผู้ใดรู้แจ้งธาตุต่าง ๆ ดังนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระศีรมนัสโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“จักษุกับรูป ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเห็นแจ้งว่า เนื้อแท้สภาวะแห่งจักษุเป็นสุญญตา ย่อมไม่เกิดโลภ โกรธ หลง ต่อรูป ชื่อว่าเป็นธรรมสงบระงับ แม้โสตะกับเสียง ฆานะกับกลิ่น ชิวหากับรส กายกับโฟฏฐัพพะ มนะกับธรรมมารมณ์ ต่างก็เป็นธรรมคู่ หากรู้แจ้งว่าสภาวะแหล่านี้เป็นสุญญตา ในไม่เกิดโลภ โกรธ หลง ในธรรมารมณ์ เป็นต้น ชื่อว่าเป็นธรรมอันสงบ ระงับ ผู้ตั้งอยู่ใจภูมิดั่งกล่าว จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระอักษยมติโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ทานกับการอุทิศ มุ่งต่อพระสัพพัญญุตญาณ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่เนื้อแท้สภาวะแห่งทานก็คือ อันเดียวกับสภาวะอุทิศมุ่งต่อพระสรรเพชุดาญาณนั่นเอง แม้ศีล ขันติ วิริยะ ธฺยาน ปรัชญา กับการอุทิศมุ่งต่อพระสรรเพชุดาญาณก็เป็นธรรมคู่ แต่เนื้อแท้บารมีเหล่านี้ มีปรัชญาบารมี เป็นต้น เป็นสภาวะเดียวกับการอุทิศมุ่งต่อพระสรรเพชุดาญาณ ผู้ใดเข้าถึงเอกี-ภาวลักษณะได้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.๑ ”
พระคัมภีร์ปัญญาโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่๒ เนื้อแท้สุญญตวิโมกข์ก็คือนิมิตร นิมิตรนั้นก็คืออัปปณิหิตะ ผู้ที่เข้าถึงสุญญตะ อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ ย่อมปราศจากจิต มโนวิญญาณ ในวิโมกขธรรมอันหนึ่ง ย่อมเป็นได้ทั้ง ๓ วิโมกข์ ชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระสันติอินทรียโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้สภาวะแห่งพระพุทธะก็คือพระธรรม สภาวะแห่งธรรมะนั่นเองที่ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์ สภาพแห่งคุณพระไตรรัตน์เป็นอสังขตะมีคุณอนันต์ดุจอากาศ สิ่งทั้งปวงก็มีสภาพอย่างเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติตามคุณดังกล่าวได้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระจิตนิราวรณโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“กายกับกายนิโรธ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้กายกับกายนิโรธเป็นสภาพเดียวกัน ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าผู้ที่เห็นแจ้งในสภาวธรรมตามเป็นจริงแห่งกายนี้ ย่อมไม่เห็นว่ามีกาย หรือความดับไปของกาย กายกับกายนิโรธไม่เป็นสอง ไม่มีวิกัลปะ เขาผู้นั้นไม่บังเกิดความหวั่นหวาด จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระอนุตตรกุศลโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้สุจริตกรรมทั้ง ๓ ล้วนปราศจากลักษณะปรุงแต่งกระทำใด ๆ เลย เมื่อกายปราศจากลักษณะปรุงแต่ง นั่นก็คือมโนทั้ง ๓ ปราศจากลักษณะปรุงแต่ง เมื่อกรรมทั้ง ๓ ปราศจากลักษณะปรุงแต่ง สิ่งทั้งปวงก็ปราศจากลักษณะปรุงแต่ง ผู้ใดสามารถปฏิบัติตามปัญญาอันปราศจากลักษณะปรุงแต่งนี้ได้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระบุญเขตโพธิสัตว์ กล่าวว่า
__________________________
๑. ทางมหายานมีทศบารมีเหมือนกัน แต่จัดลำดับและข้อความบางข้อต่างกับมติในบาลี แต่ส่วนใหญ่นิยมบารมี ๖ โดยย่อจากบารมี ๖๐ บางมติก็ว่าทศบารมีนั้นแยกกระจายออกจากบารมี ๖ ให้พิสดาร.
๒. คำว่าคู่นี้อย่าพึงนึกว่าต้องจำนวนเลขคู่เสมอ เพราะความจริงหมายถึงสภาพที่คิดแบ่งจำแนกว่านั่นว่านี่ ด้วยอำนาจอุปาทาน ฉะนั้น ในที่นี้แม้จะมี ๓ ก็ไม่แปลก.
“ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้สังขารทั้ง ๓ เป็นสุญญตา เมื่อเป็นสุญญตาแล้ว ที่ไหนจักมีปัญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ผู้ที่ไม่ก่อสังขารทั้ง ๓ ให้มีขึ้น จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระอวตังสกโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความมีเรามีเขา ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเห็นแจ้งว่า เรานั้นไม่มีตามเป็นจริง ย่อมไม่เกิดความยึดถือเรา เมื่อไม่ยึดถือในธรรมคู่นี้ ก็ไม่เกิดอหังการและปรังการขึ้น จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระคุณครรภธิสัตว์ กล่าวว่า
“ผู้บรรลุกับธรรมที่บรรลุ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดรู้แจ้งว่า เนื้อแท้ปราศจากผู้บรรลุกับธรรมที่บรรลุ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมไม่มีสิ่งอันพึงยึดถือฤๅสิ่งอันพึงละใด ๆ เมื่อไม่มีการยึดและไม่มีการละ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระจันทรอุตตรโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความมืดกับความสว่าง ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้ไม่มีสภาพมือฤๅสภาพสว่าง อันเป็นอไทฺวตะ เช่นอะไร ? เช่นผู้ที่เข้าสัญญาเวทยิตนโรธสมาบัติ ย่อมไม่มีสภาพมือฤๅสภาพสว่าง ลักษณะแห่งธรรมทั้งปวงก็ดุจเดียวกัน ผู้ใดเข้าถึงโดยสมธรรมอันสม่ำเสมอดั่งกล่าว จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระรัตนมุทรหัตถโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“ความยินดีในพระนิพพาน ความนิพพิทาในสังสารวัฏ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดหากไม่เกิดความยินดีในพระนิพพาน ไม่เกิดความหน่ายในสังสารวัฏ ชื่อว่าพ้นจากธรรมคู่ ข้อนั้นเหตุเพราะดังฤๅ ? ก็เพราะว่าเมื่อมีการถูกผูกพันถึงมีการหลุดพ้น แต่โดยปรมัตถ์เนื้อแท้ไม่มีผู้ใดที่ถูกพันเลย ก็แล้วจักมีใครเล่าที่จะหลุดพ้นออกไป ฉะนั้น เมื่อไม่มีสภาพผูกพัน ก็ย่อมไม่มีสภาพหลุดพ้น ย่อมไม่มีความยินดี และไม่มีความนิพพิทา ทำได้เช่นนี้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระมณีเสขรโพธิสัตว์ กล่าวว่า
“สัมมามรรค มิจฉามรรค ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ที่ตั้งอยู่ในสัมมาภูมิย่อมไม่เกิดกัลปะว่า นี้เป็นสัมมามรรค นั่นเป็นมิจฉามรรค ผู้ใดพ้นจากธรรมคู่นี้ไปได้ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระอานันทสัตย์โพธิสัตว์ กล่าวว่า
“สัตย์กับอสัตย์ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริง ย่อมไม่เกิดทิฏฐิว่านี้มีสภาวะจริง จักป่วยกล่าวไปไยกับที่จักเกิดทิฐิว่า นี้เป็นสภาวะเท็จเล่า ข้อนั้นเพราะเหตุดัง ฤๅ ? ก็เพราะว่าอันความรู้แจ้งเห็นจริงนั้น ย่อมมิได้เห็นด้วยมังสจักษุ แต่เห็นได้ด้วยปัญญาจักษุเท่านั้น แลปัญญาจักษุนี้เล่า ย่อมไม่มีการเห็นหรือไม่เห็น๑ จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร.”
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่างก็ได้เชลงทัศนะของแต่ละท่านออกมาด้วยประการฉะนี้ และแล้วที่ประชุมนั้นจึงพากันปุจฉาพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ขึ้นว่า
“ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ก็พระโพธิสัตว์ผู้เข้าสู่อไทฺวตธรรมทวารวิถีนั้น เป็นประการฉันใดหนอ ?”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ วิสัชนาว่า
“ตามมติของกระผม ในธรรมทั้งหลาย เมื่อปราศจากคำพูด ปราศจากโวหาร ปราศจากการแสดง ปราศจากความคิดรู้คำนึง พ้นจากการปุจฉาวิสัชนา นั่นคือการเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวารวิถี.”
__________________________
๑. หมายความว่า สรรพธรรมเป็นสุญญตา จึงไม่มีการเห็นหรือไม่เห็นใด ๆ เพราะเห็นก็สุญญตา ไม่เห็นก็สุญญตา ปัญญาจักษุเห็นแจ้งในพระนิพพานซึ่งเป็นสุญญตาอีกเหมือนกัน
ลำดับนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ถามท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ดูก่อนท่านคฤหบดี พวกอาตมะทั้งปวงต่างก็ได้เฉลยพจน์ของตนแล้ว บัดนี้เป็นวาระของท่านจักพึงเฉลยบ้าง โดยประการฉันใดหนา พระโพธิสัตว์จึงเข้าสูอไทฺวตธรรมทวารวิถี.”
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้สงบนิ่งปราศจากด้วยวจนะใด ๆ.
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงเปล่งสาธุการขึ้นว่า
“สาธุ ! สาธุ ! เมื่อปราศจากอักขรโวหารวจนบัญญัติใด ๆ จึงนับว่าเป็นการเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวารวิถีโดยแท้จริงทีเดียว.”
เมื่อที่ประชุมแสหงอไทฺวตธรรมทวารกถานี้จบลง มีพระโพธิสัตว์ ๕๐๐ รูปในธรรมสภานั้น ต่างก็บรรลุเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร ได้สำเร็๗อนุตปาทธรรมกษนติ ด้วยประการฉะนี้แล.
ปริเฉทที่ ๙ อไทฺวตธรรมทวารวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๑๐ สุคันโธปจิตพุทธวรรค
ปริเฉทที่ ๑๐
สุคันโธปจิตพุทธวรรค
ลำดับนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้า ได้บังเกิดความปริวิตกขึ้นในใจว่าบัดนี้เป็นกาลใกล้เพลแล้ว ก็บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนี้ จักแสวงอาหารบริโภคได้ ณ ที่ใดหนอ ? ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้ทราบความปริวิตกของพระสารีบุตรแล้ว จึงกล่าวกับพระสารีบุตรว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร พระพุทธองค์ตรัสวิโมกขธรรม ๘ ซึ่งพระคุณรับปฏิบัติตาม ไฉนพระคุณจึงมาจำนงหวังต่อการขบฉันในการสดับพระสัทธรรมกระนี้เล่า ? หากพระคุณปรารถนาจักขบฉันอาหารไซร้ ก็ขอนิมนต์รอสักครู่หนึ่ง กระผมจักนำภัตอันไม่เคยมีมาก่อนถวายแด่พระคุณ.”
ครั้นแล้ว วิมลเกียรติอุบาสกจึงเข้าสู่ฌานสมาบัติ บันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร สำแดงโลกธาตุเบื้องบน ให้ชนทั้งหลาย ณ ที่นั่นเห็นกล่าวคือ ณ ทิสาภาคเบื้องบนผ่านพุทธเกษตรอันมีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในคงคานที ๔๒ นทีรวมกัน มีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า พหุสุคันธพุทธเกษตร ในโลกธาตุนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สุคันโธปจิตตถาคต ยังดำรงพระชนม์ประทับแสดงพระธรรมบรรยายอยู่ ณ บัดนี้ อันว่าสุคันธะแห่งพุทธเกษตรนั้น นับว่าเป็นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าบรรดากลิ่นหอมในพุทธเกษตรอื่นทั่วทศทิศ ยิ่งกว่ากลิ่นหอมทั้งในมนุษยโลกแลเทวโลกอีกด้วย อนึ่งในพหุสุคันธโลกธาตุนั้น แม้แต่นามว่าพระอรหันตสาวกก็ดี ฤๅนามพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี จักมีอยู่ก็หามิได้ คงมีแต่บริษัทแห่งพระมหาโพธิสัตว์อันบริสุทธิ์หมดจด แลพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น ย่อมตรัสพระสัทธรรมในหมู่พระโพธิสัตว์เหล่านี้ อนึ่ง สรรพสิ่ง ณ พุทธเกษตรนั้น แต่ละล้วนสำเร็จด้วยกลิ่นหอมอบอวลมณฑิราลัยสถานทิพย์ ก็ปรุงด้วยกลิ่นหอมระรวยรื่น แลพสุธาดลที่เดินจงกรมชังฆวิหารเล่าก็เป็นสุคันปฐพี อนึ่ง มีทิพยวโนทยานอันประดับด้วยสุคันธชาติหอมเฟื้องฟุ้ง แลทิพยสุทธิโภชน์ แห่งนิกรชนในพุทธเกษตรนั้น ก็มีสุคันธรสอันขจรขจายไปในโลกานุโลกไม่มีประมาณทั่วทศทิศกาลบัดนั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย กำลังประทับเสวยภัตตาหาร มีเหล่าเทพนิกรล้วนนามว่า สุคันธาลงกตเทพทุกองค์มีจิตปณิฌานมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นผู้กระทำการน้อมถวายภัตตาหารแด่พระตถาคตเจ้ากับทั้งพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ก็ทิพยประภาพเป็นไปดังกล่าวนี้ ย่อมปรากฏแก่บริษัททั้งปวงบรรดาที่อยู่ ณ คฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติโดยต่างได้ทัศนาเห็นกันทั่วทุกรูปนามแล.
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้กล่าวกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในคฤหาสน์ของท่านว่า
“ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย จักมีท่านผู้ใดฤๅไม่ ที่อาสาไปทูลขอทิพยสุทธาโภชน์จากพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ?”
แต่ด้วยอานุภาพของ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ บันดาลให้ทุกผู้ในที่ประชุมนั้น พากันนิ่งเงียบ วิมลเกียรติอุบาสกจึงกล่าวว่า
“น่าละอายยิ่งนัก ที่บริษัทหมู่ใหญ่เห็นปานนี้ ปราศจากผู้ที่สามารถอาจรับอาสาไปนำทิพยสุทธาโภชน์ ณ พุทธเกษตรนั้นมาได้.”
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงท้วงขึ้นว่า
“ดูก่อนคฤหบดี พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่า อย่าพึงดูแคลนบุคคลผู้เริ่มศึกษา ?”
