佛遺教經

พุทธปัจฉิมโอวาทสูตร

แปลโดย เย็นเจี่ยวภิกขุ

 (一) 經序 釋迦牟尼佛。初轉法輪。度阿若橋陳如。最後說法。度須跋 陀羅。所應度者。皆已度迄。於婆羅雙樹間。將入涅槃。是時中 夜。寂然無聲。為諸弟子。略說法要。

๑. สูตรกถามุข

            สมเด็จพระศรีศากยะมุนีพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมธรรมจักรโปรดพระอัญญาโกณฑัญญะ และทรงแสดงปัจฉิมธรรมเทศนาโปรดพระสุภัทระ พระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณต่อเวไนยนิกร ทรงโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งห้วงมหาสมุทรสาครมากไม่มีประมาณ ขณะที่พระองค์ทรงประทับสีหไสยาอยู่ระหว่างโคนต้นสาละพฤกษ์ ทั้งคู่ ณ เมืองกุสินารานคร ทรงจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เวลานั้นแลเป็นกาลราตรี แห่งมัชฌิมยาม ปริวารมณฑลเงียบสงัดปราศจาก สรรพเสียงสําเนียงใด ๆ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่บรรดาสาวกทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงตรัสประทานสารธรรมที่ สําคัญไว้ดังนี้

 (二) 持戒

汝等比丘。於我滅後。當尊重珍敬波羅提木叉。如闇遇明。 貧人得寶。當如此則是汝等大師。若我住世。無異此也。持淨戒 者。不得販賣貿易。安置田宅。蓄養人民。奴婢畜生。一切種植 。及諸財寶。皆當遠離。如避火坑。不得斬伐草木。墾土掘地。 合和湯藥。占相吉凶。仰觀星宿。推步盈虛。曆數算計。皆所不 應。節身時食。清淨自活。不得參預世事。通致使命。咒術仙藥 結好貴人。親厚媟嫚。皆不應作。當自端心。正念求度。不得包 藏瑕疵。顯異惑眾。於四供養。 知量知足。趣得供事。不應蓄積。此則略說持戒之相。戒是正順解脫之本故名波羅提木叉。因 依此戒。得生諸禪定。及滅若智慧。是故比丘。當持淨戒。勿令 毁缺。若人能持淨戒。是則能有善法。若無淨戒。諸善功德。皆 不得生。是以當知成為第一安穩功德住處。

๒. เจริญศีล

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อเราตถาคตปรินินิพพานล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลาย พึงเคารพบูชาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติตามในพระปาฏิโมกข์สังวร ซึ่งอุปมา ตั้งอยู่ในท่ามกลางแห่งความมืดได้พบแสงสว่าง แหละประดุจดังผู้ยากไร้อนาถาได้ค้น พบรัตนมณีอันล้ำค่าฉะนั้น จึงมนสิการธรรมและวินัยอันเราผู้ตถาคตได้แสดงแล้ว ได้ บัญญัติไว้แล้ว จักเป็นองค์บรมศาสดาแห่งเธอทั้งหลาย เช่นเดียวกับเมื่อเราตถาคตยัง ดํารงชีพอยู่ ผู้สมาทานรักษาวินัยถึงพร้อมด้วยมรรยาท และโคจรอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ แล้วนั้นจะต้องงดเว้นจากการเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายแลกเปลี่ยน เว้นจากการก่อสร้าง สะสมไร่นาที่ดินเคหะสถาน เว้นจากการรับเลี้ยงคนข้าทาสบริวารตลอดสัตว์เดรัจฉาน เว้นจากการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาทุกชนิด และเว้นจากการสะสมทรัพยสมบัติและสิ่ง ของพัศดุ์อันมีค่า มิจฉาอาชีวะเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งควรละให้ห่างไกล เสมือนกับ การหลบหลีกจากชุมเพลิงฉะนั้น และไม่ทําลายตัดโค่นพืชคามและภูตคาม ไม่ประกอบการทําไร่ไถนาบุกเบิกขุดที่ดิน ไม่ประกอบการปรุงเภสัชกรรม ไม่ประกอบการทํานาย ลักษณะดูโชคเคราะห์ ไม่ทนายเหตุการณ์หรือทํานายดวงชตาราศรีดีร้ายไม่ทําการ

