ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 ธันวาคม 2555 09:53
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป065
พระพุทธคุณบทว่าโลกวิทู (๑)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
เรื่องของโรหิตัสสะเทพบุตร ๒
โลกของพระพุทธเจ้า ๓
ลักษณะของพุทธศาสนา ๔
ข้อตรัสอธิบายคำว่าโลก ๔
โลกคือขันธ์ ๕ ๕
สภาวะ ๕
ภาวะ ๖
สภาวะของขันธโลก ๗
ทางปฏิบัติเข้าถึงความดับโลก ๗
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
ม้วนที่ ๘๒/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๘๓/๑ ( File Tape 65 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
พระพุทธคุณบทว่าโลกวิทู (๑)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าโลกวิทูผู้รู้โลก
นำเป็นพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าโดยพระคุณ
พระอาจารย์ได้แสดงอธิบายพระพุทธคุณบทว่าโลกวิทูนี้
ว่าได้ทรงรู้แจ้งโลกโดยประการทั้งปวง คือโดยสภาวะ คือโดยสภาพ
โดยสมุทัยคือเหตุเกิด โดยนิโรธคือความดับ และโดยนิโรธุปายะ
หรือนิโรโธบาย คืออุบายอันได้แก่ทางที่จะนำเข้าไปสู่ความดับ
เรื่องของโรหิตัสสะเทพบุตร
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสถึงโรหิตัสสะเทพบุตร
ซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ได้ไปโดยเร็วในโลกนี้ เพื่อจะให้ถึงที่สุดโลก
๒
แต่ก็ต้องทำกาละกิริยาคือได้สิ้นชีวิตก่อน เป็นอันไม่ถึงที่สุดโลก
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ที่สุดโลกอันเป็นที่ที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย
ไม่จุติคือเคลื่อน ไม่อุปบัติคือเข้าถึง เป็นที่ที่พระองค์ตรัสว่าไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็น
ไม่ถึงถึง ได้ด้วยการไปในที่ไหนๆ
แต่ว่าหากไม่ถึงที่สุดแห่งโลก พระองค์ก็ตรัสว่าไม่พึงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
และพระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์ทรงบัญญัติโลก โลกสมุทัยเหตุเกิดโลก
โลกนิโรธความดับโลก และโลกนิโรธคามินีปฏิปทาทางปฏิบัติให้ถึงความดับโลก
ในกเฬวระคือในกายนี้ ที่ประมาณวาหนึ่ง มีสัญญา มีใจนี้ ดั่งนี้
โลกของพระพุทธเจ้า
ตามเรื่องของโรหิตัสสะเทพบุตร และตามพระพุทธภาษิตที่ตรัส
เป็นเครื่องส่องความให้เห็นว่า ได้ทรงรู้แจ้งโลกโดยประการทั้งปวงดังกล่าวมาข้างต้น
คือโดยสภาวะหรือโดยสภาพ โดยสมุทัย โดยนิโรธ โดยอุบายคือทางปฏิบัติให้เข้าถึงนิโรธ
อันความรู้โลกของพระพุทธเจ้า ตามที่พระอาจารย์ได้อธิบายอ้างพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้
จึงเป็นอธิบายอันถูกต้อง เพราะมิได้อธิบายเอาเอง
และตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสเล่าถึงโรหิตัสสะเทพบุตรนั้น เป็นเรื่องที่ตรัสเล่าถึงการไป
เพื่อจะพบที่สุดโลก ในโลกภายนอกนี้เอง ซึ่งเทพบุตรไม่อาจจะถึงที่สุดโลก
ต้องสิ้นชีวิตเสียก่อน คือต้องจุติ คือต้องเคลื่อนจากภาวะเป็นเทพไปเสียก่อน
แต่พระพุทธภาษิตที่ตรัสแสดงเป็นเทศนาสั่งสอน ได้ทรงตรัสชี้เข้ามาถึงโลกในกเฬวระ