ลำดับนั้นแล ท่านวิมลเกียรติมิได้ลุกขึ้นจากอาสนะ เฉพาะหน้าชนทั้งหลายนั้น ท่านได้นิรมิตรูปพระโพธิสัตว์ขึ้นองค์หนึ่ง ประกอบด้วยศุภลักษณ์ผุดผ่องอลังการ พร้อมด้วยเตชพละอันพิเศษอุดมปรากฏขึ้นมาในท่ามกลางธรรมสภานั้น และแล้วคฤหบดีผู้นั้นจึงสั่งพับพระโพธิสัตว์นิรมิตนั้นว่า
“ท่านจะไปสู่โลกธาตุ ณ ทิศาภาคเบื้องบน ผ่านโลกธาตุจำนวนเท่าเมล็ดทรายใน ๔๒ สายคงคานทีรวมกัน มีโลกธาตุหนึ่งนามว่า พหุสุคันธพุทธเกษตร มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุคันโธปจิตพุทธะ พระองค์พร้อมทั้งหมู่พระโพธิสัตว์ กำลังเสวยภัตตาหารอยู่ ณ บัดนี้ท่านจงไปเฝ้าพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น จงกราบทูลตามคำของเราว่า ข้าพระองค์วิมลเกียรติ ขอถวายอภิวาทน์แด่พระบาทบงกชของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า มีพระอิริยาบถเป็นไปด้วยความผาสุกอยู่ฤๅ ? ทรงมีพระโรคน้อย มีความถูกเบียดเบียนเพราะสังขารทุกข์น้อยอยู่ฤๅ ? ทรงมีพระอนามัยแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าดีฤๅ ? ข้าพระองค์มีความปรารถนามาทูลขอทิพยสุทธาโภชน์ อันเหลือจากเสวยของพระองค์ เพื่อประสงค์นำไปบำเพ็ญพุทธกรณียกิจยังสหโลชกธาตุกระทำให้บุคคลผู้ยินดีในหินธรรมได้บริโภคอาหารนี้แล้ว บังเกิดจิตปณิธานมุ่งต่อพระโพธิญาณ ยังมหาปฏิปทา (สู่พุทธภูมิ) ให้แพร่หลายไพบูลย์ อนึ่ง เพื่อยังพระเกียรติคุณแห่งพระสุคตเจ้าให้ระลือลือเลื่อง ณ สหโลกธาตุนั้นอีกโสดหนึ่งด้วย.”
ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์นิรมิต ณ ที่ประชุมนั้น ได้สำแดงปาฏิหาริย์เหาะลอยขึ้นไปสู่ทิศาภาคเบื้องบน เป็นที่แลเห็นกันตลอด เมื่อเหาะมาถึงพหุสุคันธพุทธเกษตร ได้ถวายอภิวาทน์พระบาทของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้าแล้ว ก็กราบทูลตามคำของท่านวิมลเกียรติว่า ฯลฯ.
ก็โดยสมัยนั้นแล บรรดาพระมหาบุรุษ ซึ่งสถิตอยู่ในพหุสุคันธโลกธาตุ ครั้นได้ยลเห็นพระโพธิสัตว์นิรมิตพระองค์นี้แล้ว ต่างก็พากันอัศจรรย์ จึงพากันกราบทูลถามพระสุคตเจ้าขึ้นว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ท่านผู้นิรทุกข์นี้มาแต่อาคตสถานหนใดหนอ อนึ่ง สหโลกธาตุนั้นเล่า อยู่ใกล้ไกลจากแดนนี้ไปอีกเท่าไร และด้วยเหตุดังฤๅจึงชี่อว่าบุคคลผู้ยินดีในหินธรรม พระพุทธเจ้าข้า ?”
พระทศพล พระองค์นั้น จึงตรัสว่า
“จากที่นี้ไป ณ ทิศาภาคเบื้องต่ำ ผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเมล็ดทรายในคงคานที ๔๒ นทีรวมกัน ยังมีโลกธาตุหนึ่งชื่อว่า สหโลกธาตุ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศากยมุนีพุทธะ ประทับแสดงพระสัทธรรมในท่ามกลางโลกซึ่งมีความเสื่อม ๕ ประการนั้น ทรงแสดงปฏิปทาให้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้ยินดีในหินธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งชื่อว่า วิมลเกียรติ เขาผู้นี้ดำรงอยู่ในอจินไตยวิมุตติธรรม เป็นผู้กำลังกล่าวธรรมบรรยายแก่ชนทั้งหลายอยู่ ณ กาลบัดนี้ เขาเป็นผู้นิรมิตรูปพระโพธิสัตว์ดังกล่าวมายังโลกธาตุแห่งนี้ เขาได้กล่าวสดุดีเราผู้ตถาคต อีกทั้งสรรเสริญความอุดมวิเศษแห่งโลกธาตุนี้ด้วย เพื่อยังกุศลของพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในธรรมสมาคมนั้นให้ทวีสมบูรณ์ขึ้น.”
เหล่าพระโพธิสัตว์ จึงพากันทูลถามอีกว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านวิมลเกียรติเป็นบุคคลชนิดใด จึงสามารถนิรมิตรูปเห็นปานนี้ กอปรทั้งมีกำลังแห่งคุณ ปราศจากความหวั่นหวาด มีอิทธิบาทถึงกระนี้ได้ พระพุทธเจ้าข้า ?”
พระสุคันโธปจิตพุทธเจ้า ตรัสว่า
“อันคุณธรรมแลอิทธานุภาพของอุบาสกนั้น ยิ่งใหญ่มโหฬารนักหนาแม้แต่ในโลกธาตุทั้งหลายทั่วทศทิศ เขาก็ได้ส่งรูปนิรมิตไปบำเพ็ญพุทธกรณียกิจต่าง ๆ เป็นอเนกประการ เพื่อหิตประโยชน์ของสรรพสัตว์.”
เมื่อ มีพระพุทธฎีกาดั่งนั้นแล้ว พระสุคันโธปจิตพุทธเจ้า จึงทรงประทานทิพยสุทธาโภชน์ ซึ่งบรรจุบาตรอยู่ในจำนวนมากอยู่เต็มให้แก่พระโพธิสัตว์นิรมิต (อาหารทั้งหมดก็รวมอยู่ในบาตรเพียงใบเดียว).
ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์จำนวน ๙ ล้านองค์ที่อยู่ ณ ที่นั้น ก็พากันเปล่งเสียงขึ้นว่า
“พวกข้าพระองค์ ปรารถนาจักไปสู่สหโลกธาตุ เพื่อถวายสักการบูชาพระศากยมุนีพุทธเจ้า แลเยี่ยมเยือนท่านวิมลเกียรติกับทั้งหมู่พระโพธิสัตว์ในแดนนั้น พระพุทธเจ้าข้า.”
พระสุคันโธปจิตพุทธเจ้า จึงมีพุทธบรรหารว่า
“จงไปเถิด ! แต่จงรวมกลิ่นหอมในสรีรกายของพวกเธออย่าให้ขจรเฟื่องฟุ้ง จักเป็นเหตุให้สรรพสัตว์ในสหโลกธาตุผู้ได้สูดสุคันธารมณ์นี้แล้ว บังเกิดฉันทราคะต่อกลิ่นนั้นได้ อนึ่ง พึงสละทิพยกายของเธอไว้ก่อน อย่าให้บุคคลผู้แสวงพระโพธิญาณในแดนนั้น ทัศนาเข้าแล้วเกิดการเปรียบเทียบกับกายของตนเอง แล้วแลบังเกิดความละอายในกายของตนได้๑ อนึ่ง เธอทั้งหลายอย่าได้เกิดอวรณสัญญาดูแคลนต่อพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า มีสรีระด้อยกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าโลกธาตุในทศทิศ ย่อมเปรียบด้วยความว่างเปล่า อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจักแสดงพระสัทธรรมโปรดปรานบรรดาผู้ยินดีต่อหินธรรม พระองค์ย่อมไม่สำแดงพุทธเกษตรของพระองค์ให้ให้บริสุทธิ์หมดจดวิเศษไปเสียเลยทีเดียว.”
เมื่อจบ พระดำรัสลง พระโพธิสัตว์นิรมิต ซึ่งถือเอาบาตรรทิพยสุทธาโภชน์พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ ๙ ล้านองค์ อาศัยพระพุทธาภินิหารกับทั้งอานุภาพของท่านวิมลเกียรติประกอบกัน ได้อันตรธานจากพหุสุคันธโลกธาตุ เพียงชั่วขณะเดียวก็มาปรากฏในคฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติคฤหบดี.”
ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้บันดาลให้เกิดสิงหาสนบัลลังก์ขึ้น ๙ ล้านที่ ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ แต่ละล้วนวิจิตรอลงกตดุจสิงหาสนบัลลังก์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ขจรมาใหม่ จึงได้ขึ้นประทับบนอาสนะเหล่านั้น ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์นิรมิตได้นำบาตรอันเต็มเปี่ยมด้วยสุคันธโภชน์เข้าไปมอบให้แก่ท่านคฤหบดี แต่กลิ่นแห่งทิพยาหารนั้นได้กำจายไปทั่วเขตนครเวสาลี ตลอดจนอบอวลครอบงำไปทั่วมหาตรีสหัสสโลกธาตุอีกด้วย บรรดาประชาชน มีสมณพราหมณ์ คฤหบดีทั้งหลายเป็นอาทิในกรุงเวสาลี ต่างได้สูดกลิ่นหอมอันเป็นทิพย์นี้แล้ว ทุก ๆ คนก็มีกายแลใจอันผมสุกสำราญยิ่ง ต่างสดุดีว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย.
ครั้งนั้น ประธานเจ้าลิจฉวี ผู้ชื่อว่าจันทรฉัตร พร้อมด้วยบริวาน ๘๔,๐๐๐ คน ได้ยุรยาตรมาสู่คฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติ แลเมื่อยลหมู่แห่งพระโพธิสัตว์จำนวนมากในคฤหาสน์นั้น พร้อมทั้งสิงหาสนบัลลังก์อันอลังการไพจิตรสูงตระหง่าน ก็บังเกิดความโสมนัสปรีดาพากันถวายภิวาทน์แต่พระโพธิสัตว์ กับทั้งพระอรหันตสาวกเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง อนึ่ง ปวงภุมมเทพเจ้า อากาสเทพเจ้ากับทั้งเทพเจ้าในกามาพจรสวรรค์ก็ดี เทพเจ้าในรูปาพจรพรหมโลกก็ดี เมื่อได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวแล้ว ต่างก็มาสู่คฤหาสน์ของท่านวิมลเกียรติทั่วหน้ากันทุกองค์แล.
ลำดับนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี จึงกล่าวกับบรรดาพระอรหันตสาวก มีพระสารีบุตรเป็นต้นว่า
“ขอนิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายขบฉันจังหันนี้ ซึ่งเป็นอมฤตวิสุทธิสุคันธโภชน์แห่งองค์พระสุคตเจ้า เป็นกระยาหารอันอบรมสำเร็จมาจากพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ แต่ขออาราธนาอย่าได้ขบฉันด้วยจิตที่มีภูมิขีดคั่นจำกัด๒ มิฉะนั้นแล้ว ก็มิอาจย่อยอาหารนี้ได้เลย.”
ครั้งนั้น มีพระสาวกบางรูปเกิดความปริวิตกว่า อาหารมีปริมาณเท่านี้ไหนเลยจักเพียงพอกับทุก ๆ คนในบริษัทหมู่ใหญ่เห็นปานนี้จักบริโภคโดนทั่วถึงกันได้ พระโพธิสัตว์นิรมิตทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า
“ขอท่านผู้เจริญ อย่าได้ทำคุณธรรมเพียงเล็กน้อย ปัญญาเพียงเล็กน้อยของภูมิพระสาวกมาหยั่ง
__________________________
๑. คือพระโพธิสัตว์ในพหุสุคันธโลก ล้วนเป็นทิพยกายผิดกับพระโพธิสัตว์ บุคคลในโลกของเรานี้เป็นแต่มนุษยกาย ซึ่งจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบ อันจะเป็นเหตุให้ผู้เพิ่งมุ่งพระโพธิญาณเกิดความขวยอายในภาวะของตน จึงตรัสให้มาโดยการสำแดงกายเป็นมนุษย์
๒. จิตที่ภูมิขีดคั่นจำกัด หมายถึงจิตที่ตั้งอยู่ในภูมิพระอรหันตสาวก ซึ่งในทัศนะของฝ่ายมหายานเห็นว่ายังแคบ ควรตั้งอยู่ในภูมิแห่งมหากรุณาบำเพ็ญโพธิจริยามุ่งพระพุทธภูมิดีกว่า.
ประมาณพระคุณาภินิหารบุญสัมภาราดิเรกอีกทั้งพระมหาปัญญาของพระตถาคตเจ้าเลย ถึงมาตรแม้นว่ากระแสชโลทกในห้วงมหาสมุทรทั้ง ๔ จักเหือดแห้งแล้วอันตรธานไป อันทิพยวิสุทธาหารนี้ก็บ่ได้กำจัดหมดสิ้น อนึ่ง ถ้งต่อให้สรรพนิกรชนบริโภคอาหารครุวนาดุจจอมไศลสุเมรุมาศ แลบริโภคอยู่ตลอดกัลป์หนึ่งก็ตาม กระนั้นก็ยังมิอาจยังปริมาณแห่งสุคันธโภชน์นี้ให้หมดสิ้นไปได้ ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่า ทิพยกระยาหารนี้เป็นอาหารส่วนเหลือของพระผู้บริบูรณ์ด้วยคุณมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ อันปราศจากขอบเขตอันเป็นอนันตะนั่นเอง.”
โดยประการฉะนี้ อาหารเพียงบาตรเดียว จึงสามารถยังมหาชนที่มาสันนิบาตอิ่มหนำสำราญโดยทั่วถ้วนอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง แต่ก็ยังม่อาหารปรากฏอยู่มิรู้หมด แลบรรดาพระโพธิสัตว์ก็ดี พระอรหันตสาวกก็ดี ทวยเทพก็ดี มนุษย์ทั้งหลายก็ดี ประดาที่ได้บริโภคสุคันธโภชน์นี้แล้วต่างก็มีสรีระอันผาสุกยิ่ง มีครุวนาดุจเดียวกับสรีระแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในสรรพโลกธาตุ อันประดับด้วยสุขารมณ์ฉะนั้น อนึ่ง ตามขุมขนแห่งชนผู้บริโภคภัตนั้น ก็มีกลิ่นขอมอบอวลออกมา ดุจกลิ่นหอมแห่งบรรดาพฤกษชาติลดาวัลย์ในพหุสุคันธโลกธาตุอันเดียวกัน.
ครั้งนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ได้ตั้งปุจฉาหมู่พระโพธิสัตว์แห่งพหุสุคันธเกษตรขึ้นว่า
“ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้มีพระนามว่าพระสุคันโธปจิตตถาคตเจ้านั้น พระองค์แสดงพระธรรมบรรยายอย่างไรหนอแล ?”
พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น จึงตอบเชลงพจน์ว่า
“อันพระสุคตเจ้าในโลกธาตุของเราทั้งหลายนั้น พระองค์มิได้อาศัยอักขรโวหารบัญญัติใด ๆ มาแสดงพระสัทธรรม แต่ทรงอาศัยสรรพสุคันธชาติเป็นปัจจัย ชักนำเทวาและมนุษย์ให้ตั้งอยู่ในสีลสมาจารวัตรนและพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ก็ประทับนั่งอยู่ภายใต้ร่มฉายาของสุคันธพฤกษ์ลดาวัลย์ ครั้นได้สูดสุรภีจากพฤกษชาติเหล่านั้น พลันก็บรรลุภูมิสรวคุณครรภ์สมาบัติ อันผสู้ที่เข้าสู่สมาบัติดังกล่าวนี้ ย่อมชื่อว่าเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติทั้งปวงแห่งพระโพธิสัตว์ทีเดียว.”
ครั้นแล้ว หมู่พระโพธิสัตว์แห่งพหุสุคันธโลกธาตุ จึงมีปฏิปุจฉาท่านวิมลเกียรติว่า
“ดูก่อนท่านคฤหบดี อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธผู้มีพระนามว่า พระศากยมุนีตถาคตเจ้าในโลกธาตุนี้ พระองค์แสดงพระธรรมบรรยายอย่างไรหนอแล ?”
ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี จึงวิสัชนาว่า “สรรพสัตว์ในโลกธาตุแห่งนี้ มีอัชฌาสัยหยาบกระด้างขัดแข็งยากแก่การอบรมสั่งนอนนัก เหตุดังนั้น พระสุคตเจ้าพระองค์นั้น (หมายถึงพระศากยมุนีพระพุทธเจ้า) จึงต้องตรัสแสดงพจนารถซึ่งกล้าแข็ง เพื่อฝึกข่มสัตว์เหล่านั้นให้ราบคาบ จัดเป็นยถาปราธสาสนธรรม อาทิเช่น ตรัสเรื่องนิรยคติ ดิรัจฉานคติ เปรตคติ กับทั้งคติอันยากระกำลำบาก ซึ่งเป็นที่เกิดแห่งบรรดาพาลชน ตรัสแสดงว่า นี้ชื่อว่ากายทุจริต นี้เป็นผลแห่งกายทุจริต นี้ชื่อว่าวจีทุจริต นี้เป็นผลแห่งวจีทุจริต นี้ชื่อว่ามโนทุจริตนี้เป็นผลแห่งมโนทุจริต นี้ชื่อว่าปาณาติบาต นี้เป็นผลแห่งปาณาติบาตนั้น นี้ชื่อว่าอทินนาทาน นี้เป็นผลแห่งอทินนาทานนั้น นี้ชื่อว่ากาเมสุมิจฉาจาร นี้เป็นผลแห่งกาเมสุมิจฉาจารนั้น นี้ชื่อว่ามุสาวาท นี้เป็นผลแห่งมุสาวาทนั้น นี้ชื่อว่าปิสุณาวาจา นี้เป็นผลแห่งปิสุณาวาจานั้น นี้ชื่อว่าผรุสวาจา นี้เป็นผลแห่งสัมผัปปลาปะ นี้เป็นผลแห่งสัมผัปปลาปะนั้น นี้ชื่อว่ามัจฉริยะ นี้เป็นผลแห่งมัจฉริยะนั้น นี้ชื่อว่าทุศีล นี้เป็นผลแห่งทุศีลนั้น นี้ชื่อว่าความกริ้วโกรธ นี้เป็นผลแห่งจิตวิกเขปะนั้น นี้ชื่อว่าความหลงนี้เป็นผลแห่งความหลงนั้น ฯลฯ นี้ชื่อว่าควรทำ นี้ชื่อว่าไม่ควรทำ นี้ชื่อว่าอันตราย นี้ชื่อว่าไม่อันตราย นี้ชื่อว่าอาบัติ นี้ชื่อว่าอนาบัติ นี้ชื่อว่าสุทธิ นี้ชื่อว่าอสุทธิ นี้ชื่อว่าอาสวะ นี้ชื่อว่าอนาสวะ นี้ชื่อว่ามิจฉาปฏิปทา นี้ชื่อว่าสัมมาปฏิปทา นี้ชื่อว่าสังขตธรรม นี้ชื่อว่าอสังขตธรรม นี้ชื่อว่าโลกิยะ นี่ชื่อว่านิรวาณะ ที่พระองค์แสดงดั่งนี้ ก็เนื่องมาแต่ว่าบุคคลผู้ยากแก่การฝึกสอนเหล่านั้นมีจิตอุปมาดุจวานรป่าหลุกหลิกไม่คงที่ ฉะนั้น จึงจำต้องมีอุบายโกศลวิธีนานัปการเพื่อข่มจิตนั้น จึงสามารถฝึกหัดให้สงบได้ ครุวนาดังนาเคนทรดุรงคชาติที่คึกคะนองดุร้ายมิยอมอยู่ในอำนาจก็จำต้องฝึกหัดบังคับด้วยวิธีลงขอ เฆี่ยนจนตีให้เจ็บปวดถึงกระดูก ภายหลังจึงเข็ดหลาบยอมเชื่องได้ฉันใด ในการที่จักฝึกตนขัดเหล่าสรรพสัตว์ที่มีอัชฌาสัยกล้าแข็งหยาบกระด้าง ก็จำต้องใช้พจนารถซึ่งเป็นยถาปราธสาสนะอบรมสั่งสอนให้สำเร็จตั้งอยู่ในกุศลธรรมฉันนั้น.”
บรรดาพระโพธิสัตว์แห่งพหุสุคันธโลกธาตุ ได้สดับถ้อยแถลงของอุบาสกวิมลเกียรติดั่งนี้แล้ว ต่างก็พากันเปล่งเสียงขึ้นว่า
“น่าอัศจรรย์นัก ในการที่พระศากยมุนีนราศภทศพลเจ้า ไม่ทรงสำแดงอิสรพละอันปราศจากของเขตของพระองค์ให้ปรากฏ กลับมาปรากฏพระองค์ในโลกธาตุอันยากเข็ญนี้ เพื่อโปรดสรรพสัตว์ อนึ่งแม้เหล่าเทพโพธิสัตว์ ณ แดนนี้ ก็ยอมตรากตรำเหนื่อยยาก ด้วยอาศัยมหากรุณาจิตอันไม่มีประมาณ มาถือสมภพ ณ พุทธเกษตรเหล่านี้ได้.”
ท่านวิมลเกียรติจึงกล่าวว่า
“ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พระโพธิสัตว์ในโลกธาตุนี้ ย่อมมีพระมหากรุณาจิตอันมั่นคงไม่หวั่นไหวในปวงสัตว์ ดุจวจีสรรเสริญของท่านทั้งหลายแม่นแล้ว อนึ่ง ขอท่านผู้นิรทุกข์ทั้งปวง พึงทราบไว้ด้วยว่า พระโพธิสัตว์ในโลกธาตุนี้ แม้จักบำเพ็ญหิตานุหิตจริยาต่อสัตว์ทั้งหลายเพียงชาติเดียวก็ยังประเสริฐกว่าพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญโพธิจริยาในโลกธาตุอื่น นับด้วยร้อยด้วยพันกัลป์ทีเดียวหนา ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? ก็เพราะว่าในสหโลกธาตุนี้ มีความดีอยู่ ๑๐ ประการ ซึ่งหามิได้ในโลกธาตุอื่นใด ก็ความดี ๑๐ ประการนั้นเป็นไฉน ? คือได้อาศัยทานสงเคราะห์ผู้ทุคตะเข็ญใจ ๑ ได้อาศัยศีลบารมีสงเคราะห์ผู้ทุศีล ๑ ได้อาศัยขันติบารมีสงเคราะห์ผู้มักกริ้ว ๑ ได้อาศัยวิริยะบารมีสงเคราะห์ผู้เกียจคร้านท้อแท้ ๑ ได้อาศัยฌานบารมีสงเคราะห์ผู้มีวิกเขปจิต ๑ ได้อาศัยปัญญาบารมีสงเคราะห์ผู้โง่หลง ๑ ได้แสดงธรรมิกอุบาย พาบุคคลให้ข้ามอัฏฐอันตรายธรรม ๑ ได้แสดงมหายานธรรมโปรดบุคคลผู้ยินดีในหินธรรม ๑ ได้อาศัยกุศลินทรีย์ประการต่าง ๆ โปรดบุคคลผู้ไร้กุศลธรรม ๑ ได้อาศัยสังคหวัตถุ ๔ สงเคราะห์สรรพสัตว์ให้สำเร็จ ๑ รวม ๑๐ ประการอย่างนี้แล.”
พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จึงถามต่อไปว่า
“ดูก่อนคฤหบดี พระโพธิสัตว์จักต้องสำเร็จในธรรมมีประการฉันใดหนา จึงจักดำเนินจริยาโปรดสัตว์ในสหโลกธาตุนี้ได้ โดยมิแปดเปื้อนด้วยมลทินโทษ แล้วแลได้อุบัติในวิสุทธิภูมิ.”
ท่านวิมลเกียรติเฉลยว่า
“ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พระโพธิสัตว์จักต้องสำเร็จให้ธรรมอันเป็นคุณสมบัติ ๘ ประการ จึงสามารถดำเนินจริยาโปรดสัตว์ในสหโลกธาตุนี้ได้โดยมิแปดเปื้อนด้วยมลทินโทษ ก็คุณสมบัติ ๘ ประการนั้นเป็นไฉน ?คือ
๑. พระโพธิสัตว์จักต้องบำเพ็ญตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อปวงสัตว์โดยไม่ปรารถนารับผลตอบแทนจากสัตว์ทั้งหลายใด ๆ.
๒. พระโพธิสัตว์สามารถเสวยสรรพทุกข์แทนสรรพสัตว์ได้โดยมิย่นย่อท้อถอย.
๓. พระโพธิสัตว์สร้างคุณความดีไว้มีประมาณเท่าไรก็สามารถอุทิศให้แก่สัตว์ทั้งหลายได้ ไม่หวงแหนตระหนี่ไว้.
๔. พระโพธิสัตว์ตั้งจิตอยู่ในสมธรรมดันสม่ำเสมอในปวงสัตว์ ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ถ่อมตนไว้ไม่ลำพองโดยปราศจากความข้องขัดใด ๆ.
๕. พระโพธิสัตว์เห็นพระโพธิสัตว์ทุก ๆ องค์ ปานประหนึ่งเห็นพระพุทธองค์ อนึ่ง พระสูตรใดที่ยังมิเคยได้สดับตรับฟัง ครั้นได้มีโอกาสสดับตรับฟังแล้ว ก็ไม่บังเกิดความคลางแคลงกังขาอย่างไรในพระสูตรนั้น ๆ๑
๖. พระโพธิสัตว์ไม่หันปฤษฎางค์ให้กับธรรมของพระอรหันตสาวก๒ แต่สมัครสมานเข้ากันได้กับธาตุดังกล่าวนั้น
๗. พระโพธิสัตว์ ไม่เกิดความริษยาในลาภสักการะอันบังเกิดแก่ผู้อื่น แลไม่เกิดความหยิ่งทะนงในลาภสักการะอันบังเกิดแก่ตนเองสามารถควบคุมจิตของตนไว้ได้.
๘. พระโพธิสัตว์จักต้องหมั่นพิจารณาโทษของตนอยู่เป็นนิตย์ไม่เที่ยวเพ่งโทษ โพนทะนาโทษของผู้อื่น ตั้งจิตมั่นคงเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมี.
นี้แล ชื่อว่าธรรมอันเป็นคุณสมบัติ ๘ ประการของพระโพธิสัตว์
เมื่อ ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้กล่าวธรรมีกถาในท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้จบลง ก็มีเทพยดาจำนวนร้อยเป็นอเนกจำนวนพันเป็นอเนก ตั้งจิตมั่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แลมีพระโพธิสัตว์หนึ่งหมื่นองค์ ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติแล.
ปริเฉทที่ ๑๐ สุคันโธปจิตพุทธวรรค จบ.
______________________
๑. คุณสมบัติข้อนี้เท่ากับตอบปัญหาของฝ่ายหินยาน ที่มีความสงสัยในพระสูตรคัมภีร์ต่าง ๆ ของมหายานว่า ไม่มีในพระปิฎกฉบับภาษาบาลี จะเป็นของแต่งขึ้นภายหลังกระมัง ถ้าเราเป็นพระโพธิสัตว์ไซร้ ก็ต้องไม่บังเกิดความสงสัยขึ้น เพราะฝ่ายมหายานถือว่าพระสูตรจะเป็นของใหม่ของเก่าก็ตาม แต่ให้ถือเอาธรรมในคัมภีร์เป็นสำคัญ.
๒. ฝ่ายมหายานถือว่า ธรรมฝ่ายหินยานนั้น เป็นบุพพภาคที่จักพาบุคคลให้เข้าถึงฝ่ายมหายาน
ปริเฉทที่ ๑๑ โพธิสัตว์จริยาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๑
โพธิสัตว์จริยาวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับแสดงพระสัทธรรม ณ อัมพปาลีวันอันเป็นรมณียสถาน บัดดลถนาสณฑ์นั้นก็บังเกิดมหัสจรรย์แปรเปลี่ยนเป็นภูมิภาพอันแล้วด้วยวิจิตราลงกตพิศาลลักษณ์เลิศเลอพสุธามณฑลอีกทั้งชนทั้งมวล ล้วนรุ่งเรืองด้วยกนกวรรณ ครั้งนั้นแล พระอานนทเถรเจ้าจึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ด้วยเหตุปัจจัยใดหนอ จึงมีศุภนิมิตเป็นปานนี้ปรากฏ สรรพสิ่งในไพรพนาสณฑ์นี้ จึงได้พิบูลย์อลงกรณ์ไพจิตรล้ำในฉับพลัน อีกทั้งสรรพชนเหล่านี้เล่า แต่ละล้วนวิโลวรรณโอภาสพระพุทธเจ้าข้า.” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ศุภนิมิตที่สำแดงอยู่ ณ กาลบัดนี้ มีเหตุปัจจัยเนื่องมาจากวิมลเกียรติอุบาสกแลมัญชุศรีโพธิสัตว์พร้อมด้วยมหาชนซึ่งยกย่องนิยมเธอทั้ง ๒ แวดวงห้อมล้อม ต่างผูกจิตหมายจักมา ณ อุทยานนี้แล.”
ลำดับนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีก็กล่าวกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า “ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เราทั้งหลายจงไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน พร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ผู้มาจากพหุสุคันธโลกธาตุเหล่านี้ จักได้มีโอกาสกระทำสักการบูชาในพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น.”
พระมัญชุศรี ตอบว่า “สาธุ จงไปด้วยกันเถอะ บัดนี้เป็นการสมควรดีทีเดียว.”
ครั้นแล้ว วิมลเกียรติคฤหบดีจึงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร นำมหาชนทั้งนั้น พร้อมด้วยสิงหาสนบัลลังก์ทั้งหมด ประดิษฐานบนฝ่าหัตถ์ขวาของท่านเอง แล้วไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า ครั้นถึงที่ประทับแล้วจึงว่างมหาชนกับสิงหาสนบัลลังก์ลงยังแผ่นดิน เข้าไปอภิวาทน์พระบาทบงกชของพระสุคตเจ้าด้วยเศียรเกล้า กระทำประทักษิณ ๗ รอบ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างก็ละจากอาสนะของตนเข้าไปอภิวาทน์ พระบาทบงกชของพระสุคตเจ้าด้วยเศียรเกล้า กระทำประทักษิณ ๗ รอบ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่งดุจกัน แม้บรรดาพระอรหันตสาวก ท้าวมหาพรหม ท้าวโกสีย์ ท้าวจตุโลกบาล ทวยเทพนิกรเป็นต้น นอกนี้ต่างก็ละจากอาสนะกระทำอภิวาทน์พระบาทบงกชของพระสุคตเจ้าด้วยเศียรเกล้า กระทำประทักษิณ ๗ รอบ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสัมโมทนียกถากับมหาชนผู้มาเฝ้าพอสมควร แล้วจึงมีพุทธานุญาตให้ชนทั้งหลายนั่งยังอาสนบัลลังก์ของตน ๆ แล้วมีพุทธดำรัสกับพระสารีบุตรว่า
“ดูก่อนสารีบุตร เธอเห็นอภินิหารอันอิสระ ซึ่งบันดาลโดยพระโพธิสัตว์ ผุ้มหาบุรุษรัตน์ฤๅหนอแล.”
พระสารีบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ได้ประจักษ์แล้ว พระพุทธเจ้าข้า.”
“เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน ?” ทรงตรัสถาม
พระสารีบุตร “ข้าแต่พระองค์ผู้ควรบูชา ข้าพระองค์เห็นว่าสิ่งทั้งนี้เป็นอจินไตย สุดที่ความคิดอ่านคาดประมาณของข้าพระองค์จักหยั่งทราบไปถึงได้ พระพุทธเจ้าข้า.”
