ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 18 ธันวาคม 2555 12:54
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป154
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
มรรค ๘ เอโกมรรคโค ๒
องค์ฌาน ๔
บริกัมมสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ ๕
อานาปานสติเบื้องต้น วิตก วิจาร ๖
อาลัยของจิตที่เป็นกามาพจร ๗
สมาธิสุข ๘
เอกัคคตา ๙
เหตุให้ทำสมาธิไม่ได้ ๙
ปีติสุขในสมาธิ ๑๐
อธิบายขั้นตอนของการเกิดสมาธิดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๘๕/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๘๕/๒ ( File Tape 144 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงอริยสัจจ์ข้อทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ปฏิปทาข้อปฏิบัติ
หรือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันเรียกว่ามรรค อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ ๔
พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้มรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ว่าได้แก่มรรคคือทางมีองค์ ๘
อันได้แก่สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ
สัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติระลึกได้ชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ
มรรค ๘ เอโกมรรคโค
มรรคมีองค์ ๘ นี้ พึงเข้าใจว่าไม่ใช่หมายถึง ๘ ทาง แต่ว่าเป็น เอโกมรรคโค
คือเป็นทางอันเดียว ซึ่งประกอบด้วยองค์คุณ หรือองค์สมบัติ ๘ ประการ
รวมเป็นเอโกมรรคโคคือทางอันเดียว
๒
ข้อแรกสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ก็ได้แก่ญาณคือความหยั่งรู้จักทุกข์
ความหยั่งรู้จักทุกขสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ ความรู้จักทุกขนิโรธความดับทุกข์
ความรู้จักทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
สำหรับ ๓ ข้อแรกคือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ได้แสดงมาแล้วโดยลำดับ
ในข้อมรรคมีองค์ ๘ ที่กล่าวในวันนี้ ก็เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ที่ตรัสสอนไว้นี้คือสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ก็ได้แก่เนกขัมมะสังกับโปความดำริออก
คือออกจากกาม ออกจากเครื่องข้องขัดทั้งหลาย ก็คือกามนั้นเอง
อัพยาปานะสังกัปปะความดำริไม่ปองร้าย อวิหิงสาสังกัปปะความดำริไม่เบียดเบียน
นี้คือสัมมาสังกัปปะความดำริชอบ
สัมมาวาจาเจรจาชอบก็ได้แก่ เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน
เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล นี้คือสัมมาวาจาเจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะการงานชอบก็ได้แก่ เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง
เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
หรือเว้นจากอพรหมจริยกิจ กิจที่มิใช่กิจของพรหมจรรย์ นี้คือสัมมากัมมันตะการงานชอบ
สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ ก็คือเว้นจากมิจฉาอาชีวะเลี้ยงชีวิตในทางผิด
สำเร็จชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะ อาชีวะที่ถูกชอบ นี้คือสัมมาอาชีวะ
( เริ่ม ๑๘๕/๒ ) สัมมาวายามะเพียรชอบ ก็คือเพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ ไม่เสื่อมตกต่ำแต่ให้ทวียิ่งขึ้นจนบริบูรณ์
นี้คือสัมมาวายามะเพียรชอบ
๓
สัมมาสติระลึกได้ชอบก็ได้แก่สติปัฏฐานทั้ง ๔