คือในกายที่มีขนาดวาหนึ่งโดยส่วนสูงหรือโดยส่วนยาว ซึ่งมีสัญญาและมีใจนี้
เป็นการตรัสที่น้อมเข้ามาถึงขันธ์โลก โลกคือขันธ์ ๕ กายและใจอันนี้
และโดยที่ได้ตรัสว่าได้ทรงบัญญัติเรื่องโลก ก็ทรงบัญญัติในกเฬวระ
คือในร่างกายที่มีสัญญามีใจนี้ ไม่ได้ทรงบัญญัติโลกในภายนอก ในคำสั่งสอนของพระองค์
๓
และก็ตรัสว่าที่สุดโลก คือที่สุดโลกในภายในดังกล่าว ก็เป็นที่ที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย
ไม่จุติคือเคลื่อน ไม่อุปบัติคือเข้าถึง และที่สุดโลกนี้เองก็เป็นที่สุดแห่งทุกข์ด้วย
เพราะฉะนั้น แม้ในโลกภายในนี้เมื่อไม่ถึงที่สุด ก็ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
จะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็ต้องถึงที่สุดแห่งโลกในภายในนี้
เพราะฉะนั้น พระธรรมเทศนาที่ตรัสแสดงนี้
จึงเป็นพระธรรมเทศนาที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ อาจปฏิบัติให้ถึงได้
เพราะอยู่ภายในกเฬวระ คือร่างกายที่มีสัญญามีใจของทุกๆคน ของตนเอง
ไม่ต้องไปค้นหาในภายนอกที่ไหน
ลักษณะของพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น ตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสนี้
จึงเป็นอันแสดงลักษณะของพุทธศาสนา ว่าพระพุทธศาสนานั้น
มิได้แสดงโลกหรือเรื่องของโลกภายนอกต่างๆ จะเป็นเบื้องต้นโลกก็ตาม ที่สุดโลกก็ตาม
แต่ว่าได้ตรัสแสดงเรื่องโลกที่เป็นภายในดังกล่าวนั้น อันเป็นสัจจะธรรมที่ทุกคนจะพึงรู้
จะพึงเห็น จะพึงถึง และเมื่อรู้เมื่อเห็นเมื่อถึง ก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป็นผู้พ้นทุกข์ได้
เพราะฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจในสัจจะธรรมที่ได้ตรัสสอน อันแสดงแห่งพระพุทธคุณ
บทว่าโลกวิทูนี้ เพื่อจะได้มีความเข้าใจ เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาและปสาทะ
เป็นที่ตั้งแห่งปัญญา เป็นเนติแห่งการที่จะปฏิบัติตาม
ข้อตรัสอธิบายคำว่าโลก
( เริ่ม ๘๓/๑ ) ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสอธิบายถึงคำว่าโลก
โดยพยัญชนะคือถ้อยคำ อันส่องถึงอรรถะคือเนื้อความว่า รุชตีติโลโก
สิ่งใดชำรุดทรุดโทรมสิ่งนั้นชื่อว่าโลก หรือว่าชื่อว่าโลกเพราะว่าเป็นสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม
ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่มีความชำรุดทรุดโทรมสิ่งนั้นได้ชื่อว่าโลก
๔
โลกคือขันธ์ ๕
และโลกที่เป็นภายในที่ตรัสสอนก็คือขันธโลก โลกคือขันธ์ ๕ หรือนามรูปกายใจอันนี้
อันขันธ์ ๕ หรือนามรูปย่อมเป็นทุกข์โดยสภาพ คือโดยภาวะของตน
เป็นทุกข์ก็คือตั้งอยู่คงที่มิได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป โดยที่มีชาติความเกิดเป็นเบื้องต้น
มีชราคือความชำรุดทรุดโทรมไปในท่ามกลาง มีมรณะคือความตายในที่สุด
ชาติชรามรณะชื่อว่าเป็นสภาพหรือเป็นสภาวะ คือเป็นภาวะของตน คือของขันธ์ ๕ เอง
ชาติก็เป็นสภาวะคือเป็นความเกิดขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยของตนเอง
และเมื่อมีชาติคือความเกิดขึ้นมาเป็นขันธ์ ๕ เป็นนามรูป ก็ต้องมีชราคือความแก่
ความเก่าความชำรุดทรุดโทรม ซึ่งก็เป็นสภาวะคือเป็นภาวะของตนเองที่ต้องเป็นไป
และในที่สุดก็มีมรณะคือความตาย คือความแตกสลาย ซึ่งก็เป็นสภาวะ
คือเป็นภาวะเป็นความเป็นของตนเอง
สภาวะ
คำว่าสภาวะหรือสภาพบางทีก็พูดกันว่าเป็นสภาพธรรมดา
คือธรรมดานั้นก็เป็นสภาพที่ปรากฏ เป็นภาวะคือความมีความเป็น
เป็นความมีความเป็นอย่างนั้น เป็นความมีความเป็นอย่างนี้
เช่นที่เรียกว่าธรรมชาติธรรมดาต่างๆ เช่นที่ปรากฏเป็นกลางวัน เป็นกลางคืน
เป็นฝนตก เป็นแดดออก ซึ่งก็เป็นภาวะคือเป็นความมีความเป็นอย่างหนึ่งๆ
ถ้าไม่ใช่ภาวะคือไม่เป็นความมีความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ไม่ปรากฏเป็นกลางวัน ไม่ปรากฏเป็นกลางคืน ไม่ปรากฏเป็นฝนตก ไม่ปรากฏเป็นแดดออก
แต่ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นไปดังกล่าว
ก็คือเป็นภาวะเป็นความมีเป็นความเป็นขึ้นมาอย่างใอย่างหนึ่ง
และความมีความเป็นที่ปรากฏขึ้นมานั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเอง
๕
ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดา เพราะว่าอันความมีความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น
จะต้องมีเหตุมีปัจจัย เช่นว่าเหตุที่ทำให้เป็นกลางคืน เหตุที่ทำให้เป็นกลางวัน
เหตุที่ทำให้ฝนตก เหตุที่ทำให้แดดออก ต้องมีเหตุมีปัจจัย
แต่ว่าเหตุปัจจัยนั้นเป็นเหตุปัจจัยของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าสภาพ
ดังที่เรียกกันว่าสภาพธรรมดา หรือสภาพดินฟ้าอากาศ
ภาวะ
แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นภาวะเหมือนกัน คือเป็นความมีความเป็น เช่น เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาต่างๆ
อันเป็นสิ่งที่สัตว์บุคคลทำขึ้น ไม่เรียกว่าสภาพ แต่เรียกว่าภาวะเฉยๆ
เช่นความวุ่นวายต่างๆที่หมู่คนก่อขึ้น เรียกว่าภาวะไม่ปรกติ ภาวะที่รุนแรง
ไม่เรียกว่าเป็นสภาพไม่ปรกติ สภาพที่รุนแรง เรียกว่าภาวะเฉยๆ
เพราะว่าบุคคลก่อขึ้นมา ไม่ใช่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเอง
แต่ว่าถ้าเป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเอง เช่นว่าแผ่นดินไหวที่ให้ผลเสียหายรุนแรง
ก็เรียกได้ว่าเป็นสภาพที่รุนแรง เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยของตนเอง คนไม่ได้ไปทำขึ้น
เพราะว่าอันภาวะต่างๆที่เป็นตัวสภาพดังกล่าวนั้นย่อมมีเหตุปัจจัย เช่นฝนตกก็ต้องมีเหตุปัจจัย
เมื่อบุคคลมีความรู้ถึงเหตุปัจจัยให้ฝนตก จึงอาจที่จะประกอบกระทำเหตุปัจจัยให้ฝนตกขึ้นได้
และทำให้ฝนตกได้ ดั่งนี้ก็เรียกว่าเอาเหตุปัจจัยของธรรมชาติธรรมดา
ที่เป็นไปตามภาวะของตนเองนั้นแหละมาใช้ แล้วก็ใช้ได้
แต่สิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นนี้ ก็ควรจะเรียกว่าเป็นภาวะได้
หรือว่าเรียกตามที่มาว่าอันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าบุคคลทำขึ้นเอง