ครั้งนั้น พระอานนท์จึงทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ได้กลิ่นสุคนธ์อันหอมหวนซึ่งมิเคยได้กลิ่นชนิดนี้มาก่อน กลิ่นสุคนธ์นั้นเป็นกลิ่นอะไรหนอแล ?”
ตรัสว่า “เป็นสุคันธชาติซึ่งเฟื่องฟุ้งออกมาจากขุมโลมาชาติ ณ สรีรกายแห่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้.”
พระสารีบุตรจึงพูดกับพระอานนท์ว่า “อาวุโสอานนท์ ขุมโลมาชาติของผมก็พลอยมีสุคันธชาตินี้เหมือนกัน.”
พระอานนท์ถามว่า “ข้าแต่ท่านสารีบุตรผู้เจริญ อันสุคนธชาติดังกล่าวนี้มาแต่หนใดเล่า ?”
พระสารีบุตร “ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี เป็นผู้ไปนำภัตตาหารซึ่งเหลือจากพุทธบริโภค ณ พหุสุคันธโลกธาตุ มาให้พวกผมขบฉันที่คฤหาสน์ของท่าน ผู้ใดได้บริโภคทิพยกระยาหารนี้ ก็จักมีกลิ่นสุรภีออกจากขุมโลมาชาติทุกรูปนาม.”
พระอานนท์จึงหันมาถามท่านวิมลเกียรติว่า “ดูก่อนท่านคฤหบดีสุคันธชาตินี้ ยังจักตั้งมั่นอยู่โดยกาลเพียงใดหนอ ?”
ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “จักตั้งอยู่ตราบถึงอาหารนี้ย่อยไปหมดแล้ว.”
ถาม “ก็ทิพยโภชน์ดั่งกล่าวนี้จักย่อยไปโดยกาลเพียงใดเล่า ?”
ตอบ “พลังโอชะแห่งทิพยาหารนี้ ตั้งอยู่ถึง ๗ ทิวาวาร ภายหลังจึงย่อยสลายไป อนึ่ง พระคุณเจ้าอานนท์ หากพระสาวกรูปใดผู้ยังมิได้เข้าถึงภูมิทัศนมรรค เมื่อบริโภคกระยาหารนี้ โอชฃะแห่งอาหารนั้นจักยังดำรงอยู่ตราบถึงสมัยที่พระสาวกรูปนั้นบรรลุทัศนมรรคภูมิ จึงย่อยละลายไป อนึ่ง พระสาวกรูปใดสำเร็จทัศนมรรคภูมิแล้ว เมื่อได้รับบริโภคกระยาหารทิพย์นี้โอชะแห่งอาหารนั้นจำดำรงอยู่ตราบถึงสมัยที่พระสาวกรูปนั้นได้บรรลุเจโตวิมุตติ อาหารนั้นจึงย่อยละลายไป ก็หรือว่าในบุคคลผู้ยังมิได้เกิดจิตปณิธานต่อมหายานธรรม หากได้บริโภคกระยาหารทิพย์นี้ โอชะแห่งอาหารนั้นก็จักยังดำรงอยู่ตราบถึงสมัยที่บุคคลนั้นได้บังเกิดจิตปณิธานในพุทธภูมิ อาหารนั้นจึงย่อยละลายไป อีกประการหนึ่งบุคคลใดที่มีจิตปณิธานในพุทธภูมิอยู่แล้ว แลได้มาบริโภคทิพยโภชน์นี้ โอชะแห่งอาหารนั้นก็จักยังดำรงอยู่ตราบถึงสมัยที่บุคคลนั้นได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ อาหารนั้นจึงย่อยละลายไป อนึ่ง บุคคลที่ได้สำเร็จอนุตปาทธรรมกานติแล้วแลมาบริโภคสุคันธโภชน์นี้ โอชะแห่งอาหารนั้นก็จักดำรงอยู่ตราบถึงสมัยที่บุคคลนั้นได้บรรลุเอกชาติปฏิพัทธภูมินั่นแล อาหารดังกล่าวจึงย่อยละลายไป พระคุณเจ้าอานนท์ผู้เจริญ อุปมาด้วยทิพยโอสถ ซึ่งมีนามว่าอุตตรรส บุคคลใดได้บริโภคเข้าไปแล้ว อานุภาพแห่งโอสถนั้นจักดำรงอยู่ตราบเท่าที่พิษโรคยังเหลือมีอยู่ในสรีระ เมื่อพิษสรรพโรคดับสูญสิ้นแล้ว โอสถดังกล่าวจึงย่อยละลายไปฉันใด อันว่าทิพยสุคันธาหารนี้ ก็มีอานุภาพระงับดับพิษอันเกิดแต่สรรพกิเลส เมื่อกิเลสดับสูญสิ้นแล้ว ทิพยโภชน์นี้ก็ย่อมละลายไป มีอุปไมยฉันนั้นแล.”
พระอานนท์ จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “อัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อันทิพยสุคันธาหารนี้ สามารถทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจได้อย่างดียิ่ง.”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อย่างนั้น ๆ อานนท์ ยังมีพุทธเกษตรลางแห่งได้อาศัยรังสิโยภาสแห่งพระพุทธเจ้า ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจลางแห่งอาศัยหมู่พระโพธิสัตว์ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ ลางแห่งอาศัยบุรุษนิรมิตซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนิรมิตขึ้น ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณีรยกิจก็มี ลางแห่งอาศัยต้นพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยต้นพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยกาสาวพัสตร์นิสีทนะสันถัตเครื่องอุปโภคของพระพุทธเจ้า ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยพุทธภัตตาหาร ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรรียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยวโนทยานทิพยมณฑิราลัยสถาน ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ แลอนพยัญชนะ ๘๐ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาสัยพระพุทธสรีรกาย ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี ลางแห่งอาศัยอากาศ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจก็มี สุดแต่ว่าอธิมุตติของสรรพสัตว์จะสมควรแก่เหตุปัจจัยเครื่องชักจูงอย่างไรอันจักเป็นเหตุให้เข้าถึงภูมิแห่งสีลสมาจาร ก็ย่อมปรากฏโดยสภาวธรรมนั้น ๆ ลางแห่งอาศัยความฝัน มายา เงา เสียง ภาพในกระจก ดวงจันทร์ ในท้องน้ำ พยับแดด อุปไมยธรรมต่าง ๆ โดยอเนกหลายหลากอย่างนี้ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ ลางแห่งอาศัยสำเนียงจำนรรจาโวหารอัขรบัญญัติ ทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ ฤๅอาศัยความสงัดเงียบปราศจากศัพท์สำเนียงใด ๆ ไม่มีการพูด ไม่มีการแสดง ไม่มีวิญญาณ ทางอายตนะ ไม่มีการกระทำ ไม่มีการปรุงแต่งทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ ด้วยประการฉะนี้แล อานนท์ สรรพพุทธอิริยาบถทั้งหลาย อีกทั้งการกระทำของพระพุทธะทั้งปวง ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่จักไม่เป็นการทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ.”
“ดูก่อนอานนท์ แม้มารทั้ง ๔ ประเภท แลกิเลส ๘๔,๐๐๐ ประการ อันยังปวงสัตว์ให้เหนื่อยล้าซบเซา แต่สำหรับกับพระพุทธะทั้งหลายไซร้ กิเลสเหล่านี้กลับเป็นเครื่องมืออาศัยทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกรณียกิจ นี้แลชื่อว่าการเข้าสู่ประตูธรรมแห่งสรรพพุทธะทั้งปวง อันพระโพธิสัตว์ใดเข้าสู่ประตูธณรมดั่งกล่าวมานี้ มาตรจักได้ทัศนาเห็นความวิสุทธิไพบูลย์แห่งพุทธเกษตร ก็ย่อมไม่ก่อเกิดความปรีดา ไม่บังเกิดความละโมบ ไม่มีความรู้สึกอติมานะทระนงภาคภูมิ ฤๅโดยประการตรงกันข้าม หากจักได้ทัศนาเห็นพุทธเกษตรที่เศร้าหมองไม่ผ่องแผ้วสะอาดหมดจด ก็ย่อมไม่เกิดความโทมนัส ไม่บังเกิดความขัดข้องแห่งจิต ไม่มีความรู้สึกเอือมระอาหน่ายแหนง แต่พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมตั้งจิตอันสะอาดผ่องใส ประกอบด้วยความปสาทะ เคารพนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงโดยเสมอกัน มีความรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมมีพระคุณเสมอกัน แต่ด้วยกุศโลบายในการโปรดสัตว์ จึงทรงสำแดงพุทธเกษตรให้แตกต่างออกไปเท่านั้น.”
“อานนท์! เธอเห็นจำนวนปริมาณแห่งพุทธเกษตรทั้งหลายได้อยู่แต่จักเห็นจำนวนปริมาณของอากาศความว่างเปล่าย่อมไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เธอเห็นจำนวนปริมาณแห่งพระสรีรรูปของพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ แต่จักเห็ฯจำนวนปริมาณของพระคุณมีพระปัญญาคุณ อันปราศจากขอบเขตของพระพุทธเจ้าทั้งปวงย่อมมิได้ ดูก่อนอานนท์ อันพระพุทธกายทั้งหลายอานุภาพ พุทธวงศ์ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ พละอภยะ อเวณิกธรรม มหาเมตตา มหากรุณา วัตตสมาจาร กับทั้งพระชนม์ชีพ การแสดงพระสัทธรรมวิสุทธิอลังการพุทธเกษตร ความสมบูรณ์ในธรรมแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าย่อมมีฐานะเสมอเท่ากันทั้งหมด เพราะเหตุนั้นแลจึ่งได้พระนามว่า สัมมาสัมพุทธะ พระนามว่า ตถาคตะ รพนามว่า พุทธะอานนท์! หากเราจักอธิบายความหมายแห่งพระนามทั้ง ๓ นี้โดยพิสดารไซร้ แม้อายุของเธอจักยืนอยู่เป็นกัลป์ ๆ ก็ยังไม่สามารถจักสดับฟังได้จบสิ้นถึงมาตรว่าสรรพสัตว์ในมหาตรีสหัสสโลกธาตุ มีคุณธรรมเช่นเดียวกับเธอคือเป็นเอตทัคคะทางพหูสูต มีสติจำทรงอย่างเยี่ยมยอด แลสัตว์ทั้งหลายนี้ล้วนมีอายุยืนเป็นกัลป์ ๆ ก็ยังมิสามารถจักสดับฟังได้จบสิ้น ด้วยประการฉะนี้แล อานนท์! พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึ่งไม่มีประมาณไม่มีขอบเขต พระปัญญาปฏิภาณของพระพุทธเจ้าจึ่งเป็นอจินไตย.”
พระอานนทเถรเจ้ากราบทูลพระบรมศาสดาว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นับตั้งแต่กาลบัดนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์มิอาจสำคัญตนเองว่า เป็นบุคคลผู้พหูสูตอีกแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.”
พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสว่า “สำแดงอานนท์ เธออย่าได้มีจิตท้อถอยอย่างไรเกิดขึ้นเลย อันตัวเธอนั้นเป็นเอตทัคคะพหูสูตบุคคลในหมู่แห่งพระสาวกทั้งหลาย มิได้หมายถึงในหมู่แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายด้วยเลย เธอจงระงับมนสิการนั้นเสียเถิด ดูก่อนอานนท์ บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมไม่คิดประมาณหยั่งภูมิแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเลย อันห้วงมหาสมุทรที่ล้ำลึกทั้งปวง ยังเป็นฐานะที่จักประมาณหยั่งเอาได้ แต่ภูมิของพระโพธิสัตว์มีฌานสมาบัติ ปรัชญา ธารณี ปฏิภาณ พร้อมด้วยคุณสมบัติหลากหลาย ย่อมไม่เป็นฐานะที่จักประมาณหยั่งเอาได้เลย อานนท์! พวกเธอทั้งหลายเป็นผู้สละคืนซึ่งโพธิสัตว์จริยาเสียหนอ โดยประการดังนี้วิมลเกียรติอุบาสกจึงได้สำแดงอานุภาพแห่งคุณาภินิหารให้เป็นไปปรากฏอยู่ซึ่งพระอรหันตสาวกทั้งหลาย พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้าทั้งหลายในกัลป์นับด้วยร้อยเป็นอเนก นับด้วยพันเป็นอเนก ต่างพยายามสำแดงอภินิหารอย่างถึงขีดสุด ก็ยังมิอาจกระทำสำแดงให้เป็นนั้นได้.”
ครั้งนั้นแล บรรดาพระโพธิสัตว์ที่มาจากพหุสุคันธพุทธเกษตรต่างพากันกระทำอัญชลีศิราภิวาทพระบาทพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลขึ้นว่า
“ข้าแต่พระสุคต กษณะแรกเมื่อข้าพระองค์ทั้ง ๒ ได้มาทัศนาโลกธาตุนี้ ก็บังเกิดความรู้สึกนึกหมิ่นแคลนในภูมิสถานดังกล่าว แต่ครั้นมาบัดนี้สิ ข้าพระองค์ทั้งหลายต่างสำนึกว่า จินตนาการเห็นปานนั้นเป็นความผิดไม่บังควรอย่างยิ่ง จึงได้สละมนสิการนั้นเสีย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมมีอุปายโกศลอันเป็นอจินไตย แต่เพื่อโปรดสรรพสัตว์และเพื่อให้เหมาะกับอธิมุตติอัฐฌาสัยของส่ำสัตว์นั้นจึงทรงสำแดงให้สำเร็จเป็นพุทธเกษตร ผิดแปลกแตกต่างกันออกไป โอ้ข้าแต่พระองค์ผู้ควรบูชา ขอพระองค์ทรงพระกรุณาประสาธน์ธรรมานุศาสน์แม้เพียงส่วนน้อยให้แก่ข้าพระองค์ทั้งปวง เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายนิวัตคืนสู่โลกาตุที่อาศัยแล้ว จักได้เป็นพุทธานุสสติอนุสรณ์รำพึงถึงพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า.”
พระผู้มีพระภาค จึงมีพุทธบรรหารว่า
“มีวิมุตติธรรมทวารบท ว่าด้วยอันตธรรมแลอนันตธรรม อันพวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกศึกษาไว้ ก็อันตธรรมนั้นเป็นไฉนเล่า ? บรรดาสังขตธรรมทั้งปวง ชื่อว่าอันตธรรม อนันตธรรมนั้นเป็นฉันใด ? กล่าวคืออสังขตธรรมนั่นเอง ชื่อว่าอนันตธรรม.”