คือตั้งสติพิจารณากาย ตั้งสติพิจารณาเวทนา ตั้งสติพิจารณาจิตใจ
ตั้งสติพิจารณาธรรมะคือเรื่องในจิตใจ นี้คือสัมมาสติระลึกได้ชอบ
สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ ก็ได้แก่ความทำจิตให้เป็นสมาธิ
คือตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างสูงก็ถึงฌานทั้ง ๔ คือความเพ่งทั้ง ๔
คือทำจิตให้สงบระงับจากกามทั้งหลาย สงบระงับจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เข้าถึงปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ที่มีวิตกความยกจิตขึ้นสู่สมาธิ
วิจารความประคองจิตไว้ให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธินั้น
ปีติความอิ่มใจ สุขความสบายกายสบายใจ อันเกิดจากวิเวกคือความสงบสงัด
องค์ฌาน
ปฐมฌานนี้จึงมีองค์ ๕ อันได้แก่วิตกความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ
วิจารความประคองจิตไว้ในอารมณ์ของสมาธิ ปีติความอิ่มใจ สุขะความสบายกายสบายใจ
และเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว นี้เป็นฌานที่ ๑
เมื่อได้ฌานที่ ๑ แล้ว ทำสมาธิต่อไปก็เลื่อนขึ้นเป็นฌานที่ ๒
คือสงบระงับวิตกและวิจาร เข้าถึงทุติยฌาน ฌานที่ ๒
ซึ่งมีความผ่องใสแห่งใจในภายใน มีธรรมะอันเอกคืออันเดียวผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร แต่มีปีติ มีสุข อันเกิดจากสมาธิ
ฌานที่ ๒ จึงมีองค์ ๓ คือละวิตกวิจาร มีแต่ปีติสุขและเอกัคคตา
ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว นี้เป็นทุติยฌาน ฌานที่ ๒
เมื่อทำสมาธิต่อไป ก็เลื่อนขึ้นเป็นฌานที่ ๓ คือสงบปีติคือความอิ่มใจเสียได้
มีอุเบกขาคือความเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ ซึ่งพระอริยะทั้งหลายกล่าวไว้ว่า มีอุเบกขา มีสุข
อยู่เป็นสุข ดั่งนี้ เข้าถึงตติยฌาน ฌานที่ ๓ ซึ่งมีลักษณะดั่งนี้
๔
ฌานที่ ๓ จึงมีองค์คือมีสุขและเอกัคคตารวมเป็น ๒ นี้เป็นฌานที่ ๓
เมื่อทำสมาธิต่อไปก็เลื่อนขึ้นเป็นฌานที่ ๔ ละสุขละทุกข์ได้ มีโสมนัสและโทมนัสดับไป
เข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีสติที่บริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
ฌานที่ ๔ นี้จึงมีองค์ ๒ คือมีเอกัคคตาความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
และอุเบกขาความเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ นี้เป็นฌานที่ ๔
ฌานที่ ๔ นี้ก็เป็นที่สุดของฌานทั้ง ๔ นี้คือสัมมาสมาธิความตั้งจิตมั่นชอบ
บริกัมมสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ
อันสมาธินี้ที่เป็นถึงฌานเรียกว่าเป็นสมาธิขั้นสูง
หากจะกล่าวโดยลำดับก็อาจจะกล่าวได้ว่า สมาธิขั้นต่ำเป็น บริกัมมสมาธิ
สมาธิในขณะที่บริกรรม คือปฏิบัติรวมจิตเข้ามากำหนดอารมณ์ของสมาธิ
เช่นกำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ได้สมาธิในบริกรรม
คือในการเริ่มปฏิบัติ นี้เป็นบริกัมมสมาธิ
เมื่อปฏิบัติได้บริกัมมสมาธิต่อไปจิตก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น แต่ยังไม่แน่วแน่
ใกล้จะแน่วแน่ ก็เรียกว่า อุปจาระสมาธิ สมาธิที่เป็นอุปจารคือใกล้ที่จะแน่วแน่
เมื่อปฏิบัติในอุปจาระสมาธิต่อไป จิตก็จะเป็นสมาธิที่แนบแน่นขึ้น
เป็น อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น อย่างสูงก็เข้าลักษณะแห่งองค์ฌาน
ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ดังที่กล่าวมาแล้ว
อนึ่ง ก็น่าพิจารณาว่าองค์ฌานที่ ๑ นั้น
เป็นองค์สมบัติของผู้ปฏิบัติสมาธิตั้งแต่ในเบื้องต้น คือตั้งแต่ในขั้นบริกัมมสมาธิ