แต่ว่ารู้วิธี และนำเอาวิธีการนั้นมาใช้เท่านั้น ก็อาจจะรวมอยู่ในคำว่าสภาพได้
แต่เมื่อมุ่งถึงเป็นการที่คนทำขึ้น ก็เรียกว่าภาวะเฉยๆสำหรับในลักษณะเช่นนั้น
๖
สภาวะของขันธโลก
จับเข้ามาถึงสภาวะของโลกภายในคือนามรูปนี้ หรือจะเรียกว่าขันธโลกอันนี้ของทุกๆคน
ก็มีสภาพที่ปรากฏเป็นชาติความเกิด ชราความแก่ มรณะความตาย
และเมื่อเป็นดั่งนี้ ก็ต้องมีจุติคือความเคลื่อนจากกเฬวระร่างกายที่เป็นศพหรือที่ตาย
ไปอุปบัติที่แปลว่าเข้าถึงกเฬวระคือร่างใหม่ ก็เป็นชาติคือความเกิดขึ้นมาอีก
แล้วก็เป็นความแก่ เป็นความตาย แล้วก็เป็นความเกิดขึ้นมาอีก ดั่งนี้
ตราบเท่าที่ยังมีสมุทัยคือเหตุเกิดแห่งสภาวะทั้งปวงดังกล่าวนั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกภายในนี้ด้วยประการทั้งปวง
ได้ตรัสรู้โดยสภาพคือโดยสภาวะทุกข์มีชาติความเกิดเป็นต้น
และโดยปกิณกะทุกข์ ทุกข์ทางจิตต่างๆมีโสกะปริเทวะเป็นต้น
รวมเข้าก็คือว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ คือนามรูปนี้ เป็นอันว่าได้ตรัสรู้โดยสภาพ
แล้วก็ตรัสรู้ถึงเหตุเกิด ดังที่ตรัสสอนว่าตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
เป็นไปในกามก็เป็นกามตัณหา เป็นไปในภพก็เป็นภวตัณหา
ไปในวิภพไม่เป็นนั่นเป็นนี่ก็เป็นวิภวตัณหา
ทางปฏิบัติเข้าถึงความดับโลก
ก็เป็นอันว่าได้ตรัสรู้โลกทั้งปวงในด้านเกิดโลก คือเกิดทุกข์
และก็ได้ตรัสรู้โลกในด้านดับ ดับโลกก็คือดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
และเมื่อดับตัณหาซึ่งเป็นตัวสมุทัยได้ ก็ดับชาติดับชราเป็นต้น เป็นอันดับสภาวะทุกข์
และได้ตรัสรู้ถึงอุบายคือทางปฏิบัติเข้าถึงความดับโลก ดังที่ตรัสสอนไว้ก็คือมรรคมีองค์ ๘
มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น มีสัมมาสมาธิความตั้งใจชอบเป็นที่สุด
รวมเข้าก็เป็นไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญา เป็นนิโรโธบาย
คือเป็นทางเป็นวิธีปฏิบัติให้เข้าถึงความดับโลก และเมื่อดับโลกคือดับตัณหาได้
๗
ก็เป็นอันว่าดับสภาวะที่ปรากฏเป็นชาติความเกิด ชราความแก่ มรณะความตาย
ไม่ต้องมีจุติคือความเคลื่อน ไม่ต้องมีอุปบัติคือเข้าถึงชาติภพใหม่กันต่อไป
เพราะฉะนั้นก็เป็นอันว่าได้ถึงที่สุดโลก และก็ถึงที่สุดทุกข์ไปพร้อมกัน
ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีโลกโดยสภาพ คือต้องมีเกิดมีแก่มีตาย ก็ต้องมีจุติคือเคลื่อน
อุปบัติคือเข้าถึงชาติภพใหม่ ก็เป็นอันว่ายังไม่ถึงที่สุดโลก ยังวนเวียนอยู่ในโลก
แต่เมื่อดับตัณหาได้ ด้วยปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ สมบูรณ์ จึงจะดับโลกได้ ก็ถึงที่สุดโลก
ถึงที่สุดทุกข์ไปพร้อมกัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นโลกวิทูผู้รู้โลก
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
พระพุทธคุณบทว่าโลกวิทู (๒)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
โอกาสโลก ๒
โลกิยะ โลกุตระ ๓
สังขารโลก ๔
สัตตโลก สัตวโลก ๕
โลกโดยสมมติ โลกโดยปรมัตถ์ ๖
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