“บุคคลผู้เป็นโพธิสัตว์ ย่อมไม่สละสังขตธรรมจนหมดสิ้น ในขณะเดียวกันก็ย่อมไม่ยึดถือตั้งอยู่ในอสังขตธรรม คำใดซึ่งตถาคตกล่าวว่าไม่สละสังขตธรรมจนหมดสิ้นนั้นเป็นไฉน ? อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ย่อมมีจิตไม่ห่างจากมหาเมตตา ไม่เว้นจากมหากรุณา มีจิตปณิธานมุ่งต่อสรรเพชุดาญาณอย่างลึกซึ้งเสถียรภาพ บ่ห่อนจักได้หลงลืมคืนคลาย อนึ่งพระโพธิสัตว์ย่อมมุ่งแสดงธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ โดยบังเกิดความเหนื่อยหน่ายเอือมระอาใด ๆ ย่อมปฏิบัติตนในสังคหวัตถุธรรมเป็นนิรันดร์ย่อมอภิบาลรักษาพระสัทธรรมให้โรจนาภาสโดยจิรายุกาล มิเสียดายแม้กระทั่งชีวิตของตน อนึ่งเล่า ย่อมมีพิริยะอาจหาญบำเพ็ญสร้างสมสรรพกุศลินทรีย์โดยมิท้อแท้ ตั้งหฤทัยธำรงมั่นในอุดมคติไม่วิจละคลอนแคลนใด ๆ พระโพธิสัตว์นั้นย่อมอุทิศมุ่งต่อพระโพธิญาณด้วยปัญญาโกศล หมั่นศึกษาเรียนเล่าในพระสัทธรรมโดยมิเกียจคร้าน แสดงธรรมแก่ผู้อื่นโดยปราศจากธรรมมัจฉริยะ แลย่อมเพียรถวายสักการบูชาในพระพุทธเจ้าทั้งหลายมิเชือนแช เมื่อพระโพธิสัตว์ใดปฏิบัติได้ พระโพธิสัตว์นั้นย่อมไม่บังเกิดความเกรงขามต่อชาติแลมรณะ ไม่บังเกิดโสมนัสฤๅโทมนัสในยามเสวยอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ และไม่บังเกิดความดูแคลนต่อบุคคลผู้ยังมิได้ศึกษา แต่จักให้ความเคารพ ประหนึ่งว่าเขาเป็นพระพุทธพระองค์หนึ่งฉะนั้น สัตว์เหล่าใดตกเป็นกิเลสทาส พระโพธิสัตว์ย่อมชักนำให้สัตว์เหล่านั้นได้วิโมกข์สถิตอยู่ในสัมมาทัศนะ ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ห่างไกลจากโลกิยสุข พระโพธิสัตว์ย่อมไม่สำคัญกว่านั่นเป็นจรรยาอันวิเศษ* พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ถือประโยชน์สุขแห่งตนเป็นสำคัญ แต่จักมีมุทิตาจิตในความสุขของสรรพสัตว์เป็นสำคัญ.
อนึ่งเล่า พระโพธิสัตว์นั้นย่อมมนสิการว่า การเข้าสู่ฌานสมาบัติมีอุปมาฉันเดียวกันกับเข้าสู่ภูมินรก
________________________
* หมายความว่าผู้ที่สละโลกิยสุขเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะต้องทำหน้าที่ช่วยสัตว์ต่อไป ไม่ยอมมุ่งความพ้นทุกข์ส่วนตน.
แลความว่ายเวียนเกิดตายในสงสารสาครมีความสุขครุวนาเช่นการคมนาการสู่อุทยานอันแสนจะรื่นรมย์๑ ทัศนา
เห็นบุคคลผู้มาขอศึกษาธรรม ประหนึ่งเขาผู้นั้นมีฐานะเป็นครูบาที่ดีของเรา๒ พระโพธิสัตว์ย่อมสามารถสละสรรพสมบัติ ด้วยตั้งอยู่ในสรรเพชุดาญาณสัญญาโดยสมบูรณ์มิบกพร่อง ทัศนาเห็นบุคคลผู้ทุศีลอลัชชี พระโพธิสัตว์ย่อมเกิดความมุ่งมาด ที่จักอนุเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลนั้นให้กลับตนตั้งอยู่ในกุศลภูมิ.
อนึ่ง พระโพธิสัตว์ย่อมสำคัญสรรพบารมีธรรมเป็นประดุจชนกชนนีแลย่อมสำคัญว่า โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายเป็นประดุจบริวารแวดล้อม มุ่งบำเพ็ญกุศลินทรีย์โดยไม่มีเขตสุด เอาสรรพไพจิตราลังการแห่งปวงวิสุทธิโลกธาตุ มาปรุงสำเร็จเป็นพุทธเกษตรแห่งตน บำเพ็ญอนันตบริจาคธรรม ยังศุภลักษณะให้ไพบูลย์ พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมกำจัดอกุศลธรรมทั้งหลาย ยังกายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ให้สะอาดหมดจด มีความแกล้วกล้าอาจหาญย่นย่อต่อการเวียนเกิดเวียนตายในกัลป์ อันเป็นปอระไมยเพื่อโปรดสรรพสัตว์ อนึ่ง ครั้นได้สดับสรรพคุณาลังการอันประมาณมิได้ของพระพุทธเจ้า มนัสแห่งพระโพธิสัตว์ก็ไม่บังเกิดความเหนื่อยหน่ายท้อถอยใด ๆ พระโพธิสัตว์นั้นย่อมเอาปัญญาญาณเป็นพระขรรค์เข้าพิฆาตเข่นฆ่าโจร กล่าวคือกิเลส มีตนวิโมกข์หลุดรอดจากความผูกมัด กล่าวคืออุปาทานในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ประกอบกิจโดยการประคับประคองสรรพสัตว์ให้ถึงวิมุตติธรรมโดยอันตกาล พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญมหาพิริยธรรมบำราบข่มขี่โยธีมารให้พ่ายแพ้ ย่อมมุ่งต่อปัญญาญาณในพระนิพพาน อันเป็นอนารัมมณธรรม พระโพธิสัตว์นั้นย่อมมีอัปปิจฉตากอปรทั้งสันตุฏฐิธรรมเป็นปกติจริยา แต่ก็มิได้ปลดปลงประดาโลกิยธรรมเสียเลยทีเดียว พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ทำลายสมาจารวัตร แต่ก็สามารถอนุโลมตามโลกจรรยาได้ มิขัดข้องกีดขวางกันเลย ย่อมอาจสามารถใช้อภิญญาโกศล ชักจูงสั่งสอนนิกรสัตว์ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ย่อมได้บรรลุสมฤติธารณธรรม ได้สดับฟังเรื่องราวใด ๆ ย่อมอาจจดจำมิเลือนรางเครื่องคล้อยไป.
อนึ่ง พระโพธิสัตว์ย่อมมีอินทรีย์ปโรปริยัตติญาณ สามารถตัดวิมุตติกังขาแห่งปวงสัตว์ได้ ย่อมเป็นผู้ยินดีในการเทศนาอบรมสั่งสอนจำแนกธรรมได้ โดยปราศจากอุปสรรคข้องขัดแต่อย่างใด บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ อันยังผลให้เสวยเทวสมบัติ บำเพ็ญอัปปมัญญาภาวนา ๔ เบิกวิถีพรหมโลก อนึ่ง เพราะพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญกุศลจรรยา ด้วยการอาราธนาพระพุทธองค์แสดงพระสัทธรรม และได้มีจิตสัมปสาทนียอนุโมทนาในการแสดงพระสัทธรรมนั้น จึงได้วิบากคือ สุรเสียงสำเนียงของพระพุทธะไว้กับตน แลอาความที่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของพระโพธิสัตว์นั้นสุจริต จึ่งได้วิบากคืออิริยาบถอากัปจรรยาของพระพุทธะไว้กับตน แลเนื่องด้วยพระโพธิสัตว์ได้ศึกษาบำเพ็ญในกุศลธรรมดันสุขุมคัมภีรภาพล้ำลึก จริยาวัตรแห่งพระโพธิสัตว์นั้นจึงยิ่งวิเศษอุดมเลิศ ย่อมอาศัยมหายานศาสน์เป็นหลักปฏิบัติสำเร็จเป็นโพธิสัตว์สงฆ์จิตตั้งอยู่ในอัปปมาทธรรม มีกุศลธรรมทั้งหลายไม่เสื่อมหาย ผู้ใดปฏิบัติตามวิถีธรรมดังพรรณนามานี้ ย่อมชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ไม่สละสังเขตธรรมจนหมดสิ้น.
อีกประการหนึ่ง ชื่อว่าพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ยึดถือตั้งอยู่ในอสังขตธรรม อสังขตธรรมนั้นเป็นไฉน ? กล่าวคือพระโพธิสัตว์บำเพ็ญสุญญตวิโมกขธรรม ย่อมเป็นผู้ไม่ถือเอาสุญญตาเป็นธรรมอันตนจักบรรลุบำเพ็ญอนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ก็ย่อมไม่สำคัญถือเอาอนิมิตตธรรมอัปณิหิธรรมนั้นเป็นธรรมอันตนจัก
บรรลุ ฤๅเมื่อบำเพ็ญอนุตปาทธรรมก็ย่อมไม่สำคัญถือเอาอนุตปาทธรรม เป็นธรรมอันตนจักบรรลุ พระโพธิสัตว์มีอนิจจานุปัสสนา แต่ก็ไม่บังเกิดความเบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญสร้างสมกุศลสมภาร พระโพธิสัตว์ย่อมพิจารณาโลก
__________________________
๑. หมายความว่า พระโพธิสัตว์ไม่ติดในฌานสุข เห็นฌานสุขดุจทุกข์ในนรก และย่อมไม่กลัวต่อชาติภพ เพราะหากกลัวชาติภพเสียแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำหน้าที่ช่วยสัตว์ได้ พระโพธิสัตว์จึงยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์.
๒. เพราะเป็นเหตุให้พระโพธิสัตว์มีโอกาสบำเพ็ญบารมีสั่งสอนธรรมแก่เขา จึงเท่ากับเขาเป็นครูทำให้พระโพธิสัตว์ได้เพิ่มพูนบารมี.
โดยทุกขานุปัสสนาแต่ก็ไม่บังเกิดความอางขนางหน่ายแหนงใจชาติมรณะ พระโพธิสัตว์ย่อมมีอนัตตานุปัสสนา แต่ก็ทำหน้าที่โปรดสัตว์โดยไม่เอือมระอาเหน็ดเหนื่อย พระโพธิสัตว์ย่อมมีนิโรธานุปัสสนา แต่ก็ไม่ยังตนให้ถึงความดับเองโดยอนันตกาล พระโพธิสัตว์ย่อมถึงพร้อมด้วยวิราคานุปัสสนา แต่ตั้งกายใจของตนบำเพ็ญกุศลธรรม พระโพธิสัตว์ย่อมพิจารณาความปราศจากที่ไป๑ แต่ก็มีกุศลธรรมเป็นที่ไป พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญอนุตปาทานุปัสสนา แต่ก็อาศัยอุปปาทธรรมเพื่อเกื้อกูลสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญนาสวานุปัสสนา แต่ก็ไม่สละถอนปวงอาสวธรรมเสียจนสิ้น ฯลฯ พระโพธิสัตว์เมื่อยังมีปณิธานไม่เต็มเปี่ยมสำเร็จสมไพบูลย์ ย่อมไม่ละเลยต่อการสร้างสมบารมีธรรมเข้าไว้ มีอาทิ เช่น ฌาน สมาธิ ปรัชญา เป็นต้น พระโพธิสัตว์ใดบำเพ็ญธรรมปฏิบัติดั่งพรรณนามานี้ ย่อมชื่อว่าเป็นสัตว์ผู้ไม่ยึดถือตั้งอยู่ในอสังขตธรรม แลเพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์มีบารมีธรรมอันไพบูลย์พร้อมพรั่ง ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่ยึดถือตั้งอยู่ในสังขตธรรม อนึ่งเพราะเหตุที่โพธิสัตว์มีปรัชญาสมบูรณ์ ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่สละสังขตธรรมเสียจนหมดสิ้น แลเพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ใจภูมิธรรมแห่งมหาเมตตามหากรุณา ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่ยึดถือตั้งอยู่ในอสังขตธรรม อนึ่งเพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์ยังปณิธานให้เต็มรอบ ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่สละสังขตธรรมเสียจนหมดสิ้น และเพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์พึงสร้างสมสุขในสรรพสัตว์ ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่ยึดถือในอสังขตธรรม อนึ่งเพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์จักต้องจ่ายแจกธรรมโอสถให้แก่ประชาสัตว์ ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่สละสังขตธรรมเสียจนหมดสิ้น เพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์จักต้องรู้ชัดในพยาธิภัยแห่งปวงสัตว์ ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่ยึดถือตั้งอยู่ในอสังขตธรรม อนึ่ง เพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์จักมีภารกิจดับพยาธิทุกข์ (หมายถึงกิเลส) ของสรรพชีพนั้น ดั่งนั้นจึงเป็นผู้ไม่สละสังขตธรรมเสียจนหมดสิ้น ดูก่อนปวงสัมมาจารีชน พระโพธิสัตว์ใดหากได้บำเพ็ญธรรมานุธรรมปฏิบัติดั่งตถาคตพรรณนามา เป็นผู้ไม่สละสังขตธรรมจนหมดสิ้น ในขณะเดียวกันก็ย่อมไม่ยึดถือตั้งอยู่ในสังขตธรรม พระโพธิสัตว์นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงวิมุตติธรรมทวารบท ว่าด้วยอันตธรรม อนันตธรรม อันพวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกศึกษาไว้ด้วยประการฉะนี้.”
ครั้งนั้นแล บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้สดับพระธรรมบรรยายนี้แล้ว ต่างก็บังเกิดความโสมนัสปรีดายิ่งนัก ต่างก็ได้นำบุปผาชาตินานาพรรณอันมีสุคันธชาติหอมหวนผิดแผกแตกต่างกัน เกลี่ยโปรยกระจายไปทั่วมหาตรีสหัสสโลกธาตุ เป็นพุทธครุสักการบูชา กับทั้งเป็นการชูชาพระธรรมเทศนานั้น แลพระโพธิสัตว์บริษัทอื่น ๆ อีกด้วยวย ครั้นแล้วเหล่าพระโพธิสัตว์ผู้มาแต่พหุสุคันธพุทธเกษตรนั้น ก็ได้อภิวาทน์พระบาทบงกชของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า กล่าวสดุดีในพระธรรมเทศนาว่าเป็นอัศจรรย์ ต่างกราบทูลขึ้นว่า
“อัศจรรย์ยิ่งนักพระพุทธเจ้าข้า ในการที่พระผู้มีพระภาคศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงสำแดงกุศโลบายจริยาในสหโลกธาตุได้เห็นปานเช่นนี้.”
เมื่อกล่าวจบแล้ว ก็อันตรธานหายไปในบัดดล พากันกลับคืนสู่พหุสุคันธพุทธเกษตรด้วยประมารฉะนี้.
ปริเฉทที่ ๑๑ โพธิสัตว์จริยาวรรค จบ.
__________________________
๑. คือสภาวธรรม ย่อมปราศจากที่มาที่ไป หรือการมาการไปโดยปรมัตถ์.
ปริเฉทที่ ๑๒ อักโษภยะพุทธเกษตรทรรศนะวรรค
ปริเฉทที่ ๑๒
อักโษภยะพุทธเกษตรทรรศนะวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำรัสถามวิมลเกียรติอุบาสกว่า
“ดูก่อนคฤหบดี ความปรารถนาของเธอในอันจักยลตถาคตนั้น เธอจักทัศนาได้ด้วยธรรมประการฉันใดหนอ ?”