คํานวณดูฤกษ์ยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทํา จงสํารวมในการบริโภค ดำรงชีวิตของตนให้บริสุทธิ์และมักน้อยยินดีในความสันโดษ ไม่คลุกคลีมั่วสมประกอบกิจการทางโลก ไม่รับอาสาเจรจาติดต่อ และงดเว้นจากการเป็นหมอเวทมนต์คาถาอาคม ปลุกเสกว่านยาอาถรรพณ์ เว้นจากการคบค้าสมาคมกับผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่สนิทสนมชิดชอบกับผู้เย่อหยิ่งจองหอง บรรดาธรรมเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ เธอทั้งหลายพึงตั้งใจให้แน่วแน่ มีสติตั้งมั่นแสวงหาวิโมกข์ธรรม ไม่แอบแฝงไว้ด้วยราคีมลทินข้อบกพร่องด่างพร้อยใด ๆ ไม่แสดงอวดอุตตริมนุสสธรรมต่อมหาชน เพื่อมุ่งหวังในจตุปัจจัยเครื่องอาศัย (จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยารักษารค) จงรู้จักพอประมาณยินดีในสิ่งที่ตนได้รับ ไม่ควรทำการบริโภคเก็บสะสมออมไว้ นี่คือ สรุปความลักษณะของศีล ศีลเป็นมูลรากฐานน้อมนําไปสู่วิมุตติ (ความหลุดพ้น) ฉะนั้นจึงเรียกชื่อศีลนี้ว่าพระปาฏิโมกข์ เพราะเหตุอาศัยศีลนี้แล ญาณสมาธิจึงบังเกิด ตลอดจนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงดับทุกข์ทั้งมวลด้วยปัญญา ด้วยเหตุนี้แล ภิกษุทั้งหลาย จงเจริญศีลให้บริบูรณ์ มีปรกติเห็นเป็นภัยแม้ในโทษที่เล็กน้อย อย่าให้เกิดความขาดตกบกพร่องด่างพร้อย หากบุคคลใดสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว จึงกําหนดรู้ว่าผู้นั้นแลสามารถทรงไว้ซึ่งกุศลธรรม ถ้าปราศจากปาริสุทธิศีลแล้วไซร บุญกุศล ทั้งหลายก็จะหาบังเกิดขึ้นมาไม่ ฉะนั้นจึงมนสิการไว้ว่า คุณสมบัติแห่งศีลนั้นเป็น อุปการะชั้นเอก ในการดําเนินซึ่งจะทรงบรรดาบุญกุศลไว้อย่างมั่นคงสถาพร

 (三) 制 心

            汝等比丘。已能住戒。當制五根。勿令放逸。入於五欲。譬如牧牛之人。執仗視之。不令縱逸。犯人苗稼。若縱五根。非唯 五欲將無涯畔。不可制也。亦如惡馬。不以轡制。將當牽之墬於 防陷。如被刼害。苦止一世。五根戰禍。殃及累世。為害甚重。 不可不慎。是故智者制而不隨。持之如賊。不令縱逸。假令縱之 o皆亦不久。見其磨滅。此五根者。心為其主。是故汝等。當好 制心。心之可畏。甚於毒蛇惡獸怨賊。大火越逸。未足喻也。 譬如有人。手執蜜器。動轉輕躁。但觀於蜜。不見深坑。譬如狂象無鈎。猿猴得樹。騰躍踔躑。難可禁制。當急挫之。無令放逸 。縱此心者。喪人善事。制之一處。無事不辨。是故比丘。當勤 精進・折伏汝心