ม้วนที่ ๘๓/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๘๓/๒ ( File Tape 65 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
พระพุทธคุณบทว่าโลกวิทู (๒)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าโลกวิทูผู้รู้โลก
ได้แสดงพระพุทธคุณบทนี้ครั้งหนึ่งแล้ว โดยอธิบายที่พระอาจารย์ได้นำเอาพระพุทธพจน์
ที่ตรัสไว้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้จักโลก รู้จักเหตุเกิดโลก รู้จักความดับโลก
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับโลก จึงทรงได้พระนามว่าโลกวิทูผู้รู้โลก
อีกอย่างหนึ่งพระอาจารย์ได้อธิบายว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้สังขารโลก โลกคือสังขาร
สัตตโลกหรือสัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ และโอกาสโลก โลกคือโอกาสอันได้แก่พื้นพิภพ
อีกอย่างหนึ่งเรียงโอกาสโลกไว้เป็นที่ ๑ สังขารโลกไว้เป็นที่ ๒ สัตตโลกหรือสัตวโลกไว้เป็นที่ ๓
โอกาสโลก
จะได้แสดงอธิบายโดยนับ โอกาสโลก โลกคือโอกาสอันได้แก่พื้นพิภพเป็นอันดับที่ ๑
๒
อันโอกาสโลก โลกคือโอกาส อันได้แก่พื้นพิภพนี้
ท่านใช้คำว่า โอกาส ซึ่งตามพยัญชนะก็แปลว่าเป็นที่ที่ไถได้ หรือว่าขีดได้
ที่แปลว่าเป็นที่ที่ไถได้นั้น ก็โดยที่มีมูลธาตุของศัพท์เช่นเดียวกับคำว่า กสิ
ในคำว่ากสิกรรม ที่ว่าการงานคือการไถ อันหมายถึงการทำนา
และคำว่าโอกาสก็เป็นธาตุอันเดียวกับกสิกรรมนั่นแหละ คือเป็นที่ที่ไถได้ ขีดได้
โดยที่เป็นพื้นแผ่นดินเป็นวัตถุ ตรงกันข้ามกับคำว่า อากาส ที่แปลกันว่าช่องว่าง
ตามพยัญชนะก็แปลว่าเป็นที่ที่ไถไม่ได้ ขีดไม่ได้
เหมือนดังในอากาศที่รู้จักกัน จะขีดอะไรในอากาศให้ปรากฏเป็นรอยก็ขีดไม่ได้
จะไถหว่านอะไรในอากาศก็ไม่ได้ เพราะเป็นช่องว่าง
ส่วนคำว่าโอกาสนี้เป็นที่ที่ไถหว่านได้ ดังเป็นพื้นแผ่นดิน เป็นที่ไถหว่าน
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นชื่อของโลกโดยใช้คำว่าโอกาสโลกโลกคือโอกาส
จึงหมายถึงพื้นพิภพ ที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ส่องสว่างปรากฏอยู่นี้
ทั้งหมดก็รวมก็เรียกว่าโอกาสโลก
พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้โอกาสโลก โลกคือพื้นพิภพด้วยความรู้โดยสามัญ
ดังที่ได้เสด็จจาริกไปสู่รัฐ สู่คามนิคมชนบทนั้นๆ อันเป็นที่ตั้งของเมืองของบ้านนั้นๆ
และได้ทรงรู้โอกาสโลกโดยเป็นธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งเป็นส่วนใหญ่
อันเป็นที่ก่อเกิดขึ้นของสังขารทั้งหลาย และแม้พื้นพิภพที่ปรากฏแก่ตาหูเป็นต้น
ที่เรียกว่าเป็นธาตุดินน้ำไฟลมสำหรับพิจารณาในทางกรรมฐาน
ก็คงเป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งอยู่นั่นเอง
แต่ก็ต้องมีส่วนที่เป็นธาตุแท้ของส่วนสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นส่วนละเอียด
โลกิยะ โลกุตระ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โอกาสโลก ทรงรู้จักโอกาสโลกคือพื้นพิภพ
ทั้งโดยสามัญ ทั้งโดยพิเศษอย่างยิ่ง คือโดยเป็นธาตุอย่างแท้จริง
๓