ท่านวิมลเกียรติทูลว่า
“ข้าแต่พระสุคต อุปมาการพิจารญาดูตัตตวลักษณะในสรีรกายของตนเองด้วยประการฉันใด ข้าพระองค์ย่อมพิจารณาดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีอุปไมยด้วยประการฉันนั้น กล่าวคือ ข้าพระองค์มาพิจารณาเห็นแจ้งว่าอันสภาวธรรมแห่งพระตถาคตเจ้านั้น ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤๅการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่า ก็ปราศจากการตั้งอยู่๑ ข้าพระองค์ย่อมไม่พิจารณาเห็นพระองค์ในรูป หรือในรูปตถตาหรือในรูปสภาวะ ย่อมไม่พิจารณาเห็นพระองค์แม้ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่พิจารณาเห็นพระองค์ในวิญญาณตถตา หรือในวิญญาณสภาวะด้วยพระกายของพระองค์ (หมายพึงพระธรรมกาย) มิได้อุบัติก่อกำเนิดขึ้นด้วยอาศัยจตุรมหาภูตทั้ง ๔ แต่เป็นสภาวะอันปราศจากขอบเขตที่ตั้งครุวนาดุจเดียวกับสุญญากาศ พ้นจากความพอกพูนปรากฏแห่งสฬายตนะ มีนักขฺวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มิได้อยู่ในภพ ๓ พ้นแล้วจากมลทิน เครื่องเศร้าหมองแห่งภพนั้น อนุโลมตามวิโมกขธรรม ๓ พรั่งพร้อมบริบูรณ์ด้วยเตวิชชธรรม เสมอด้วยอวิชชาทีเดียว๒ ไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นอเนกภาพ ไม่ใช่สวลักษณะ ฤๅปรลักษณะจะว่าปราศจากนิมิตลักษณะเสียเลยก็มิใช่ แต่ก็ไม่มีอุปาทิลักษณะ ไม่ใช่ฝั่งนี้ฤๅฝั่งโน้น แลไม่ติดในท่ามกลาง แต่บำเพ็ญพุทธกิจโปรดสรรพสัตว์...ฯลฯ ไม่มีความเกิดขึ้น ไม่มีความดับไป ไม่มีภัย ไม่มีโศก ไม่มีความยินดี ไม่มีความเบื่อหน่าย มิได้มีแล้ว มิได้จักมีแลมิได้มีอยู่ ไม่สามารถจักนำพจนโวหาร ถ้ายคำสำนวนใด มากล่าวแสดงจำแนกได้เลยนั่นแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระวรกายของพระตถาคตเจ้ามีสภาพดังข้าพระองค์กราบทูลมานี้ ฉะนั้น จึงควรเพ่งทัศนาดูพระองค์ด้วยอาการดั่งกล่าวมา ผู้ใดทัศนาพระองค์ด้วยธรรมเช่นที่พรรณนานี้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าเป็นสัมมาทัศนา ผู้ใดทัศนาพระตถาคตเจ้าโดยธรรมประการอื่นไซร้ ชื่อว่าเป็นมิจฉาทัศนาโดยแท้เทียว.”
ลำดับนั้น พระสารีบุตรเถรเจ้าถามขึ้นว่า
“ดูก่อนคฤหบดี อันตัวของท่านนี้ จุติมาจากนิวาสโลกธาตุแดนใด จึงมาปฏิสนธิ ณ โลกธาตุด้วยแดนนี้ ?”
ท่านวิมลเกียรติปฏิปุจฉาว่า “ข้าแต่พระเจ้าสารรีบุตร ก็ธรรมอันพระคุณบรรลุสำเร็จนั้น จักมีจุติปฏิสนธิอีกฤๅไม่เล่า ?”
ตอบ “หามิได้ ธรรมที่อาตมภาพบรรลุ ย่อมพ้นจากจุติปฏิสนธิ.”
ถาม “ก็ถ้าหากว่า ธรรมทั้งหลายปราศจากอาการจุติปฏิสนธิ เหตุดังฤๅพระคุณจึงมาถามว่า “อันตัวของท่านนี้จุติมาจากนิวาสโลกธาตุแดนใดจึงมาปฏิสนธิ ณ โลกธาตุด้าวแดนนี้” พระคุณจักมีความคิดเป็นไฉนเปรียบเหมือนมายากรนิรมิตรูปชายหญิงมายาขึ้น ก็รูปมายานั้นจักมีจุติปฏิสนธิกระนั้นหรือ ?”
__________________________
๑. ทางฝ่ายมหายาน ย่อมไม่ถือว่าพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าอันเป็นตัตตวลักษณะย่อมไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นอกาล.
๒. สภาวะของอวิชชานั้น โดยปรมัตถ์เป็นสุญญตา ปราศจากแก่นสาร ดังนั้นผู้รู้แจ้งดังนี้จึงไม่เกิดความเห็นแตกต่างระหว่างวิชชากับอวิชชา เพราะต่างก็เป็นสุญญตา นี้เป็นไปโดยปรมัตถนัย.
ตอบ “หามิได้ จักหาจุติปฏิสนธิในรูปมายานั้นแต่ไหนได้.* ”
ถาม “พระคุณมิได้สดับพระพุทธพจน์บ้างหรอกหรือ ที่ว่าธรรมทั้งปวงนั้นมีอุปมาดุจมายา ?”
ตอบ “อาตมภาพได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นั้น.”
ถาม “ก็เมื่อธรรมทั้งปวงมีสภาพดุจมายาไซร้ ไฉนพระคุณจึงมาตั้งปัญหาถามกระผมว่า “อันตัวของท่านนี้จุติมาจากนิวาสโลกธาตุแดนใด จึงมาปฏิสนธิ ณ โลกธาตุด้าวแดนนี้ “ พระคุณเจ้าสารีบุตรผู้เจริญ อัน “จุติ” นั้นเป็นธรรมมายาหลอกลวง จัดเป็นพินาศธรรมอัน “ปฏิสนธิ” เล่า ก็เป็นธรรมมายามาหลอกลวง จัดเป็นสันตติธรรม พระโพธิสัตว์ถึงมาตรยังต้องจุติแต่ก็มิได้ยังกุศลธรรมให้จุติไปด้วย แลมาตรยังต้องปฎิสนธิ ก็มิได้ยังอกุศลธรรมให้บังเกิดเจริญขึ้นมาตาม.”
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค มีพุทธบรรหารกับพระสารีบุตรว่า
“ดูก่อนสารีบุตร ยังมีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า อภิรติโลกธาตุ พระพุทธเจ้า ณ โลกธาตุนามว่า อักโษภยะพุทธะ แลวิมลเกียรติอุบาสกนี้จุติจากพุทธเกษตรนั้นมาปฏิสนธิ ณ โลกธาตุนี้.”
พระสารีบุตรทูลว่า
“ข้าแต่พระสุคต อัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว พระเจ้าข้า ดันบุคคลเห็นปานนี้ สามารถสละวิสุทธิภูมิมายินดีในอันอาเกียรณ์ด้วยโทษภัยหลากหลายกระนี้ได้.”
ท่านวิมลเกียรติจึงว่า
“พระคุณเจ้ามีความคิดเห็นเป็นไฉน ? ในกาลใด ดวงทิวากรประภาสจำรัสฉาย จักสมานสามัคคีร่วมด้วยอันธการได้อยู่แลหรือ ?”
พระสารีบุตร “หามิได้ คฤหบดี ! สมัยใดที่แสงภาณุมาศปรากฏสรรพอันธการย่อมปลาตดับสูญไป.”
ถาม “พระคุณรู้ฤๅไม่ว่า ไฉนดวงสหัสสรังสีจึงโคจรสู่ชมพูทวีป ?”
ตอบ “เหตุก็เพื่อประเทืองโรจนาภาสกำจัดอันธการนั่นเอง.”
ท่านวิมลเกียรติ “พระโพธิสัตว์ก็ดุจเดียวกัน ถึงมาตรแม้ว่าอุบัติมาในพุทธเกษตรที่มิใช่วิสุทธิภูมิ แต่ก็โดยประสงค์โปรดสรรพสัตว์เป็นที่ตั้งพระโพธิสัตว์นั้น ย่อมไม่สมานสามัคคีกลมกลืนกับโมหันธตมธรรม แต่บำเพ็ญหน้าที่ดับสรรพกิเลสของปวงสัตว์เท่านั้น.”
สมัยนั้น บรรดาประชุมชนบริษัท ณ ธรรมสภานั้น ต่างก็มีความปรารถนา จักได้ทัศนาพระพุทธอักโษภยะตถาคตเจ้าแห่งอภิรติโลกธาตุพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์บริษัท พระสาวกบริษัทในพุทธเกษตรนั้นแล้วอย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคทรงทราบความประสงค์ของประชุมชนทั้งนั้นแล้ว มีพุทธดำรัสกับวิมลเกียรติคฤหบดีว่า
“ดูก่อนคฤหบดี เพื่อประชุมชนบริษัทนี้ เธอจงสำแดงพุทธอักโษภยะแห่งอภิรติพุทธเกษตร พร้อมทั้งปวงพระโพธิสัตว์แลพระสาวกให้ปรากฏตามความปรารถนาจักยลของประชุมชนนี้เทอญ.”
ลำดับนั้นแล ท่านวิมลเกียรติคฤหบดีมีความตรึกในใจว่า
“เราจักไม่ลุกขึ้นจากอาสนะ แต่จักถือเอาซึ่งอภิรติพุทธเกษตรพร้อมด้วยภูเขาจักรวาล สาครนทีธาร มหาสมุทร ขุนเขาพระสุเมรุกับทั้งดวงสุริยา จันทรา ดาคาเคราะห์ทั้งหลาย พร้อมกับวิมานแมนแห่งพรหมเทพาอารักษ์น้อยใหญ่ นาคอสูรมณเฑียรเป็นต้น กับทั้งปวงพระโพธิสัตว์ พระสาวกบริษัท ตจามนิคมชนบท ราชธานี ชายหญิงใหญ่น้อย ไม่จนกระทั่งถึงองค์สมเด็จพระอักโษภยะพุทธเจ้า พระโพธิรุกข์สรรพโกมุทชาติ อีกทั้งบรรดา
__________________________
* รูปมายาเป็นสิ่งไม่มีสภาวะจริง อุปมาดังเปลวแดดในทะเลทรายทำให้สำคัญผิดว่ามีลำธารน้ำ อันที่จริงลำธารน้ำไม่เคยมีเลย ณ ที่ตรงนั้น ฉะนั้น จะกล่าวลำธารนั้นเกิดขึ้นหรือดับไปย่อมไม่ได้ มีแต่ความสำคัญผิดของเราผู้เห็นเปลวแดดเป็นสายน้ำไป.
ผู้ที่อาจบำเพ็ญพุทธกรณียกิจในทศทิศ ฯลฯ โดยใช้หัตถ์เบื้องขวาถือเอามา.”
เมื่อดำริเช่นนั้นแล้ว วิมลเกียรติคฤหบดีจึงเข้าฌานสมาบัติบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร ใช้หัตถ์เบื้องขวาถือเอาซึ่งอภิรติโลกธาตุมาวางประดิษฐาน ณ สหโลกธาตุนี้.
ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์และสาวก อีกทั้งทวยเทพที่มีฤทธิ์ ณ อภิรติพุทธเกษตรนั้น ต่างก็ร้องทูลถามพระสุคตเจ้าพระองค์นั้นว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้ใดหนอที่เป็นผู้ถือเอาข้าพระองค์ให้เคลื่อนจากที่ไป ขอพระบารมีของพระองค์ได้คุ้มครองปกป้องข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า.”
พระอักโษภยะพุทธเจ้าตรัสว่า “มิใช่การกระทำของพระตถาคตหรอก แต่เป็นอานุภาพแห่งฤทธิ์ของวิมลเกียรติอุบาสกกระทำให้เป็นไปแล.”
ส่วนบุคคลอื่น ๆ ในโลกธาตุนั้น ที่ยังมิได้สำเร็จฤทธิ์ ต่างจักสำนึกรู้ว่าตนไปสู่แห่งหนใดก็หาไม่ อนึ่ง ถ้ามาตรแม้ว่าอภิรติพุทธเกษตรจักเข้ามาประดิษฐานอยู่ในสหโลกธาตุนี้ สหโลกธาตุก็ไม่เกิดอาการเต็มฤๅหย่อนพร่องลงไป ทั้งเกิดความคับแคบคั่งคับใด ๆ ทั้งสิ้น คงมีสถานภาพเป็นปกติดุจเดิมแล.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคศากยมุนีพุทธเจ้า จึงมีพุทธดำรัสกับบริษัททั้งปวงว่า
“เธอทั้งหลาย พึงทอดทัศนาชมพระอักโษภยะพุทธเจ้าแห่งอภิรติโลกธาตุเถิด อันว่าโลกธาตุนั้นมีอลังการประดับแล้ว พระโพธิสัตว์และพระสาวกก็ล้วนมีปฏิปทาอันวิสุทธิสะอาดสมบูรณ์.”
บริษัททั้งหลายกราบทูลขึ้นว่า “อย่างนั้นข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ได้ทอดทัศนาแล้วแล.”
พระบรมศาสดาตรัสว่า “หากมีพระโพธิสัตว์องค์ใด (ในบริษัทนี้) ปรารถนาจักได้สำเร็จซึ่งวิสุทธิพุทธเกษตรเห็นปานนั้น ก็ถึงศึกษาปฏิบัติตามรอยจริยาแห่งพระอักโษภยะตถาคตเจ้าเทอญ.”
ในระหว่างกาลที่ อภิรติพุทธเกษตรมาสำแดงปรากฏอยู่นั้น ปรากฏว่าชนจำนวน ๑๔ นหุอสงไขย ในสหโลกธาตุนี้ ต่างก้ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่างตั้งปณิธานขอให้ได้อุบัติ ณ อภิรติพุทธเกษตรนั้น แลพระผู้มีภาคศากยมุนีพุทธเจ้าประทานลัทธาเทสพยากรณ์ว่า
“เธอทั้งปวงจักได้อุบัติ ณ โลกธาตุนั้น.”
ครั้งนั้น เมื่อความเป็นไปปรากฏแห่งอภิรติพุทธเกษตรได้สำเร็จ หิตานุหิตประโยชน์แก่สหโลกธาตุนี้เสร็จสิ้น ก็คืนสู่สถานที่มาเดิมเป็นที่ประจักษ์แก่สรรพชน ณ ที่นั้นแล.
พระบรมศาสดาจึงตรัสกับพระสารีบุตรว่า “พระสารีบุตร ! เธอได้ยลเห็นอภิรติโลกธาตุ พร้อมด้วยพระอักโษภยะพุทธเจ้าแล้วฤๅหนอ ?”
ทูลว่า “อย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ขอให้สรรพสัตว์บรรลุวิสุทธิภูมิดุจเดียวกับพระอักโษภยะพุทธเจ้า ได้สำเร็จอิทธาภิสังขารอำนาจฤทธิ์ ดุจเดียวกับวิมลเกียรติอุบาสก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้รับประโยชน์อย่างดียิ่ง ที่ได้มีโอกาสเห็นแลใกล้ชิดบูชาบุคคล (คือท่านวิมลเกียรติ) อย่างนี้ อนึ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ดี หรือที่เป็นอยู่ภายหลังพระผู้มีพระภาคดับขันธปรินิพพานแล้วก็ดี หากได้สดับฟังซึ่งประสูตินี้ ก็จักได้เสวยประโยชน์อานิสงส์อันยิ่ง จักป่วยกล่าวไปไยกับผู้ที่มีโอกาสสดับฟังแล้ว ยังมีความเข้าใจเชื่อมั่นนำไปประพฤติปฏิบัติ ฤๅสวนสาธยายเล่าบ่น ฤๅอรรถาธิบายให้ผู้อื่นทราบ แลปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมนั้นเล่า ผู้ใดในมือถือไว้ซึ่งคัมภีร์สูตรนี้ไซร้ ผู้นั้นชื่อว่าได้ทรงไว้ซึ่งธรรมรัตครรภ์ ผู้ใดสวดสาธยายเล่าบ่นอรรถาธิบายให้ผู้อื่นฟังซึ่งพระสูตรนี้ ผู้นั้นเป็นอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายคุ้มครองอภิบาลแล้ว ใครก็ตามที่ได้สักการะบุคคลดังกล่าวมานั้น พึงรู้ได้ว่า เขาได้สักการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดุจกัน ผู้ใดคัดลอกจารึกซึ่งพระสูตรนี้ พึงรู้ได้ว่าใจเคหสถานของเขานั้น มีพระตถาคตเจ้าเสด็จประทับอยู่ ผู้ใดสดับพระสูตรนี้แล้ว แลบังเกิดสัมปสาทนียจิตานุโมทนา ผู้นั้นชื่อว่ามุ่งไปสู่สรรเพชุดาญาณ ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นเข้าใจอรรถรสในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดเพียงคาถา ๔ บาท แลสามารถแสดงแก่ผู้อื่น พึงรู้ได้ว่าผู้นั้นได้รับลัทธยาเทสพยากรณ์ ที่จักสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล.”