๓. ควบคุมจิตใจ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเธอสามารถรักษาวินัยได้โดยพร้อมมูลแล้ว ต่อไป พึงเป็นผู้สํารวมอินทรีย์ทั้งห้า (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) อย่าประมาทปล่อยใจให้ถูกชักนําไป ตามอํานาจแห่งเบญจกามคุณ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) อุปมาเหมือนกับบุรุษเลี้ยงโด ถือไม้ปฏักคอยควบคุมดูแลฝูงโค มิปล่อยให้ฝูงโคไปเหยียบย่ำต้นข้าวออ่นของชาวนา ฉะนั้น ถ้าหากปล่อยอินทรีย์ทั้งห้า โดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งอารมณ์ มิเพียงแต่ตกอยู่ในห้วงกามคุณเท่านั้น หากจะตกเป็นทาสแห่งตัณหาและกิเลส อันปราศจากขอบเขต สุดที่จะควบคุมไว้ได้อีกด้วย ประดุจดังอาชาที่พยศมิได้ใช้บังเหียนเหนี่ยวรั้งไว้ ย่อมจะพาผู้ที่นําไปตกเหวลึก หรือเปรียบเสมือนถูกโจรปล้นสดมภ์ ก็เพียงแต่ทุกข์เศร้าโศกเสียใจเพียงแต่ทุกข์เศร้าโศกเสียใจเพียงชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น แต่การถูกปล้นสดมภ์ทางอินทรีย์ทั้ง ห้านี้ จะก่อให้เกิดความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสสืบเนื่องต่อกันตลอดหลายภพหลาย ชาติ เป็นมหาภัยหนักอย่างมหันต์ จึงต้องควบคุมระวังไว้ให้ดี เพราะฉะนั้นแล บัณฑิตทั้งหลายต้องรู้จักสํารวมควบคุมอินทรีย์ มิให้ปล่อยไปตามอารมณ์แห่งความ ฟุ้งซ่าน คอยระมัดระวังเหมือนกับป้องกันโจรมิให้หลุดจากที่คุมขัง จึงควบคุมด้วยความไม่ประมาท ถ้าหากปล่อยไปตามกระแสอารมณ์แห่งความฟุ้งซ่านแล้วไซร้ ในมิช้าก็จะถึงแก่ความหายนะอย่างใหญ่หลวง อินทรีย์ทั้งห้านี่แลมีใจเป็นใหญ่ เพราะเหตุฉะนี้ เธอทั้งหลายจึงคอยสํารวมรักษาใจให้ดี หากใจที่ปราศจากการคุ้มครอง ปล่อยไปตามกระแสอารมณ์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าอสรพิษสัตว์ร้าย โจรภัย และน่ากลัวยิ่งกว่ามหาอัคคีภัย ซึ่งอันจะนํามาเปรียบเทียบกับการปล่อยไป ตามอารมณ์แห่งความฟุ้งซ่านนั้นมิได้ อุปมัยบุรุษผู้หนึ่งกําลังถือภาชนะน้ำผึ้งเร่งรีบเดินทางอย่างใจร้อน และ มัวแต่คอยพะว้าพะวงในการประคองภาชนะน้ำผึ้ง หาได้แลเห็นภัย (เหวลึก) อยู่เบื้องหน้าไม่ หรือประดุจดังคชสารตกมันที่ปราศจากขอช้าง  อนึ่ง ดังค่างและวานรหลุดพ้นจากที่คุมไปพบต้นไม้ก็ผาดโผนกระโจนห้อยโหน เป็นการยากลําบากที่จะควบคุม ฉะนั้นจงรีบเร่งระวังอย่าได้ประมาท การสูญเสียชีวิตจะดีกว่า ที่จะปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นทางทําลายจริยากุศลธรรม ถ้าสามารถควบคุมคุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย ก็จะเป็นผลนำความสำเร็จในธรรมทั้งมวล ด้วยเหตุนี้แล ภิกษุทั้งหลาย เธอจงหมั่นเพียรพยายามสํารวมรักษาใจให้ดี อย่าได้ถูกกามคุณชักนําไป

 (四) 節食

            汝等比丘。受諸飲食。當如服藥•於好於惡。勿生增減。趣 得支身。以除饑渴。如蜂採華。但取其味。不損香色。比丘亦爾 。受人供養。趣自除惱。無得多求。壞其善心。譬如智者。籌量 牛力。所堪多少。不令過分。以竭其力。

๔. รู้จักประมาณในโภชนะ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธานั้น จึงถือเสมือน ฉันเภสัช ปราศจากความยินดียินร้ายในรสอาหารไม่ว่าดีหรือเลว แต่ฉันเพียงเพื่อให้ กายนี้ตั้งอยู่ได้เพื่อให้ชีวิตเป็นไป กําจัดเวทนาความหิวกระหายเสีย อุปมาภุมรินทร์ตอมบุบผา เพียงแต่ลิ้มรสแห่งบุบผาเท่านั้น โดยไม่ได้ทําลายกลิ่นหอมและรูปสันของบุบผา ภิกษุก็เช่นเดียวกัน รับโภชนาที่ผู้ถวายด้วยศรัทธา ฉันเพื่อขจัดความทุกข์เกิดจาก เวทนา และพึงรู้จักประมาณอย่าเป็นผู้มักมาก อันจะเป็นหนทางทําลายและถูกติเตียน จากทายกผู้มีจิตศรัทธา จงประพฤติอย่างบัณฑิตผู้ฉลาด สามารถรู้จักประมาณกําลังแห่งโค จะทานน้ำหนักได้กี่มากน้อย และมิให้บรรทุกน้ำหนักมากเกินกําลังของโค ฉะนั้น