และพระองค์ตรัสรู้ด้วยความรู้ที่พรากออกจากสิ่งที่รู้ คือไม่ยึดถืออยู่ในสิ่งที่รู้
โดยเป็นเราเป็นของเรา แต่เป็นความรู้ที่พรากออก
เพราะฉะนั้น จึงทรงรู้จัก แต่ว่าไม่ติดไม่ยึด จึงไม่เป็นโลกิยะ
หรือโลกีย์ที่แปลว่ายึดอยู่กับโลก เกี่ยวอยู่กับโลก
แต่เป็นโลกุตระอยู่เหนือโลก คือรู้และพรากออกได้ พ้นได้ ไม่ติดไม่ยึด
สังขารโลก
( เริ่ม ๘๓/๒ ) สังขารโลก โลกคือสังขาร อันได้แก่สิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย
ก็ได้แก่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ตลอดจนถึงหมู่สัตว์ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งหลาย
จากพื้นพิภพนี้ มาเป็นสิ่งนั้นมาเป็นสิ่งนี้ เช่นมาเป็นต้นไม้เป็นภูเขา เป็นแม่น้ำลำคลอง
มาเป็นหมู่สัตว์ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน ซึ่งต่างดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สังขารโลก โลกคือสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งปวง
พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งให้บังเกิดเป็นสังขารต่างๆขึ้น
ดังที่ท่านพระอาจารย์ได้ยกมาจำแนกไว้เป็นต้นว่า
ทรงรู้จักโลกที่มี ๑ ก็คือข้อที่สัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร
ทรงรู้จักโลก ๒ คือนาม ๑ รูป ๑ ทรงรู้จักโลก ๓ ก็คือเวทนาทั้ง ๓
ทรงรู้จักโลก ๔ ก็คืออาหารทั้ง ๔ ทรงรู้จักโลก ๕ ก็คือขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕
ทรงรู้จักโลก ๖ ก็คืออายตนะทั้ง ๖ ทรงรู้จักโลก ๗ ก็คือวิญญาณฐิติที่ตั้งแห่งวิญญาณ ๗
ทรงรู้จักโลก ๘ ก็คือโลกธรรมทั้ง ๘ ทรงรู้จักโลก ๙ ก็คือสัตตาวาสที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้ง ๙
ทรงรู้จักโลก ๑๐ ก็คืออายตนะทั้ง ๑๐ ทรงรู้จักโลก ๑๒ ก็คืออายตนะ ๑๒
ทรงรู้จักโลก ๑๘ ก็คือธาตุ ๑๘ ธาตุ ๑๘ นั้นก็ได้แก่ธาตุคืออายตนะภายใน ๖
ธาตุคืออายตนะภายนอก ๖ ธาตุคือวิญญาณที่รู้ทางอายตนะอีก ๖ ก็รวมเป็น ๑๘
แม้สังขารโลกพระองค์ได้ตรัสรู้ และพรากออกไม่ยึดถือ ไม่เกี่ยวข้อง
จึงทรงเป็นโลกุตระอยู่เหนือโลก ทรงพ้นโลก
๔
ส่วนผู้ที่รู้จักสังขารโลกและยังยึดถือ ยังไม่พรากจิตออกได้
ก็เรียกว่าเป็นโลกิยะ หรือโลกีย์เกี่ยวอยู่กับโลก
สัตตโลก สัตวโลก
สัตตโลกหรือสัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์
พระพุทธเจ้าได้ทรงรู้จักสัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ทุกจำพวก
โดยที่ได้ทรงรู้จักอาศยะหรืออาศัย คือที่อาศัยของจิต เป็นฝ่ายดีบ้าง เป็นฝ่ายชั่วบ้าง
เมื่อเป็นกิเลสก็เป็นที่อาศัยฝ่ายชั่ว เมื่อเป็นบารมีเป็นคุณธรรมก็เป็นที่อาศัยฝ่ายดี
ทรงรู้จักอนุสัยคือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของสัตวโลกทั้งหลาย
ทรงรู้จักจริตอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย
ทรงรู้จัก อธิมุติ คือความน้อมไป ความเอนเอียงไปแห่งจิตของสัตว์ทั้งหลาย
ทรงรู้จักผงคือกิเลสที่เข้าตาใจของสัตว์ทั้งหลายว่าผู้ใดมีน้อย ผู้ใดมีมาก