ในขั้นอุปจาระสมาธิ ตลอดจนถึงในขั้นอัปปนาสมาธิ ในขั้นปฐมฌาน
ก็จะต้องอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ นี้นั้นเอง คืออาศัยวิตกวิจารปิติสุขและเอกัคคตา
๕
อานาปานสติเบื้องต้น
เช่นว่าการปฏิบัติทำอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
อันเป็นเบื้องต้นของสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่ตรัสสอนไว้ว่า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
หายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ว่าสั้น
ศึกษาว่าคือทำความกำหนดใจสำเหนียกใจว่า เราจักรู้กายทั้งหมด
คือรู้ทั้งรูปกายและนามกายนี้ทั้งหมด หายใจเข้าหายใจออก
ศึกษาว่าเราจักสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย คือเครื่องปรุงทั้งนามกายทั้งรูปกาย
เครื่องปรุงรูปกายก็ได้แก่ลมหายใจเข้าออกนั้นเอง เครื่องปรุงนามกายก็ได้แก่ตัณหา
เราจะระงับกายสังขารคือเครื่องปรุงกาย หายใจเข้าหายใจออก ดั่งนี้
ในการปฏิบัติทำสติกำหนดพิจารณาตามที่ตรัสสอนไว้นี้ก็ดี
และตามที่พระอาจารย์ได้สั่งสอนวิธีช่วยปฏิบัติในเบื้องต้นด้วยวิธีใช้นับ
หายใจเข้าหายใจออกก็นับ ๑-๑ หายใจเข้าหายใจออกก็นับ ๒-๒
เรื่อยไปจนถึง ๕-๕ แล้วกลับใหม่ ๑-๑ ถึง ๖-๖ ดั่งนี้เป็นต้น
จนถึง ๑-๑ ถึง ๑๐-๑๐ แล้วก็กลับมา ๑-๑ ถึง ๕-๕ ใหม่ เป็นการนับช้า
หรือว่านับเร็ว หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒-๓-๔ เรื่อยไปจนถึง ๑๐-๑๐
หรือว่าไม่ใช่วิธีนับ ใช้วิธีบริกรรมว่าพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
กลับไปกลับมาดั่งนี้
วิตก วิจาร
การเริ่มปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าเป็น บริกัมมภาวนา
ทำให้ได้ บริกัมมสมาธิ คือสมาธิในบริกรรม
ต้องอาศัย วิตักกะ วิตก คือยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิดังกล่าวมานี้
ยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจเข้าออก และกำหนดลมหายใจเข้าออกตามที่ตรัสสอนไว้
๖
หรือตามที่พระอาจารย์สอน เป็นการช่วยในการปฏิบัติ นี้เป็นวิตักกะคือวิตก
และต้องใช้ วิจาร คือความที่ประคองจิตไว้ในอารมณ์ของสมาธิดังกล่าว
อาลัยของจิตที่เป็นกามาพจร
ในขณะที่ปฏิบัติอยู่ในเบื้องต้นที่เป็นขั้นบริกัมมภาวนานี้ จิตจะตกหล่นอยู่เสมอ
คือเมื่อยกจิตขึ้นสู่ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็ไม่ค่อยจะยอมอยู่ ที่ท่านเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า
เหมือนอย่างจับปลาขึ้นจากน้ำ มาวางไว้บนบก ปลาก็จะดิ้นที่จะลงน้ำ
จิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อจับจิตมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็จะดิ้นเพื่อจะลงไปสู่อาลัยคือน้ำ
อันได้แก่กามคุณารมณ์ อารมณ์ที่เป็นกามคุณทั้งหลาย คือว่ารูป เรื่องรูปบ้าง
เรื่องเสียงบ้าง เรื่องกลิ่นบ้าง เรื่องรสบ้าง เรื่องโผฏฐัพพะบ้าง ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ
อันเป็นที่ตั้งของจิตที่เป็นกามาพจร คือยังท่องเที่ยวไปในกาม จิตก็จะดิ้นไปสู่อาลัยคือน้ำ
เหมือนอย่างปลาที่ดิ้นที่จับวางไว้บนบก ก็ดิ้นที่จะลงน้ำ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีสติ เมื่อระลึกรู้ตัวขึ้นได้ ก็นำจิตมากลับตั้งไว้ใหม่ในอารมณ์ของสมาธิ
คือในกรรมฐานที่ปฏิบัตินั้น แล้วก็มีวิจารคือต้องคอยประคองเอาไว้ไม่ให้ตก
แต่แม้จะมีวิตกมีวิจารคือคอยยกจิตกลับมาตั้งเอาไว้ แล้วก็ประคองเอาไว้ก็ดี
ก็ยังตกหล่นอยู่นั่นเอง ต้องอาศัยสติจับเข้ามาตั้งไว้ และประคองไว้ใหม่
เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนอุปการธรรมในการปฏิบัติไว้ว่า อาตาปีต้องมีความเพียร
ไม่หยุดความเพียร เพียรจับตั้งจิตมาตั้งไว้ใหม่ แล้วประคองไว้ใหม่ต่อไป
มีสัมปชัญญะคือความรู้ตัว มีสติคือความระลึกได้
และคอยกำจัดความยินดีความยินร้ายที่เกิดขึ้น
ความยินดีความยินร้ายที่ต้องคอยกำจัดอยู่นั้น
ก็คือต้องกำจัดความยินดีในกามคุณารมณ์ที่จิตชอบตกลงไป
๗
เพราะจิตที่เป็นกามาพจรก็เป็นดังกล่าวนั้น ย่อมชอบกามคุณารมณ์
เหมือนอย่างปลาชอบน้ำ น้ำเป็นที่อาศัยของปลา
กามคุณารมณ์ก็เป็นที่อาศัยของจิตที่เป็นกามาพจร
จึงต้องคอยกำจัดความยินดีในความที่จิตตกลงไปสู่กามคุณารมณ์
แล้วก็เพลินไปในกามคุณารมณ์ ต้องคอยกำจัดเสีย
ความยินร้ายนั้นที่เป็นข้อสำคัญ ก็คือความเบื่อหน่ายในสมาธิ
ทำให้เกิดความระอาความเบื่อหน่ายในการที่จะต้องมานั่งตั้งจิตไว้ในอารมณ์ของสมาธิ
และประคองจิตไว้ในอารมณ์ของสมาธิ ซึ่งรู้สึกว่าไม่มีความสุขอะไรเลย
น่าเบื่อหน่าย น่ารำคาญ นี่เป็นความยินร้ายต้องกำจัดเสีย
ถ้าหากว่ากำจัดความยินดีและความยินร้ายไม่ได้ ก็ทำสมาธิไม่ได้
จะต้องหยุด เพราะไม่สนุกอะไร ไม่เพลิดเพลินอะไร
สมาธิสุข
แต่หากว่าถ้ามีความเพียรเอาจริง มีสัมปชัญญะความรู้ตัว มีสติกำกับอยู่
แต่ว่าสู้หรือว่าดื้อทำสมาธิต่อไปแล้ว ครั้นจิตได้สมาธิขึ้นบ้าง
แม้เป็นบริกัมมสมาธิ สมาธิในบริกรรม หรือดีขึ้นเป็นอุปจาระสมาธิ
สมาธิในอุปจารคือว่าใกล้ที่จะแน่วแน่ เฉียดๆไปที่จะแน่วแน่
ก็ย่อมจะเริ่มได้ปีติคือความอิ่มใจ ได้สุขคือความสบายกายสบายใจในสมาธิ
เมื่อเริ่มได้ปีติได้สุขขึ้นมาดั่งนี้ ปีติและสุขนี้เองก็จะช่วยให้หายความยินร้ายในสมาธิ
หายเกลียดสมาธิ ทำให้เริ่มชอบสมาธิ เพราะได้ความสุขในสมาธิ
และเมื่อได้ปีติได้สุขในสมาธิขึ้นดั่งนี้ จิตก็จะเริ่มตั้งมั่นดีขึ้น
ความที่จิตเริ่มตั้งมั่นขึ้นนี้เรียกว่า เอกัคคตา ที่แปลว่าความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียวนี้ ก็คือเมื่อทำอานาปาสติ สติก็จะอยู่กับลมหายใจเข้าออก
๘
รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก รู้อยู่กับอารมณ์ของลมหายใจเข้าออกในชั้นหยาบๆนั้น
รู้อยู่กับตัวลมหายใจเข้าหรือตัวลมออกที่มากระทบที่ปลายจมูก หรือที่ริมฝีปากเบื้องบน
หรือรู้โดยอาการที่ท้องพองยุบเป็นต้น นี้เป็นอย่างหยาบ
เอกัคคตา
อย่างละเอียดนั้น จะรู้ในอารมณ์ของลมหายใจเข้าออก
แต่ว่าอารมณ์ของลมหายใจเข้าออกนั้นตั้งอยู่ในจิต จิตก็ตั้งจับอยู่กับอารมณ์อันนี้
แต่ว่าลึกเข้าไปถึงจิตใจ จนถึงในจิตใจนี้ไม่ตกไปสู่เรื่องอื่น
แต่อยู่กับอารมณ์ของลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว
นี้คือตัวสมาธิเรียกว่า เอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ดังที่กล่าวมานี้จะพึงเห็นได้ว่า แม้ในการปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น
ก็ต้องอาศัยองค์ของฌาน ที่เป็นปฐมฌานทั้ง ๕ นี้ คือต้องอาศัย วิตักกะ คือวิตก
วิจาระ คือวิจาร อาศัย ปีติ อาศัย สุข และอาศัย เอกัคคตา อันเป็นข้อสำคัญ
ตั้งแต่ในขั้นบริกัมมสมาธิ สมาธิในบริกรรม แต่เรียกว่าบริกัมมสมาธินั้น เพราะเป็นสมาธิสั้นๆ
ที่ตกไปอยู่บ่อยๆ ต้องยกมาตั้งไว้ประคองไว้บ่อยๆ เรียกว่าสั้นมาก
สมาธิในอุปจาระ สมาธิอุปจารคือตั้งมั่นมากขึ้น อยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าวมากขึ้นๆ
แต่ยังไม่ตั้งมั่นแน่วแน่ หรือแน่นอน จนถึงอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นแน่นอน