(五) 戒 睡眠

            汝等比丘。畫則勤心修習善法。無令失時。初夜後夜。亦勿 有廢。中夜誦經。以自消息。無以睡眠因緣。令一生空過。無所得也。當念無常之火。燒諸世間。早求自度。勿睡眠也。諸煩惱 賊。常伺殺人。甚於怨家。安可睡眠。不自警寤。煩惱毒蛇。睡 在汝心。譬如黑蚖。在汝室睡。當以自持戒之鈎。早倂除之。睡 蛇既出。乃可安眠。不出而眠。是無庸慚人。慚恥之服。於諸莊嚴 。最為第一。慚如鐵鈎。能制人非法。是故比丘。常當慚恥。無 得暫替。若離慚恥o則失諸功德。有愧之人。則有善法。若無愧 者。與諸禽獸。無相異也。

๕. ละความง่วงเหงาหาวนอน

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ยามทิวากาลก็ควรปฏิบัติอบรมจิตใจให้ตั้งมั่น ประกอบ ความเพียรในธรรมเป็นเครื่องตื่น อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ตอน ปฐมยามก็ดี ปัจฉิมยามก็ดี ก็อย่าให้ผ่านพ้นล่วงไปโดยปราศจากการเจริญธรรม ครั้นมัชฌิมยามจงสาธยายพระสูตรต่าง ๆ และสําเร็จการนอนอย่างสีหไสยาสน์ (ตะแคงขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะในการลุกขึ้น) จงอย่าเห็นแก่การหลับนอน อันเป็นเหตุให้ชีวิตผ่านพ้นไปโดยไร้ประโยชน์ และหาแก่นสารอันใดในชีวิตมิได้ พึงพิจารณาเพลิงแห่งความไม่เที่ยง กําลังลุกไหม้เผาผลาญโลกอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น จงบำเพ็ญประโยชน์ของตนให้พ้นจากอาวรณิยธรรม ปราศจากความเห็นแก่การหลับนอน บรรดาโจรคือมารกิเลสทั้งหลาย คอยจ้องท่ารอสังหารมนุษย์ชาติอยู่ตลอดกาล ร้ายยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาตเสียอีก เธอจะหลับโดยไม่ระแวงและหวาดสดุ้งเสียมิได้  จงเตือนสติให้ละความสุขในการหลับ เพราะอสรพิษ (มารกิเลส) เหล่านั้นกําลังนอนอยู่ในห้องหัวใจของเธอ หรืออุปมาตั้งอสรพิษร้ายหลับอยู่ในห้องนอนของเธอ ซึ่งใช้การเจริญศีลประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องตื่นเป็นอาวุธ รีบเร่งขจัดทำลายอสรพิษร้าย ซึ่งหลับอยู่ให้ออกเสีย แล้วเธอจะหลับได้อย่างเป็นสุข หากเธอหลับโดยไม่ได้ขจัดมารกิเลสให้ออกจากห้วงจิตใจเสียก่อน ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หาความละอายแก่ใจมิได้ ความรู้สึกละอายใจ เป็นอลังการเครื่องตกแต่งที่ประเสริฐสุด ในเบื้องต้นแห่งบรรดาจริยาธรรมทั้งหลายผู้มีหิริจิตเปรียบเสมือนขอเหล็ก สามารถระงับมนุษย์มิให้ประพฤติล่วงเกินอกุศลธรรม เพราะเหตุฉะนี้แล ! ภิกษุพึงมีคุณธรรมคือความละอายใจต่อบาป ประจําจิตอยู่เสมออย่าให้เสื่ยมคลาย หากขาตจากคุณ ธรรมคือความละอาย เสียแล้วไซร้ ก็จะสูญสิ้นจากบรรดาบุญกุศลธรรมทั้งปวง ผู้มีความละอายต่อบาป ย่อมมีความแจ่มแจ้งในกองกุศลทั้งหลาย หากผู้ที่ปราศจากความละอายต่อบาป ผู้นั้นย่อมมีลักษณะแตกต่างกับหมู่สัตว์เดรัจฉานฉะนั้น

 (六) 戒瞋恚

            汝等比丘。若有人來。 節節支解。當自攝心。無令瞋恨。亦當護口。勿出惡言。若縱恚心。則自妨道。失功德利。忍之為德 。持戒苦行。所不能及。能行忍者。乃可名為有力大人。若其不 能。歡喜忍受。惡罵之毒。如飲甘靈者。不名入道。智慧人也。 所以者何。随恚之害。則破諸善法。壞好名聞。今世後世。人不 喜見。當知瞋心。甚於猛火。常當防護。無令得入。劫功德賊。 無過瞋恚。白衣受欲。非行道人。無法自制。隨猶可恕。出家行 道無欲之人。而懷瞋恚。甚不可也。譬如清冷雲中。霹靂起火。 非所應也。