ทรงรู้จักอินทรีย์คือธรรมะที่ครองจิตใจ อันได้แก่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ของสัตว์ทั้งหลายว่าใครมีแก่กล้า ใครมีอ่อน
ได้ทรงรู้จักอาการของสัตว์ทั้งหลายว่าใครมีอาการดี ใครมีอาการไม่ดี
ทรงรู้จักพื้นแห่งปัญญาของสัตว์ทั้งหลายว่าใครรู้ได้ง่าย ใครรู้ได้ยาก
ทรงรู้จักพื้นภูมิของสัตว์ทั้งหลาย อันเกี่ยวแก่กิเลส เกี่ยวแก่กรรม เกี่ยวแก่ปัญญาเป็นต้น
ว่าใครเป็นภัพพสัตว์คือเป็นสัตว์ที่สมควรที่จะรับธรรมะ บรรลุถึงธรรมะได้
ใครเป็นสัตว์ที่เป็นอภัพพะคือไม่สมควร ที่เรียกว่าอาภัพ
ไม่สามารถที่จะรับธรรมะ ที่จะเข้าถึงธรรมะได้
พระองค์ได้ทรงรู้จักสัตวโลกโดยอาการที่ท่านพระอาจารย์ได้ยกมาดังที่กล่าวนี้
และมิได้รู้ติดหรือว่ารู้ยึด ได้ทรงรู้พรากออกได้ จึงทรงเป็นโลกุตระอยู่เหนือโลก
๕
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลก โดยที่ทรงรู้จักโอกาสโลก โลกคือโอกาสอันได้แก่พื้นพิภพ
ทรงรู้จักสังขารโลก โลกคือสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย
ทรงรู้จักสัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ มิได้ทรงรู้ติดรู้ยึด
ผู้ที่รู้ติดรู้ยึดย่อมเป็นโลกิยะหรือโลกีย์ เกี่ยวข้องอยู่กับโลกติดอยู่กับโลก
แต่เพราะทรงรู้พราก คือจิตของพระองค์พรากออกได้จากโลก จึงเป็นโลกุตระอยู่เหนือโลก
อยู่เหนือโอกาสโลก อยู่เหนือสังขารโลก อยู่เหนือสัตวโลก ทรงพ้นจากโลกทั้งหมด
และความตรัสรู้โลกของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงปฏิบัติพุทธกิจที่เป็นอรรถะจริยา
ประพฤติประโยชน์กระทำประโยชน์แก่โลก กระทำประโยชน์โดยที่ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน
โปรดสัตว์โลก โปรดให้สัตว์โลกคือหมู่สัตว์ที่เป็นภัพพสัตว์คือสัตว์ผู้ที่สมควร
เป็นเวไนยยะคือผู้ที่แนะนำได้ ให้รู้สัจจะคือความจริงที่ทรงสั่งสอน
ทำกิเลสและกองทุกข์ให้บันเทาเบาบาง หรือให้สิ้นไปได้บางส่วนจนถึงสิ้นเชิง
เพราะเหตุที่ทรงรู้จักโลกดังกล่าวนี้เอง
โลกโดยสมมติ โลกโดยปรมัตถ์
อนึ่ง ความรู้จักโลกนั้น ก็อาจจะประมวลย่อเข้าได้ว่า
คือรู้จักโลกโดยสมมติ กับรู้จักโลกโดยปรมัตถ์
รู้จักโลกโดยสมมตินั้น ก็คือรู้จักโลกโดยที่แยกออกโดยส่วนใหญ่
เป็นโอกาสโลก เป็นสังขารโลก เป็นสัตวโลก และแยกละเอียดออกไปอีก
โอกาสโลกก็แยกออกเป็นพื้นพิภพส่วนนั้นส่วนนี้
สังขารโลกก็แยกออกเป็นสังขารประเภทต่างๆ ซึ่งบางจำพวกก็มีใจครอง
บางจำพวกก็ไม่มีใจครอง และแม้สัตวโลก หมู่สัตว์ก็แยกออกไปต่างๆ
ในหมู่มนุษย์หมู่เดรัจฉานที่เห็นๆกันอยู่นี้เอง ก็ยังแยกออกไปอีกมากมาย
และเมื่อแยกสรุปดังที่ตรัสแสดงเอาไว้ ก็ได้แก่หมู่สัตว์เมื่อนับจากต่ำขึ้นมา
ก็เป็นหมู่สัตว์ในอบายภูมิ หมู่สัตว์ในสุคติภูมิคือหมู่มนุษย์
และที่สูงขึ้นไปก็หมู่เทพหมู่พรหมทั้งหลาย
๖
ซึ่งรวมเข้าที่ตรัสแสดงไว้ก็เป็นวิญญาณฐิติที่ตั้งของวิญาณ ๗
หรือสัตตาวาสที่อยู่อาศัยของสัตว์ ๙
และก็ได้ตรัสเอาไว้ในอรูปฌานโดยยกข้อขึ้นพิจารณา
ในข้อที่ว่าอากาศไม่มีที่สุด วิญญาณไม่มีที่สุด
ในข้อว่าวิญญาณไม่มีที่สุดนี้ ก็แสดงว่าวิญญาณมีมากมายหาที่สุดมิได้