อยู่ได้นานตามที่ประสงค์ ( เริ่ม ๑๘๖/๑ ) ก็เข้าองค์ของฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นข้อแรก
เหล่านี้ต้องอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ ทั้งนั้น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
เหตุให้ทำสมาธิไม่ได้
คนที่ไม่สามารถจะทำสมาธิได้นานนั้น ก็เพราะเหตุว่ากำจัดความยินร้ายในสมาธิไม่ได้
เพราะยังไม่ได้ปีติได้สุขในสมาธิ ยังติดปีติสุขในกามคุณารมณ์
๙
จิตนั้นเองติดอยู่ในกามคุณารมณ์
จิตจึงตกไปสู่กามคุณารมณ์ ก็เพราะจิตติดอยู่ในกามคุณารมณ์
แต่ครั้นเมื่อมีความเพียรเอาจริง มีสัมปชัญญะความรู้ตัว มีสติระลึกได้
คอยกำจัดความยินร้ายในสมาธิเสีย พยายามทำต่อไป
จนจิตเริ่มได้สมาธิตั้งในขั้นอุปจาระสมาธิอัปปนาสมาธิดังกล่าวมานั้น
ก็จะเริ่มได้ปีติได้สุขขึ้นมา ทำให้จิตเริ่มได้ปีติได้สุขในสมาธิ จนถึงทำให้ติดในสมาธิ
อย่างที่บางคนคิดจะทำสมาธิเพียงสิบนาที แต่เมื่อได้ปีติได้สุขในสมาธิแล้ว
ก็อยู่ต่อไปเป็นยี่สิบนาที เป็นสามสิบนาที เป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง เป็นต้น
นี่ด้วยอำนาจของปีติสุขนี้เอง
ปีติสุขในสมาธิ
แต่ท่านก็สอนไม่ให้ติดในปีติและในสุข
ถึงเช่นนั้นปีติและสุขนี้ก็เป็นเครื่องทำให้จิตกลับมาชอบสมาธิได้
มีฉันทะคือความพอใจในสมาธิ ทำให้ทำสมาธิได้ และสำเร็จสมาธิขึ้น
จึงต้องอาศัยปีติอาศัยสุข จิตจึงจะเป็นเอกัคคตา
คือเป็นสมาธิได้ตั้งแต่ในขั้นบริกัมมสมาธิ ต่อมาก็อุปจาระสมาธิ
และเป็นอัปปนาสมาธิเข้าองค์ฌานจริงๆ คือเป็นปฐมฌานในที่สุด
เหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่พึงทำได้
และที่จะเป็นสมาธิได้พอสมควรนั้น อย่างน้อยก็จะต้องได้อุปจาระสมาธิ
อย่างดีขึ้นก็ควรจะให้ได้ถึงปฐมฌาน ซึ่งเป็นอันดับที่สืบต่อกันมา อันเป็นวิสัยที่จะพึงปฏิบัติได้
ส่วนที่ต้องการจะให้สมาธิแนบแน่นยิ่งกว่านั้น ก็ทำต่อขึ้นไปตามลำดับดังที่กล่าวมานี้
มรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
มัชฌิมาปฏิปทา ๒
ทางปฏิบัติให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ๓
ไตรสิกขา ๔
ปัญญาสิกขา ๔
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ๕
สัมมาสังกัปปะ ๖
สีลสิกขา ๖
จิตตสิกขา ๗
อธิบายขั้นตอนของการปฏิบัติในมรรค ๘ ดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๘๖/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๘๖/๒ ( File Tape 144 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นปัพพะคือข้อที่สุด
ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในมหาสติปัฏฐานสูตร
และได้แสดงอธิบายข้อที่ ๔ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ซึ่งเรียกสั้นว่ามรรคมีองค์ ๘ ซึ่งก็ได้จำแนกแสดงแล้ว
และก็พึงทราบเพิ่มเติม ดั่งที่จะได้แสดงในวันนี้
มัชฌิมาปฏิปทา
มรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นหลักปฏิบัติธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ตั้งแต่ในปฐมเทศนา เทศนาครั้งแรก
ว่าพระองค์ได้ทรงพบทางอันเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
ตั้งแต่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ คือสัตว์ผู้ที่จะได้ตรัสรู้ หรือผู้ที่ยังข้องอยู่เพื่อที่จะได้ตรัสรู้
๒
และได้ทรงปฏิบัติไปตามทางอันเป็นมัชฌิมาปฏิปทานี้ จึงได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔
ที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
ก็ได้มีพระพุทธาธิบายไว้ด้วยในปฐมเทศนานั้นว่า