๖. ละเว้นความผูกพยาบาท

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! หากมีผู้มาตัดหั่นสรีระของเธอออกเป็นส่วน ๆ พึงสํารวมใจของตน อย่าให้บังเกิดความโกรธแค้นอาฆาต และพึงสํารวมวาจาอย่าได้ กล่าวคําอาฆาตพยาบาท ถ้าปล่อยจิตให้เกิดความโกรธแค้นพยาบาท ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการบําเพ็ญธรรมของเธอ สูญเสียคุณประโยชน์ในกุศล ขันตินั้นแลเป็นคุณธรรมอันประเสริฐสุด การรักษาศีลบำเพ็ญธรรมก็ดี ยังมิอาจสามารถนํามาเทียบเท่ากับผู้บําเพ็ญคุณแห่งขันติธรรมได้ ผู้ทรงคุณขันติธรรมมีนามว่าเป็นมหาบุรุษ ผู้ทรงพลังมหิทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ บุคคลผู้ที่ไม่สามารถอดทนต่อคํากล่าวร้ายนินทาใด ๆ ถึงแม้ว่าได้ดื่มน้ำอมฤต อันศักดิ์สิทธิ์แล้วไซร้ ก็หาได้ชื่อว่าเป็นผู้บรรลุปัญญาเข้าถึงแก่นแห่งคุณธรรมไม่ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไฉนถา! เพราะโทษแห่งการผูกพยาบาท เป็นการทําลายรากเง่าแห่งกุศลธรรมทั้งมวล มีชื่อเสียงกิตติคุณเลื่องลือปรากฏในทางชั่ว เป็นผู้ทําลายมูลฐานความดีงามทั้งภพนี้และภพหน้าหามีบุคคลใดที่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย พึงสําเนียกไว้เถิด ความมีจิตโกรธแค้นผูกพยาบาท ร้ายมหันต์ยิ่งกว่าขุมเพลิง ที่กําลังลุกโชติช่วง ฉะนั้นพึงระมัด ระวังไว้ด้วยสติ อย่าปล่อยให้บังเกิดขึ้นแก่จิต บรรดาโจรที่ปล้นสดมภ์กุศลธรรมนั้น ไม่มีโจรประเภทใดร้ายกาจยิ่งกว่าความผูกพยาบาทเคียดแค้น คฤหัสถ์ผู้ของอยู่ในกาม มิใช่ผู้ออกประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมวินัยควบคุมตนเอง ย่อมมิพ้นจากความโกรธซึ่งสมควรอย่างยิ่งต่อการอภัย แต่ ผู้สละเรือนปฏิญาณตนประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้หากามคุณมิได้ หากจิตยังบังเกิด ความผูกโกรธพยาบาท เป็นการมิสมควรอย่างยิ่งเปรียบเสมือนท่ามกลางนภากาศ อันสดใสปลอดโปร่งเยือกเย็น บัดดลปรากฏบังเกิดอสนิบาตฟาดเปรี้ยงแล้วเกิดไฟลุกโชติขึ้น ซึ่งไม่เป็นการบังควรเลย

 (七) 戒橋慢

            汝等比丘。當自摩頭以掩飾好。著壞色衣。執持應器。以乞自活。自見如是。若起喬慢。當疾滅之。增長喬慢。尚非世俗 白衣所宜。何况出家入道之人。為解脫故。自降其身。而行乞耶

๗. ละเว้นความมานะทิฏฐิ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! จึงลูบคลําศีรษะของตนเอง ซึ่งเราเป็นผู้ละทิ้งเครื่อง ประดับอันวิจิตรของปุถุชนเสียได้แล้ว มานุ่งห่มจีวรครองผ้ากาสายะย้อมฝาด อุ้มบาตร ถือภิกขาจารเลี้ยงชีพ ควรพิจารณาเห็นตนปานฉะนี้แล เมื่อเกิดความคิดในทางมานะ ทิฏฐิขึ้น จึงรีบขจัดออกจากจิตใจเสียให้สิ้น ความกําเริบเติบใหญ่ของมานะทิฏฐิในตนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแม้แต่ฆราวาสผู้ครองเรือน นับประสากล่าวอะไรกับผู้สละ เรือน ออกบําเพ็ญธรรมรักษาพรหมจรรย์ เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น และเป็นผู้ชําระมานะทิฏฐิออกจากตน ยอมจํานนดํารงชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจารเล่า