ปริเฉทที่ ๑๒ อักโษภยะพุทธเกษตรทรรศนะวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติบูชาวรรค
ปริเฉทที่ ๑๓
ธรรมปฏิบัติบูชาวรรค
ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวศักรินทรเทวราช ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ในท่ามกลางบริษัทว่า
“ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์มาตรว่าจักได้เคยสดับฟังพระสูตรนับด้วยร้อยเป็นอเนก นับด้วยพันเป็น
อเนก จากพระผู้มีพระภาค แลจากพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ก็จริง แต่ก็บ่ห่อนจักได้เคยสดับพระสูตรอันเป็นอจินไตย มีอิสรมหิทธิฤทธานุภาพ เป็นตัตตวธรรมที่มิผันเปลี่ยนสุขุมคัมภีรภาพเห็นปานดั่งพระสูตรนี้เลย พระพุทธเจ้าข้า อาศัยความเข้าใจในธรรมอรรถ ซึ่งพระองค์ทรงแสดงแล้ว หากมีสรรพสัตว์ใด ๆ สดับซึ่งพระสูตรนี้ มีศรัทธาแลความเข้าใจน้อมรับธำรงไว้ฤๅได้สวดสาธยาย เป็นต้น บุคคลผู้นั้นย่อมจักบรรลุซึ่งธรรมในระสูตรนั้น โดยมิต้องวิมติกังขาใด ๆ ปฏิบัติตามได้เล่า บุคคลผู้เช่นนั้น ชื่อว่าได้ปิดทวารแห่งทุคติภูมิ เปิดทวารแห่งสรรพกุศลธรรมออก แลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตามอภิบาลระลึกถึงเขา บุคคลดังกล่าวย่อมอาจหาญในอันกำราบประดาพาหิรลัทธิ กำจัดข่มขี่มารภัยให้พ่ายแพ้ ชื่อว่าได้บำเพ็ญอบรมพระโพธิญาณสถิตด้วยดีในภูมิตรัสรู้ เจริญตามรอยพระบาทยุคลของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากมีบุคคลใดน้อมรับธำรงไว้ซึ่งพระสูตรนี้ก็ดี เจริญสวดสาธยายพระสูตรนี้ก็ดี หรือว่าปฏิบัติตามธรรมคติในพระสูตรนี้ก็ดี ข้าพระองค์พร้อมด้วยเทพบริวารจักไปสักการบูชา แลรับใช้อุปัฏฐากบุคคลนั้น ๆ ในสถานคามนิคมชนบทราชธานี ฤๅบรรพตวนสณฑ์ ป่าชัฏใด หากมีพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ไซร้ ข้า พระองค์พร้อมด้วยเทพบริวารก็จักไปรักษาดูแลยังสถานที่นั้น ชนเหล่าใดที่ยังไม่มีจิตเลื่อมใส สักยังความเลื่อมใสของเขาเหล่านั้นให้บังเกิด ชนเหล่าใดซึ่งมีความเลื่อมใสแล้ว ก็จักตามอภิบาลคุ้มครองชนเหล่านั้น.”
พระบรมศาสดาตรัสว่า
“สาธุ ! สาธุ ! เทวราช ! เป็นตามดังที่พระองค์ตรัส ตถาคตขออนุโมทนาในสัมปสาทนียจิตของ
พระองค์ เป็นความจริงทีเดียวที่พระสูตรนี้เป็นสูตรประกาศแสดงถึงพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นอจินไตยแห่งพระพุทธะทั้งหลาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะเหตุฉะนั้นแล เทวราช ! หากมีกุลบุตรกุลธิดาใด น้อมรับธำรงไว้ ซึ่งพระสูตรนี้ หรือสวดสาธยายก็ดี บูชาสักการะพระสูตรนี้ก็ดี ชื่อว่าย่อมเป็นการบูชาสักการะในพระพุทธะทั้งปวง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ฯลฯ ดูก่อนเทวราช ณ เบื้องอดีตภาคอสงไขยกัลป์ป์อันประมาณมิได้ ในสมัยพุทธุปบาทกาลแห่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนาม ไภษัชยราชาตถาคต พระองค์เป็นผู้ควรบูชา เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แลยังผู้อื่นให้รู้ตามได้ สมบูรณ์ด้วยวิชชาแลจรณะเป็นพระสุคต รู้แจ้งโลก เป็นบุรุษผู้เยี่ยมยอดไม่มีผู้ใดเปรียบ ทรงแสดงธรรมฝึกสอนสัตว์ดุจนายสารถีฝึกดุรงคชาติ พระองค์เป็นศาสดาแห่งเทพย
ดาแลมนุษย์ เป็นผู้ตื่นแล้วจากกิเลสนิทรา เป็นภควา โลกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีนามว่า มหาวยูหอลังการ กัลป์นั้นมีชื่อว่า อลังการกัลป์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๒๐ จุลกัลป์ ทรงมีพระสาวกสงฆ์ ๓๖ โกฏินหุตพระโพธิสัตว์สงฆ์อีก ๑๒ โกฏิ ดูก่อนเทวราช ครั้งนั้น มีพระเจ้าจักรพรรดิราชทรงพระนามว่า รัตนฉัตร ทรงบริบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการมีอานุภาพแผ่ไปในแผ่นดินทั้งจาตุรทิศ พระเจ้าจักรพรรดิราชนั้นมีพระโอรส ๑,๐๐๐องค์ ล้วนสมบูรณ์ศิริลักษณ์สง่างามแลมีวีรยภาพแกล้วกล้า อาจสามารถข่มขี่ศัตรูได้ สมัยนั้นพระเจ้ารัตนฉัตรพร้อมด้วยบริวารได้ถวายสักการบูชา ในพระไภษัชยราชาตถาคตเจ้า บริจาคสรรพเครื่องอุปโภคน้อมถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นระยะเวลาตลอดกาลนับได้ ๕ กัลป์ เมื่อด้น ๕ กัลป์แล้ว พระเจ้ารัตนฉัตรจึงมีพระดำรัสแก่พระราช
โอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ว่า“แม้พวกสู ก็พึงบำเพ็ญจริยาเช่นเดียวกับตูได้บำเพ็ญเถิด สูทั้งปวงพึงยังจิตศรัทธาปสาทะทันลึกซึ้งให้ตั้งมั่น ถวายสักการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเทอญ.”
“ลำดับนั้น พระโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ รับพระราชบรรหารของพระราชบิดาแล้ว ต่างก็ถวาย
สักการบูชาพระโภษัชยราชาตถาคตตลอดกาล ๕ กัลป์ เมื่อบำเพ็ญทานบริจาคเสร็จสิ้นแล้ว จึงมีพระราชโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า จันทรฉัตร เมื่อประทับอยู่พระองค์เดียว บังเกิดความปริวิตกขึ้นว่า
“ยังจักมีสักการบูชาใดที่ยิ่งกว่าสักการบูชา อันพระราชบิดาแลเราทั้งหลายได้บำเพ็ญอยู่อีกฤๅไม่หนอ ?”
“ครั้งนั้น ด้วยพุทธานุภาพ บันดาลให้มีสุรเสียงตอบของเทพองค์หนึ่งเบื้องอัมพรสถานว่า
“ดูก่อนราชบุตร การสักการบูชาด้วยธรรมปฏิบัติ ประเสริฐยิ่งกว่าสักการบูชาใด ๆ.”
ราชบุตรนั้นจึงถามว่า “อะไรชื่อว่าเป็นธรรมปฏิบัติบูชาเล่า ?”
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นจึงตรัสว่า“ดูก่อนราชบุตร อันธรรมปฏิบัติบูชานั้นคือ ในบรรดาพระสูตรอันสุขุมคับภีรภาพ ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสแสดงไว้แล้ว อันโลกกล่าวคือชนทั้งปวง ยากที่จักบังเกิดศรัทธา ยากที่จักน้อมรับ เป็นธรรมอันประณีตละเอียดยากที่จักเห็นได้โดยง่าย เป็นธรรมอันบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเศร้าหมองมลทินใด ๆ มิใช่จักบรรลุถึงได้โดยอาศัยความตรึกนึกวิกัลป์ปะคะเนเอา เป็นธรรมอันสงเคราะห์เข้าอยู่ในโพธิสัตวธรรมปิฎกอันธารณีมุทระ* ตรากำหนดแน่นอนลงไปแล้ว เป็นธรรมอันนำไปสู่อนิวรรตนิยภูมิ ยังปารมิตา ๖ ประการให้สำเร็จ เป็นปรมัตถวิภัชชธรรมอนุโลมสู่พระโพธิญาณธรรม เป็นพระสูตรซึ่งอยู่เหนือบรรดาสูตรทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติธรรมนี้ย่อมเข้าสู่ภุมิแห่งมหาเมตตา มหากรุณา เว้นจากสรรพกิจของมาร กับทั้งปราศจากมิจฉาทิฐิทั้งปวงอีกด้วย เป็นธรรมอนุโลมนับเนื่องในเหตุในปัจจัย ไม่มีตัวตน ไม่มีบุคคล ไม่มีสัตว์ ไม่มีชีวะเป็นสุญญตา อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ อนุตปาทะ สามารถยังสรรพสัตว์ให้ได้นั่งเหนือปรมาภิเษกสัมโพธิบัลลังก์ แล้วแลยังธรรมจักรให้หมุน อันปวงเทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ เป็นต้น ถวายสดุดีสรรเสริญ อนึ่ง เป็นธรรมยังสรรพสัตว์ให้เข้าสู่พุทธธรรมปิฎก เป็นธรรมซึ่งรวบรวมเอาไว้ซึ่งปรัชญาญาณของสรรพบัณฑิตอารยชนไว้ เป็นธรรมซึ่งแสดงมรรคจรรยาแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อาศัยอรรถแห่งตัตตวธรรมเป็นที่ตั้ง ประกาศแจกแจงในเรื่อง อนิจจตา ทุกขตา สุญญตา อนัตตตา แลธรรมอันเป็นที่ดับสนิทของปวงทุกข์เป็นธรรมอันสามารถช่วยกอบกู้สัตว์ผู้สีลวิบัติให้พ้นความวิบัตินั้นได้ สามารถยังพวกพาหิรลัทธิ แลผุ้ที่หนาด้วยอภิชฌาวิสมโลภะให้ครั่นคร้ามเป็นธรรมซึ่งพระพุทธเจ้า แลพระอริยชฃนทั้งหลายอนุโมทนาสดุดี เป็นธรรมหันหลังให้แก่ชาติทุกข์ มรณทุกข์ ประกาศซึ่งความสุขของพระนิพพาน.”
อนึ่ง เป็นธรรมอันพระพุทธเจ้าในตรีกาลทั่วทศทิศทรงแสดงประกาศแล้ว ผู้ใดได้สดับซึ่งพระสูตรอันมี
นัยดั่งพรรณนามานี้ บังเกิดจิตศรัทธาและเข้าใจ น้อมรับธำรงไว้แลสวดสาธยาย ตลอดทั้งยังใช้กำลังแห่งอุบายโกศลอธิบายแสดงจำแนกแจกแจงธรรมนั้นแก่ส่ำสัตว์ เมื่อเป็นผู้พิทักษ์ธรรมด้วยประการฉะนี้ ย่อมชื่อว่าได้ปฏิบัติธรรมสักการบูชา”“อนึ่ง ผู้ใดสามารถปฏิบัติธรรมตามธรรมซึ่งกล่าวแล้ว อนุโลมเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท เว้น
__________________________
* ธารณีมุทระ มี ๔ อย่าง คือ
๑. ธรรมธารณี ได้แก่การสดับจำทรงพระสัทธรรมไม่หลงลืม
๒. อรรถธารณี ได้แก่การทรงเอาไว้ในอรรถรสแห่งพระสัทธรรม.
๓. มนตรธารณี ได้แก่อาศัยอำนาจสมาธิจิตปรุงแต่งมนต์ อันประกอบดัวยอานุภาพขึ้น.
๔. กษานติธารณี ได้แก่ความที่สามารถอดทนตั้งมั่นอยู่ในตัตตวธรรมโดยไม่บังเกิดความเบื่อหน่าย.
จากปวงมิจฉาทิฐิเสีย ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ กำหนดแน่ชัดลงไปได้ว่า ธรรมทั้งปวงนั้นไม่มีอาตมัน ไม่มีสัตว์แต่ก็ไม่บังเกิดความกีดข้องโต้แย้งในเรื่องของเหตุปัจจัย ผลวิบากของกรรม เช่นนี้จึงชื่อว่าเป็นผู้พ้นแล้วจากความยึดถือในเรื่องตนแลของ ๆ ตน ผู้นั้นย่อมมีอรรถนเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาวจนโวหารเป็นปฏิสรณะ ย่อมมีปัญญาเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาวิญญาณทางอายตนะเป็นปฏิสรณะ ย่อมมีพระสูตรประเภทนิปปริยายธรรมเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาพระสูตรประเภทปริยายธรรมเป็นปฏิสรณะ ย่อมมีธรรมเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาบุคคลเป็นปฏิสรณะ* เป็นผู้รู้แจ้งชัด อนุโลมเป็นไปในยถาภูตธรรมลักษณะ ปราศจากการเข้ามา ปราศจากคติมุ่งไป อวิชชาย่อมดับสนิทไปในที่สุด เพราะเหตุนั้น สังขารทั้งปวงก็ย่อมดับสนิทไปในที่สุด แม้จนชาติความเกิดก็ย่อมดับสนิทไปในที่สุด ชรามรณะก็ย่อมดับสนิทไปในที่สุด (กล่าวคือทั้งหมดเป็นสุญญตา ปราศจากสภาวะเกิดขึ้นหรือดับไป) ผู้ใดมาเพ่งพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็ย่อมรู้ชัดว่า อันปฏิจจสมุปบาท ๑๒ นั้นปราศจากอันตลักษณะไม่เกิดอุปาทลักษณะขึ้นอีกผู้ซึ่งกระทำเช่นนี้แลชื่อว่าเป็นผู้บูชาพระตถาคต ด้วยธรรมปฏิบัติบูชาอันสูงสุด.”
พระบรมศาสดาทรงแสดงความอนุสนธิกับท้าววาสวะต่อไป
“เมื่อพระราชบุตรจันทรฉัตร ได้สดับพระสัทธรรมจากพระไภษัชยราชาพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้บรรลุมุทุ
ตากษานติธรรม ครั้นแล้วพระราชบุตรจึงเปลื้องรัตนอลังการซึ่งประดับสรีราภรณ์ออก ถ้อมถวายบูชาแด่พระพุทธเจ้า
พระองค์นั้น พร้อมทั้งกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในกาลเมื่อพระองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ข้าพระองค์จักบำเพ็ญธรรม
ปฏิบัติบูชา อภิบาลรักษาพระสัทธรรม ขออานุภาพของพระองค์โปรดได้คุ้มครองให้ธรรมปฏิบัติบูชานั้น ได้สถาปนาขึ้นสำเร็จ ให้ข้าพระองค์สามารถบำราบมารภัย แลบำเพ็ญโพธิสัตวจริยาได้ลุล่วง พระเจ้าข้า.”