คือเป็นทางปฏิบัติที่อยู่ตรงกลางระหว่างทางปฏิบัติที่สุดโต่งสองข้าง
คือกามสุขัลลิกานุโยค ความประกอบอยู่ด้วยความสุขสดชื่นในกาม เป็นสุดโต่งทางหนึ่ง
กับอัตตกิลมถานุโยค ความประกอบทรมานตนให้ลำบาก อีกทางหนึ่ง
พระพุทธเจ้าเองก่อนจะตรัสรู้
ในชั้นแรกยังมิได้ออกทรงผนวช ก็ทรงประทับอยู่ด้วยกามสุขัลลิกานุโยค
การประกอบตนด้วยความสุขสดชื่นในกามอย่างชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป
และเมื่อเสด็จออกทรงผนวช ได้ทรงเข้าศึกษาในสำนักของท่านอาจารย์ทั้งสอง
คืออาฬารดาบส และอุททกดาบส ซึ่งท่านเป็นผู้บรรลุชำนาญในสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘
แต่ทรงเห็นว่ายังไม่เป็นทางแห่งความตรัสรู้ จึงเสด็จออก และทรงเลือกบำเพ็ญทุกรกิริยา
คือทรมานกายให้ลำบากมีประการต่างๆ อันนับว่าเป็นทางสุดโต่งในด้านอัตตกิลมถานุโยค
การทรมาณตนให้ลำบาก เป็นอันว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาแล้วทั้งสองทาง
ทั้งกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค แต่ก็ไม่อาจที่จะตรัสรู้ได้
จึงได้ทรงพบทางที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
ไม่ข้องแวะด้วยทางที่เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ประกอบตนด้วยความสุขสดชื่นในกาม
และอัตตกิลมถานุโยค ประกอบทรมานตนให้ลำบาก อันได้แก่มรรคมีองค์ ๘ นั้นเอง
ทางปฏิบัติให้ได้ดวงตาเห็นธรรม
ทรงพบขึ้นด้วยพระองค์เอง และก็ได้ทรงดำเนินไปในทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา
คือมรรคมีองค์ ๘ นี้ ซึ่งเป็นเครื่องกระทำให้ได้จักษุดวงตาเห็นธรรม
เป็นเครื่องกระทำให้ได้ญาณคือความหยั่งรู้ในธรรม จึงได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔
และมัชฌิมาปฏิปทาคือมรรคมีองค์ ๘ ก็ตรัสว่าเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ ๔
๓
คือเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ไตรสิกขา
ฉะนั้น จึงได้ตรัสมรรคมีองค์ ๘ นี้ตั้งแต่ในปฐมเทศนา
ก่อนที่จะได้ทรงแสดงไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ได้ทรงแสดงในตอนหลังต่อมา
และศีลสมาธิปัญญาคือไตรสิกขา สิกขาทั้ง ๓ คือข้อที่พึงศึกษาคือสำเหนียก
เมื่อยังไม่รู้ก็สำเหนียกให้รู้ เมื่อยังมิได้ปฏิบัติก็สำเหนียกปฏิบัติให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น
อันเรียกว่าไตรสิกขานี้ก็ได้นับถือเป็นหลักปฏิบัติโดยย่อ เป็นที่รวมของธรรมปฏิบัติทั้งสิ้น
และมรรคมีองค์ ๘ นี้เองก็ย่อเข้าในไตรสิกขา คือศีลสมาธิปัญญานี้ได้
สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ ย่อเข้าในปัญญาสิกขา
สัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ
สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ ย่อเข้าในสีลสิกขา
สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติระลึกได้ชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ
สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขาคือสมาธิ
เพราะฉะนั้น ในมรรคมีองค์ ๘ จึงได้จัดลำดับปัญญาสิกขาไว้เป็นที่ ๑
สีลสิกขาไว้เป็นที่ ๒ จิตตสิกขาคือสมาธิไว้เป็นที่ ๓
ฉะนั้น จะได้แสดงอธิบายไตรสิกขาตามหลักของมรรคมีองค์ ๘
ปัญญาสิกขา
ปัญญาสิกขาอันได้แก่สัมมาทิฏฐิก็ได้แก่ ญาณคือความหยั่งรู้จักทุกข์
ญาณคือความหยั่งรู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ญาณคือความหยั่งรู้จักนิโรธความดับทุกข์