 (入) 戒諂曲

汝等比丘。諂曲之心。與道相違。是故宜應質直其心。富知諂曲。但為欺誑。入道之人。則無是處。是故汝等。宜應端心。以質直為本。

๘. ละเว้นความมายาคดเคี้ยว

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! จิตใจที่ชอบประกอบมายาประจบประแจงผู้อื่นนั้น เป็น การขัดต่ออริยสัจจธรรม ด้วยเหตุฉะนี้แล ควรตั้งจิตใจให้แน่วแน่ซื่อตรงสมาทาน ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย พึงกําหนดรู้จิตที่เต็มไปด้วยมายาประจบคดเคี้ยว เพียงแต่เป็นมายาเครื่องหลอกลวงเท่านั้น ผู้มีปัญญาตั้งอยู่ในทิฏฐิธรรม ละความยินดี ยินร้ายในอกุศลธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้แล เป็นเหตุผลที่เธอทั้งหลายควรยังจิตให้ สงบเสงี่ยมปราศจากอภิชฌาใด ๆ โดยใช้ความซื่อสัตย์เที่ยงตรงของจิตเป็นสมุฏฐาน

 (九) 少 欲

            汝等比丘。當知多欲之人。多求利故。苦惱亦多。少欲之人。無求無欲。則無此患。直爾少欲。尚應修習。何況少欲能生諸 功德。少欲之人。則無諂曲。以求人意。亦復不為諸根所牽。行 少欲者。心則坦然。無所憂畏。觸事有餘。常無不足。有少欲者 。則有望槃。是名少欲

๙.มักน้อยในตัณหา

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! จึงกําหนดรู้ไว้เถิดว่า ผู้ที่มักมากไปด้วย (ตัณหา)

เป็นเหตุให้เกิดความทะเยอทะยานไปด้วยการขวนขวายหาผลประโยชน์ ดังนั้นความ ทุกข์โศกก็ทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ส่วนผู้ที่มักน้อยในตัณหานั้น ละความทะเยอทะยานในความอยากปราศจากซึ่งกามคุณ จึงเป็นเหตุไม่ต้องประสพกับความทุกข์ ลำบากดังกล่าว ฉะนั้นจงกําจัดความอยากในตัณหาให้ลดน้อยลงด้วยการฝึกหัดปฏิบัติธรรม

เพราะเหตุไฉนถา ! การมักน้อยในตัณหา เป็นเหตุบังเกิดบรรดาบุญกุศลทั้งหลาย เพราะผู้มักน้อยในความอยาก ละความประจบประแจงมายา เพื่อให้ผู้อื่นหลงชอบตน มีแต่ความสํารวมในอินทรีย์มิให้ถูกตัณหาชักนำไป และผู้ปฏิบัติเพื่อ ความมักน้อยสันโดษ จิตย่อมปราศจากความกระวนกระวายในความอยาก หาความทุกข์โศกหวาดหวั่นมิได้ ดำรงชีวิตอยู่ในความสันโดษยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ และผู้มักน้อยยินดีในความสันโดษนั้น ย่อมบรรลุถึงนิพพาน (ความสุขที่ไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่า) นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “มักน้อยในตัณหา”

(十) 知足

            汝等比丘。若欲脫諸苦惱。當觀知足。知足之法。即是富樂安穩之處。知足之人。雖臥地上。猶為安樂。不知足者。雖處天堂。雖亦不稱意。不知足者。雖富而貧。知足之人。雖貧而富。不知足者。常為五欲所牽。為知足者之所憐愍。是名知足。

๑๐. รู้จักพอประมาณ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! หากต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์และปวงกิเลสทั้งหลาย พึงเพ่งพิจารณาความรู้จักพอประมาณ ธรรมแห่งความรู้จักพอประมาณ เป็นมูลฐานแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นรากฐานของความสุข ผู้รู้จักประมาณ ถึงแม้ จะหลับอยู่กลางดินก็หลับอย่างเป็นสุข ผู้ไม่รู้จักประมาณในความพอ ถึงแม้นสถิตอยู่ บนทิพย์อาสน์ ก็ยังคงไม่พอแก่ใจนั่นเอง และผู้มีรู้จักพอประมาณ ถึงแม้จะมั่งคั่งก็เสมือนผู้ยากจน ส่วนผู้รู้จักพอประมาณนั้น ถึงแม้จะยากจนก็เสมือนผู้มั่งคั่ง เพราะผู้ที่ไม่รู้จักพอประมาณ ย่อมถูกกามคุณทั้งห้าชักนําไป ซึ่งเป็นที่น่าสงสารสังเวชใจแก่ผู้ที่รู้จักความพอประมาณอย่างยิ่ง นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “รู้จักพอประมาณ”

(十一) 遠離

            汝等比丘。欲求寂靜無為安樂。常離潰鬧。獨處閒居。静處 之人。帝釋諸天。所共設重。是故當捨已眾他眾。空間獨處。思 滅若本。若樂眾者。則受眾惱。譬如大樹。眾烏集之。則有枯折 之患。世間縛著。沒於眾苦。譬如老象弱泥。不能自出。是名遠 離 。