ก็วิญญาญอันหาที่สุดมิได้นี้เองซึ่งรวมอยู่ในคำว่าสัตตโลก หรือสัตวโลก
โลกคือหมู่สัตว์ ซึ่งวนเวียนเกิดแก่ตาย จุติคือเคลื่อนออกจากกายที่แตกสลาย
อุปบัติคือเข้าถึงภพชาติใหม่ ก็เป็นไปอยู่ดั่งนี้
ดังที่ปรากฏแก่พระญาณของพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนแต่ตรัสรู้
ซึ่งทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่รู้ระลึกขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้
ดังที่เรียกสั้นๆว่าระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณ ญาณที่รู้จุติคือความเคลื่อน
และอุปบัติคือความเข้าถึงชาติภพนั้นของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม
และอาสวักขยญาณ ญาณที่รู้ความสิ้นไป หรือญาณคือความรู้เป็นเหตุสิ้นไปของอาสวะ
คือกิเลสที่ดองจิตสันดาน อันได้แก่รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์
รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อีกอย่างหนึ่งก็คือรู้จักโลก รู้จักเหตุเกิดโลก รู้จักความดับโลก รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับโลก
และได้ทรงรู้จักอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดาน รู้จักเหตุเกิดอาสวะ รู้จักความดับอาสวะ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น จึงทรงตรัสรู้โลกนี้เอง และก็ทรงนำความตรัสรู้นี้มาสอนโลก
คือทรงนำความรู้ที่ทรงรู้จักโอกาสโลก สังขารโลก สัตวโลก มาทรงสอนโลก
คือทรงสอนสัตวโลกให้บรรลุสุขประโยชน์ตามภูมิตามชั้น
ตามแต่สัตวโลกนั้นๆจะมีความเป็นภัพพบุคคล คือบุคคลผู้ที่สมควรเพียงไร
หรือเป็นเวไนยยะจะพึงแนะนำได้เพียงไร และซึ่งเป็นปุริสทัมมะคือเป็นบุคคลที่ฝึกได้เพียงไร
๗
พระองค์ได้ทรงรู้โลกโดยสมมติต่างๆ และได้ทรงรู้จักโลกปรมัตถ์
คือโดยที่ชื่อว่าโลกนี้ก็เพราะเป็นสิ่งที่ชำรุด สิ่งใดที่ชำรุดสิ่งนั้นได้ชื่อว่าเป็นโลก
เพราะฉะนั้นที่ขึ้นชื่อว่าโลกจะมีสมมติบัญญัติเรียกว่าอะไร
เช่นเรียกว่า โอกาสโลก สังขารโลก สัตวโลก
หรือเรียกย่อยออกไปเป็นอย่างอื่นอย่างไรก็ตาม แต่ก็รวมเข้าในคำเดียวว่าชำรุด
เพราะฉะนั้น อรรถะที่เป็นปรมัตถ์คือที่เป็นเนื้อความอย่างละเอียดที่สุด
ย่อที่สุดของโลกก็คือว่าชำรุด สิ่งใดชำรุดสิ่งนั้นได้ชื่อว่าโลก
และตรงกันข้ามกับธรรมะ สิ่งใดที่ดำรงอยู่สิ่งนั้นได้ชื่อว่าธรรม
เพราะฉะนั้น โลกจึงเป็นสิ่งที่ชำรุด ธรรมจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่
ก็ได้แก่สัจจะที่เป็นตัวความจริง ตลอดจนถึงนิพพาน
เพราะฉะนั้น โลกโดยปรมัตถ์จึงเป็นสิ่งที่ชำรุด เป็นสิ่งที่เป็นอนิจจะไม่เที่ยง ต้องเกิดดับ
เป็นสิ่งที่ชื่อว่าทุกขะเป็นทุกข์ คือดำรงอยู่คงที่มิได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
และเป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน คือมิใช่เรามิใช่เป็นของเรา จะบังให้เป็นไปตามปรารถนามิได้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงรู้จักโลกดั่งนี้ จึงได้ชื่อว่าโลกวิทูผู้รู้โลก
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*