ญาณคือความหยั่งรู้จักทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่ง ปัญญาสิกขานี้ก็ได้แก่เนกขัมมสังกัปปะความดำริออกจากเครื่องพัวพันทั้งหลาย
๔
อัพยาปานะสังกัปปะความดำริไม่พยาบาทปองร้าย อวิหิงสาสังกัปปะความดำริไม่เบียดเบียน
ญาณคือความหยั่งรู้จักอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อันเป็นสัมมาทิฏฐิ
และสังกัปปะคือความดำริทั้ง ๓ ดำริออกจากเครื่องพัวพันทั้งหลาย
ดำริไม่ปองร้าย ดำริไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นสัมมาสังกัปปะ จัดเป็นปัญญาสิกขา
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการปฏิบัติในปัญญาสิกขาตามหลักของอริยมรรค์มีองค์ ๘
คือข้อสัมมาทิฏฐิ ก็หัดพิจารณาทำความรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั่นแหละ อันเป็นปริยัติ
หมั่นพิจารณาเพื่อที่จะให้ได้เกิดปัญญา คือความหยั่งรู้ขึ้นที่ตนเองด้วยตนเอง อันเป็นปฏิบัติ
และจนถึงสามารถเจาะแทงอวิชชาโมหะ ทำความรู้แจ่มแจ้งในอริยสัจจ์
ให้บังเกิดขึ้นตามภูมิตามชั้น จึงนับเป็นปฏิเวธ
นี้เป็นการหัดปฏิบัติทำปัญญาสิกขาตามหลักของสัมมาทิฏฐิ
และหัดปฏิบัติในความดำรินึกคิดตริตรองไปในทางออกอยู่เสมอ
ไม่ยอมให้ติดข้องพัวพันอยู่ในกามคุณารมณ์เป็นต้น
หัดทำใจออกจากความผูกพันเกี่ยวเกาะดังกล่าวนี้อยู่เสมอ
และหัดดำริไปในทางที่ไม่ปองร้าย แต่ให้ประกอบด้วยเมตตากรุณาแผ่ออกไป
หัดดำริคิดนึกตรึกตรองในทางไม่เบียดเบียน แต่ให้เป็นไปในทางช่วยเหลือเกื้อกูล
ซึ่งก็สงเคราะห์เข้าในเมตตากรุณาคล้ายๆกัน
แต่อวิหิงสาวิตก หรืออวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริในทางไม่เบียดเบียน
ท่านมุ่งแสดงแยกออกมาด้วยต้องการที่จะแยกว่า
อันความคิดเบียดเบียนนั้นเป็นไปด้วยโมหะคือความหลง
ส่วนความคิดปองร้ายนั้นเป็นไปด้วยโทสะ
๕
เพราะฉะนั้น ดับโทสะก็ด้วยอาศัยเมตตากรุณา ดับวิหิงสาก็ด้วยอาศัยปัญญา
คือแม้ว่าจะไม่มีโทสะโกรธแค้นขัดเคือง แต่ทำไปด้วยโมหะคือความหลง
ก็เป็นไปเพื่อเบียดเบียนใครต่อใครให้เป็นทุกข์ได้
เพราะฉะนั้น ก็มุ่งที่จะให้ปฏิบัติละทั้งราคะโทสะโมหะ หรือโลภะโทสะโมหะ
ดำริไปในทางออกนั้นเป็นไปเพื่อละราคะหรือโลภะ ดำริไม่ปองร้ายนั้นเป็นไปดับโทสะ
ดำริไม่เบียดเบียนนั้นเป็นไปเพื่อดับโมหะ คือความเบียดเบียนนั้นที่เป็นไปด้วยโมหะ
ก็อาจจะเบียดเบียนได้ทั้งตนเองทั้งผู้อื่น
สัมมาสังกัปปะ
ฉะนั้นจึงต้องอาศัยปัญญาที่รู้จักคิดนึกตรึกตรองไป
ในทางที่จะออกจากราคะหรือโลภะ ด้วยเนกขัมมสังกัปปะ
ในทางที่จะดับหรือออกจากโทสะ ด้วยอัพยาปานะสังกัปปะ
และในทางที่จะออกจากโมหะ ด้วยอวิหิงสาสังกัปปะ
หัดใช้ความคิดไปในทางดับกิเลสดั่งนี้ ไม่ใช้ความคิดไปในทางก่อกิเลส
กองราคะหรือโลภะ กองโทสะหรือกองโมหะขึ้นมา
ก็เป็นการปฏิบัติปัญญาสิกขา ด้วยอาศัยสัมมาสังกัปปะ นี้เป็นปัญญาสิกขา
สีลสิกขา
ในส่วนสีลสิกขา ก็พึงหัดปฏิบัติทำความงดเว้นทางวาจา
อาศัยสัมมาวาจา วาจาชอบ คือไม่พูดเท็จ
ไม่พูดส่อเสียดยุแหย่ให้แตกสามัคคีกัน ไม่พูดคำหยาบด่าว่าใครต่อใครให้เจ็บแสบ
( เริ่ม ๑๘๖/๒ ) ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล แต่พูดจามีหลักฐานยุติด้วยธรรมด้วยวินัย
งดเว้นทางวาจาดั่งนี้ อาศัยสัมมาวาจาเจรจาชอบ
๖
และปฏิบัติงดเว้นทางกาย อาศัยสัมมากัมมันตะการงานชอบ
ด้วยการเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป
เว้นการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ด้วยความที่เป็นขะโมยคือลักฉ้อ
เว้นจากประพฤติในกามทั้งหลาย หรือเว้นจากอพรหมจริยกิจ