๑๑. ห่างไกล

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หากปรารถนาที่จะแสวงหาวิเวกความสงบสุขแห่งอสังขต ธรรม (ธรรมที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง) จงหลีกเลี่ยงห่างไกลจากการวุ่นวายและความสุขทางโลก พำนักอยู่แต่ผู้เดียวโดยลําพัง ผู้ที่เจริญธรรมในทางสงบ ย่อมเป็นที่เคารพ สักการะ

บูชาของท้าวสักกะราชและหมู่เทพยดาทั้งปวง เพราะเหตุฉะนี้แล เธอจงละจากระคนกับหมู่คณะของตนและผู้อื่น แสวงหาและเสพเสนาสนะอันสงัด ดำริพิจารณาธรรม สมุฏ

ฐานแห่งความดับทุกข์ หากยังหลงเพลิดเพลินระคนอยู่ในหมู่คณะ ก็ต้องรับความทุกข์ระทมในหมู่คณะเช่นเดียวกัน อุปมาดังพฤกษาชาติอันสูงใหญ่ มีเหล่าปักษิณบินมารวมชุมนุม กิ่งก้านย่อมจะต้องอับเฉาและหักไปฉะนั้น ผู้ที่ถูกโลกียธรรมครอบงํา ย่อมจะจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์นานาประการ เสมือนกับคชสารชราตก หล่มจมอยู่ในหล่ม ไม่สามารถที่จะถอนตัวออกจากหล่มได้ ฉะนั้น นี่แลเป็นความ หมายแห่งนาม “ห่างไกล”

(十二) 精進

            汝等比丘。若勤精進。則事無難者。是故汝等當勤精進。警 如小水常流。則能穿石。若行者之心。數數懈廢。譬如鑽火、未 熱而息。雖欲得火。火難可得。是名進精。

๑๒. วิริยะภาพ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ความพากเพียรมานะพยายามโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค นั้น ย่อมกระทํากิจสําเร็จลุล่วงโดยหาความยากลําบากมิได้ และไม่มีสิ่งใด ๆ เป็น ความยากลําบากในการกระทํา ฉะนั้นเธอทั้งหลาย พึงรีบเร่งทําความเพียรประพฤติ ปฏิบัติธรรม เพื่อความรู้แจ้งแห่งปัญญา อุปมาเหมือนหยดน้ำน้อย ๆ ที่หยดอยู่เสมอ โดยไม่ขาด ระยะ ย่อมสามารถเจาะทะลุศิลาอันกล้าแข็งเป็นทางไปได้ ฉะนั้น หากจิตของเธอผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เต็มไปด้วยความเกียจคร้านไม่ปฏิบัติตามพระวินัย ปล่อยปละละเลย ก็เปรียบเสมือนกับบุคคลที่พยายามสีไม้เพื่อให้เกิดไฟ แต่สีไม้ยังไม่ทันร้อนก็เลิกเสียกลางคัน ฉะนั้น ถึงแม้มีความอยากจะได้ไฟปานใด ไหนั้นก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้ นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “วิริยะภาพ”

(十三) 不忘念

            汝等比丘。善求知識。求善護助。無如不忘念。若有不忘念 者。諸煩惱賊。則不能入。是故汝等。常當攝念在心。若失念者 。則失諸功德。若念力堅強。雖入五欲賊中。不為所害。譬如著 鎧入陣。則無所畏。是名不忘念。

๑๓. ความไม่ลืมสติ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหาความรอบรู้แห่งกองกุศล และการแสวงหา ทางพิทักษ์อุปถัมภ์แห่งกุศลนั้น ไม่มีสิ่งใดประเสริฐดีเท่ากับการไม่ลืมสติ หากมีสติ สัมปชัญญะควบคุมโดยตลอด บรรดาเหล่ากิเลสมารทั้งหลาย ย่อมไม่สามารถเข้าไป ในจิตของเธอได้ ฉะนั้นเธอทั้งหลาย จึงมนสิการสำรวมสติไว้เป็นเนืองนิจเถิด ถ้าขาดจากการควบคุมสติสัมปชัญญะแล้วไซร้ ก็จักเป็นเหตุขาดจากกุศลธรรมทั้งมวล หากว่ามีพละสติอันแข็งแกร่งมั่นคง ถึงแม้จะย่างเข้าไปอยู่ในท่ามกลางโจรแห่งเบญจกามคุณ กิเลสกามเหล่านั้นก็หาทําอันตรายได้ไม่ ซึ่งอุปมาเหมือนกับผู้สวมเกราะป้องกันศัตราเข้าสู่รณรงค์ในสงคราม ย่อมปราศจากความหวาดหวั่นพรั่นพรึงฉะนั้น นี้แลเป็นความหมายแห่งนาม “ความไม่ลืมสติ”