“พระไภษัชยราชาพุทธเจ้า ทรงกำหนดรู้วาระจิตอันลึกซึ้งตั้งมั่นของพระราชบุตรนั้นแล้ว จึงตรัส
พยากรณ์เพื่อเป็นสักขีว่า “ในอนาคตกาล เธอจักได้อภิบาลรักษาสัทธรรมนครเป็นแท้.”
“ดูก่อนเทวราช ครั้งนั้น พระราชบุตรจันทรฉัตรได้มีดวงธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ ทั้งยังได้รับลัทธยาเทส
พุทธพยากรณ์เช่นนี้ เธอเป็นผู้มีศรัทธาออกบรรพชาแล้ว ได้เพียรอบรมกุศลธรรมอยู่โดยกาลไม่นานเลย ก็ได้บรรลุอภิญญาทั้ง ๕ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยโพธิสัตวธรรมวิถี บรรลุธารณีมีปฏิภาณโกศลไม่ข้องขัด ครั้นเมื่อพระไภษัชยราชาพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว เธอก็ได้อาศัยกำลังแห่งอภิญญาธารณี และปฏิภาณโกศลนั้น ยังพระ
__________________________
๑. หลักปฏิสรณะนี้ เป็นหลังสำคัญของฝ่ายมหายาน จัดเป็นแว่นธรรมสำหรับส่องตรวจดูพระสัทธรรมที่แท้จริงด้วย ข้อแรกหมายความว่า เรื่องภาษาโวหารเป็นเรื่องของบัญญัติไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงร้องเรียกอย่างไรก็ได้ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่เนื้อความ เช่น คำว่า “นิโรธ” ก็เป็นภาษาชาวบ้านธรรมดา แปลว่าดับแต่เมื่อใช้ในทางธรรม นอกจากจะหมายถึงความดับเช่นดับไปดับธรรมดาแล้ว ยังหมายถึงสภาพพ้นทุกข์พ้นกิเลสอีกด้วย เราจึงต้องถือเนื้อความเป็นใหญ่กว่าโวหารบัญญัติ.
๒. เนื่องด้วยความรู้ทางอายตนะอาจหลอกเราได้ เช่นคนเดินไปในที่มืดเหยียบเชือกสำคัญคิดว่างู เลยตกใจกลัวถึงนอนป่วยก็มี อารมณ์โลกเป็นเรื่องของมายาที่แสดงหลอกเรา ฉะนั้น จะถือความจริงทางความรู้อายตนะย่อมไม่แน่แท้ สู้สติปัญญากล่าวคือวิปัสสนาปัญญาซึ่งสามารถเพิกมายาออกเสียไม่ได้.
๓. ฝ่ายมหายานถือว่า บรรดาพระสัทธรรม ซึ่งพระบรมศาสดาแสดงประทานไว้แก่เวไนยสัตว์นั้น ย่อมแสดงให้เหมาะแก่อินทรีย์ อุปนิสัยชั้นภูมิแห่งสัตว์จึงมีประเภทปริยายธรรม กล่าวคือ ธรรมซึ่งยังต้องขยายความหรือยังมีนัยที่เหลืออีก เช่นหลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่องการประพฤติธรรม เพื่อบรรลุสุขเยี่ยงโลกียชนเป็นต้น ทรงแสดงแก่สัตว์ยังมีภูมิอินทรีย์อ่อน ส่วนสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์สูงกล้าแล้ว ทรงแสดงปรมัตถธรรมชี้ให้เห็นความเป็นมายาของโลก นี้ชื่อว่านิปปริยายธรรม คือธรรมที่ไม่มีนัยที่ต้องไขความกันอีก เป็นการแสดงถึงแก่นสูงสุดของพระพุทธศาสนา.
๔. ทางมหายานนับถือความถูกต้องเหตุผลสำคัญ หลักธรรมจะเป็น ใครกล่าวก็ตาม ถ้าชอบด้วยเหตุผล เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์แล้ว ก็ให้ถือเป็นหลักปฏิบัติได้ อันที่จริงทั้ง ๔ ข้อนี้ ก็มีนัยอยู่ในหลักพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท หรือจะพูดให้ถูกก็ต้องว่า เป็นหลักการของพระพุทธศาสนานั่นเอง ไม่ใช่ของฝ่ายเถรวาทฝ่ายมหายาน
ธรรมจักรของพระไภษัชยราชาตถาคตให้แพร่หลายออกไปตลอดกาลนานเต็ม ๑๐ จุลกัลป์ ภิกษุจันทรฉัตรได้อภิบาลรักษาพระสัทธรรมด้วยความพากเพียร ในชาตินั้นเธอได้โปรดชนนับจำนวนแสดโกฏิให้ตั้งอยู่ในภูมิที่ไม่เสื่อมจากพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และยังมีชนอีก ๑๕ นหุต มีจิตมุ่งต่อพระอรหันตภูมิ พระปัจเจกโพธิภูมิ ยังสรรพสัตว์ไม่มีประมาณได้อุบัติในโลกสวรรค์.”
“ดูก่อนเทวราช พระเจ้ารัตนฉัตรในสมัยนั้น มิใช่ผู้ใดอื่นไกลหรอก ที่แท้ก็คือท่านผู้ได้บรรลุพระ
โพธิญาณในปัจจุบัน ทรงพระนามว่า พระรัตนโชติประภาตถาคตเจ้า นั่นเอง และพระราชโอรส ๑,๐๐๐ องค์ นั้นก็คือพระพุทธเจ้า ๑,๐๐๐ องค์ในภัทรกัลป์นี้ นับตั้งต้นแต่ พระกกุสันธะพระพุทธเจ้า เป็นปฐม จวบถึงพระตถาคตเจ้าองค์ลำดับสุดทรงพระนามว่า รุจิ ส่วนภิกษุจันทรฉัตรนั้น ก็คือเราตถาคตนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้แลเทวราช !พระองค์พึงกำหนดสาระสำคัญในเรื่องนี้ว่า ในบรรดาสักการบูชาทั้งหลายนั้น ธรรมปฏิบัติบูชาเป็สักการบูชาอันเยี่ยมยอดประเสริฐที่สุดไม่มีสิ่งได้เปรียบ เพราะเหตุนั้น เทวราช ! พระองค์พึงบูชาพระพุทธเจ้าด้วธรรมปฏิบัติบูชาเถิด.”
ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติบูชาวรรค จบ.
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค
ปริเฉทที่ ๑๔
ธรรมทายาทวรรค
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ว่า
“ดูก่อนเมตไตรยะ ตถาคตมอบหมายพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมซึ่งสร้างสมมาตลอดอสงไขยกัลป์อันบ่อาจประมาณได้ให้ไว้แก่เธอ ณ กาลบัดนี้ อันพระสูตรมีนัยเภทดังกล่าวมาแล้วนี้ ในสมัยเมื่อตถาคตดับขันธปรินิพพานแล้ว เธอทั้งหลาย (ตรัสรวมผู้เข้าประชุมด้วย) พึงสำแดงอานุภาพ ประกาศแพร่หลายซึ่งธรรมนั้น ทั่วชมพูทวีปสืบไป อย่าให้ขาดถึงวิบัติเป็นอันขาด ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าถ้าในกาลอนาคตภายภาคหน้า จักมีกุลบุตรกุลธิดา กับทั้งทวยเทพ นาคา อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ รากษส เป็นอาทิ ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีความยินดีในธรรมอันกว้างใหญ่นี้ สัตว์เหล่านั้น ถ้ามิได้สดับพระสูตรเห็นปานนี้ ก็เสื่อมจากประโยชน์อันพึงได้โดยแท้ ก็แลหารสัตว์เหล่านั้น ได้สดับพระสูตรดังกล่าวนี้แล้ว จักมีศรัทธาปสาทะมาก จักบังเกิดจิตที่หาได้ยาก น้อมเทิดทูนพระสูตรดังกล่าวด้วยเศียรเกล้าของเขา เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงประกาศให้แพร่หลาย ให้สมควรแก่ประโยชน์อันสรรพสัตว์จักพึงได้เกิด.”
“ดูก่อนเมตไตรยะ เธอพึงรู้ไว้ด้วยว่า อันพระโพธิสัตว์นั้น มี ๒ ลักษณะ ก็ ๒ ลักษณะนั้นเป็นไฉน ?
๑. คือ พระโพธิสัตว์ที่ยินดีเพลิดเพลิน ในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ.
๒. คือ พระโพธิสัตว์ที่มิได้ครั่นคร้ามหวาดกลัวต่ออรรถธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ สามารถจักเข้าถึงซึมซาบได้.
ก็พระโพธิสัตว์ใด ที่ยินดีเพลิดเพลินในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ พึงรู้ได้ว่า เป็นพระโพธิสัตว์นวกะ พระโพธิสัตว์ใดปราศจากความเพลิดเพลินยินดี ปราศจากความยึดถือ ปราศจากความครั่นคร้ามในพระสูตรอันล้ำลึก สามารถเข้าถึงแก่นสารในพระสูตรนั้น ครั้นได้สดับซึ่งพระธรรมนั้นแล้ว ก็มีจิตสะอาดผ่องแผ้ว ธำรงรักษาไว้ได้ แลสาธยายเล่าบ่นกับทั้งอาจปฏิบัติตามธรรมดั่งกล่าว พึงรู้ได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์รัตตัญญู อบรมปฏิบัติโพธิสติยามานานกาล อนึ่งเมตไตรยะ ! ยังมีธรรมอยู่ ๒ ประการ ซึ่งนวกโพธิสัตว์มิสามารถตัดสินเด็ดขาดในอรรถธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพได้ ก็ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน !
๑. พระสูตรอันมีนัยล้ำลึกใด ซึ่งนวกโพธิสัตว์ได้สดับแล้วบังเกิดความครั่นคร้ามกังขา ไม่สามารถอนุโลมตาม แลกล่าวจ้วงจาบโดยไร้ศรัทธาว่า ธรรมเหล่านี้เราบ่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ได้มาจากผู้ใดกัน ? ประการหนึ่ง.
๒. บุคคลที่เขาอภิบาลซึ่งพระสูตรอันมีนัยล้ำลึก แลเขาแสดงประกาศซึ่งพระสูตรนั้น นวกโพธิสัตว์ก็ไม่ยอมเข้าใกล้ สักการบูชาบุคคลผู้นั้น อนึ่ง ยังกล่าวโทษตำหนิติเตียนบุคคลผู้นั้นอีกด้วยอีกประการหนึ่ง.
ก็ทั้ง ๒ ประการนี้ เธอพึงสำเหนียกไว้เถอะว่า เป็นการกระทำซึ่งทำลายตนเองของนวกโพธิสัตว์ ผู้ไม่สามารถควบคุมจิตของเขาในท่ามกลางธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพได้ อนึ่ง เมตไตรยะ ! ยังมีโทษอยู่อีก ๒ ประการ ซึ่งพระโพธิสัตว์ผู้ตัตตัญญูผู้มีศรัทธาเข้าใจในธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ แต่เป็นการทำลายตนเอง มิสามารถบรรลุอนุตปาทธรรมกษานติได้ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน ? คือ
๑. รัตตัญญูโพธิสัตว์ใด ดูหมิ่นนวกโพธิสัตว์ ไม่ว่ากล่าวอบรมสั่งสอนตักเตือนนวกโพธิสัตว์นั้น.
๒. แม้ว่าจะมีความเชื่อความเข้าใจในธรรมอรรถอันลึกซึ้ง แต่ยึดถือในวิกัลปลักษณะ นี้แลธรรม
๒ ประการ
พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ ครั้นได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วจึงกราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค อัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว พระพุทธเจ้าข้า เป็นไปตามพระพุทธบรรหารโดยแท้ ข้าพระองค์จักเว้นจากโทษดังที่กล่าวมาแล้วจักเป็นผู้ธำรงรักษาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม ซึ่งพระสุคตเจ้าสร้างสมไว้นับอสงไขยกัลป์ประมาณมิได้ ในอนาคตกาลภายหน้าหากมีกุลบุตรกุลธิดาใด ผุ้ปรารถนาศึกษามหายานธรรม ข้าพระองค์จักยังเข้าให้ได้ถือเอาพระสูตรดังกล่าวนี้ไว้ในหัตถ์* แลด้วยกำลังแห่งอานุภาพจักยังเขาให้สามารถธำรงไว้สวดสาธยาย กับทั้งแสดงประกาศแก่ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลอนาคตผู้ใดซึ่งสามารถธำรงไว้ซึ่งพระสูตรเป็นต้นดังกล่าวนี้ สามารถสวดสาธยายและประกาศแก่ผู้อื่น เขาพึงสำเหนียกว่า นี้เป็นอานุภาพบันดาลให้เป็นไปของข้าพระองค์ ผู้มีนามว่าเมตไตรยะพระพุทธเจ้าข้า.”
พระบรมศาสดา ตรัสว่า
“สาธุ ! สาธุ ! เมตไตรยะ ! เป็นดั่งที่เธอกล่าว ตถาคตอนุโมทนาสาธุการแก่เธอด้วย.”ลำดับนั้นแล บรรดาโพธิสัตว์ทั้งปวง ต่างก็อัญชลีกรกราบทูลขึ้นว่า“แม้พวกข้าพระองค์ก็เหมือนกัน พระเจ้าข้า เมื่อพระสุคตเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว จักประกาศพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมให้แผ่ไพศาลทั่วสรรพโลกธาตุในทศทิศ อนึ่ง จักเป็นผู้นำแก่ผู้ประกาศธรรมให้พระสูตรนี้ด้วย.”
สมัยนั้น ท้าวจาตุมมหาราช ก็กราบทูลขึ้นว่า“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในสถานที่ใด จักเป็นคามนิคมชนบทราชธานี บรรพต วนาสณฑ์ ป่าชัฏใด ๆหากจะมีซึ่งพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ก็ดี มีผู้สาธยายประกาศซึ่งพระสูตรนี้ก็ดี ข้าพระองค์จักนำบริวารมาสดับพระธรรมเทศนา ณ สถานที่นั้น ๆ พิทักษ์คุ้มครองบุคคลนั้น ภายในบริเวณภูมิดลโดยรอบร้อยโยชน์ จักป้องกันมิให้ภัยพาลมาก่อกวนได้ พระพุทธเจ้าข้า.”ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า“ดูก่อนอานนท์ เธอจงธำรงไว้ซึ่งพระสูตรนี้ แลประกาศแสดงให้แผ่ไพศาลเถิด.”พระอานนท์กราบทูลว่า “อย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ธำรงพระสูตรสำคัญไว้แล้วพระพุทธเจ้าข้า ก็พระสูตรนี้จักมีนามว่าอย่างไร ?” ตรัสว่า “อานนท์ ! พระสูตรนี้มีนามว่า วิมลเกียรตินิทเทสสูตร หรือ อจินไตยวิมุตติธรรมทวารสูตรเธอพึงทราบเอาไว้อย่างนี้แล
เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงพระธรรมบรรยายนี้อวสานลง ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสารีบุตรเถรเจ้า พระอานนทเถรเจ้าเป็นอาทิ กับทั้งบรรดาทวยเทพ อสูรประชุมชนทั้งนั้น บรรดาที่ได้สดับพระพุทธภาษิต ต่างก็มีโสมนัสปรีดาร่าเริงในธรรม มีศรัทธาปสาทะ น้อมรับปฏิบัติตามด้วยประการฉะนี้แล.
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค จบ.
วิมลเกียรตินิทเทสสูตร อวสาน.