เมื่อเว้นดั่งนี้ทางกายก็เป็นปฏิบัติในสีลสิกขา อาศัยสัมมากัมมันตะการงานชอบ
และเว้นจากมิจฉาอาชีวะเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด สำเร็จความเลี้ยงชีวิตในทางชอบถูกต้อง
ก็เป็นการปฏิบัติในสีลสิกขา อาศัยสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ นี้เป็นการปฏิบัติในสีลสิกขา
อาศัยสัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ
จิตตสิกขา
อนึ่ง ปฏิบัติในจิตตสิกขาหรือสมาธิความตั้งใจมั่น อาศัยสัมมาวายามะเพียรชอบ
คืออาศัยสังวรปธานความตั้งใจมั่นในอันที่จะระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
ความตั้งใจมั่นในอันที่จะละบาปอกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว ปหานปธาน
ความตั้งใจมั่นในภาวนาปธาน คือเพียรทำบุญทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
ความตั้งใจมั่นในอนุรักขณาปธาน เพียรรักษาบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมลง
แต่ให้เจริญงอกงามมากขึ้น นี้เป็นการปฏิบัติในจิตตสิกขาหรือสมาธิ
อาศัยสัมมาวายามะเพียรชอบ
อนึ่ง ตั้งใจมั่นในอันกำหนดสติตามดูตามรู้ตามเห็นกายเวทนาจิตธรรม
คือสติปัฏฐานทั้ง ๔ ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติในจิตสิกขาคือสมาธิ อาศัยสัมมาสติระลึกชอบ
อนึ่ง ตั้งใจมั่นเป็นสมาธิในกรรมฐานอันเป็นที่ตั้งของสมาธิทั้งหลาย
จนได้บริกัมมสมาธิ สมาธิในบริกรรม
อุปจาระสมาธิ สมาธิเป็นอุปจารคือใกล้ที่จะแน่วแน่แนบแน่น
จนถึงอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่แนบแน่น เข้าขั้นฌานคือความเพ่ง
๗
คือจิตสงบสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย
เข้าถึงปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีวิตกความตรึก มีวิจารความตรอง
มีปีติ มีสุข อันเกิดจากวิเวกคือความสงบสงัด มีเอกัคคตา คือมีจิตที่มีอารมณ์เป็นอันเดียว
และยิ่งขึ้นไปก็สงบวิตกวิจาร เข้าถึงทุติยฌาน ฌานที่ ๒
คือมีความผ่องใสใจ ณ ภายใน มีธรรมเอกคือความเป็นหนึ่งผุดขึ้นเป็นไป ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร
มีปีติสุขอันเกิดจากสมาธิคือความตั้งจิตมั่น มีเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็ละปีติเสียได้ มีอุเบกขาอยู่ มีสติมีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยกาย คือด้วยรูปกาย ด้วยนามกาย เข้าถึงตติยฌาน ฌานที่ ๓
ซึ่งพระอริยะเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า มีอุเบกขา มีสติ มีสุขะวิหาร คือธรรมะเป็นเครื่องอยู่ คือสุข
และจิตเป็นเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เพราะละสุขละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสโทมนัส
เข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีอุเบกขา มีสติที่บริสุทธิ์อยู่ ทั้งมีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ความทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นได้ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้นี้
ก็ชื่อว่าได้ปฏิบัติทำจิตตสิกขาคือสมาธิ อาศัยสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ
เป็นอันว่าชื่อว่าได้ปฏิบัติทำจิตตสิกขาคือสมาธิ
อาศัยสัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติระลึกได้ชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ
ผู้ปฏิบัติธรรมจึงอาจหัดปฏิบัติไตรสิกขา คือศีลสมาธิปัญญา
อาศัยอริยะมรรคทั้ง ๘ ประการได้ดั่งนี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*