 (十四)禪定

            汝等比丘。若攝心者 心則在定。心在定故。能知世間生滅 法相。是故汝等。常當精進修習諸定。若得定者。心則不散。譬 如惜水之家。善治隄塘。行者亦爾。為智慧水故。善修禪定。令 不漏失。是名為定。

๑๔. สมาธิ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! หากผู้ใดสํารวมรักษาจิตให้ตั้งมั่น จิตก็จะดํารงอยู่ใน สภาวะของสมาธิ เมื่อจิตดำรงอยู่ในสภาวะสมาธิมั่นคงแล้ว ย่อมสามารถรู้แจ้งธรรม ลักษณะแห่งการเกิดและการดับของโลกอันเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ถาวรได้ เพราะเหตุฉะนี้ แล! เธอทั้งหลายจึงวิริยะอุตสาหะเพียรเจริญให้บรรดาสมาธิเกิด เมื่อบรรลุถึงภาวะ แห่งสมาธิแล้ว จิตก็จะไม่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ เปรียบเสมือนครอบครัวที่ทนุถนอมน้ำทำเขื่อนทำนบป้องกันรักษาสระน้ำไว้อย่างดี ผู้บําเพ็ญพรตก็เช่นเดียวกัน ปัญญา เปรียบ เหมือนน้ำ เขื่อนทำนบเปรียบอุปมาดังญาณสมาธิที่ตนบําเพ็ญ เพื่อป้องกันมิให้น้ำ(ปัญญา) นั้นรั่วไหลหายสญไป นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “สมาธิ”

(十五) 智慧

            汝等比丘。若有智慧。則無貪著。常是省察。不令有失。是 則於我法中。能得解脫。若不爾者。既非道人。又非白衣。無所 名也。實智慧者。則是度老病死海堅牢船也。亦是無名黑暗大明 燈也一切病者之良藥起。伐煩腦樹之利斧也。是故汝等。當以聞思修慧。而自增益。若人有智慧之照。雖是肉眼。而是明見人 。是為智慧。

๑๕. ปัญญา

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! หากมีปัญญาญาณแจ้งตามสภาวะความเป็นจริงแล้ว ก็จะไม่ถูกความโลภครอบงำ จงสํารวจตนเองและเจริญธรรมอยู่เป็นนิจ เพื่อป้องกันมิให้สูญเสียซึ่งธรรมนั้นไป นี่แลเป็นธรรมของตถาคตที่ได้ประกาศแล้ว สามารถยังความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร หากเธอทั้งหลายไม่ปฏิบัติเช่นนี้ เธอก็มิใช่ผู้บําเพ็ญธรรมและก็ไม่ใช่คฤหัสถ์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจสรรหานามอะไรมาเรียกจึงจะเหมาะ สม ปัญญารู้แจ้งอันแท้จริงนั้นย่อมเปรียบเสมือนนาวาอันแข็งแกร่งส่งข้ามทะเลแห่ง วัฏฏสงสาร (เกิดแก่เจ็บตาย) และเป็นมหาประทีปอันรุ่งโรจน์ที่ขจัดความมืดมนธ์คือ อวิชชา เป็นยาอันประเสริฐแก้สรรพโรคาทั้งมวล เป็นขวานอันคมกริบสําหรับโคนราก เง่าต้นไม้คือกิเลส เพราะเหตุฉะนี้แล ! เธอทั้งหลายจึงนําเอาการสดับฟังมาดําริ บําเพ็ญอบรมปัญญา อันจะเพิ่มพูนประโยชน์แก่ตนเอง หากผู้ใดมีปัญญารู้แจ้งแทง ตลอดอริยสัจจธรรม ถึงแม้ผู้นั้นจะเป็นเพียงมังสะจักขุ ก็มีปัญญารู้แจ้งตามสภาวะ ความเป็นจริงของสรรพสัตว์โลกได้ นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “ปัญญา”

 (十六) 不戲論

            汝等比丘。若種種戲論。其心則亂。雖復出家。猶未得脱。是故比丘。當急捨離亂心戲論。若汝欲得寂滅樂者。唯當善滅戲 論之患。是名不戲論。

๑๖. ไม่พูดจาหยอกล้อ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การพูดจาหยอกล้อเล่นหัวอันไม่เป็นแก่นสารในเรื่อง ต่าง ๆ นั้น ย่อมทําให้จิตเต็มไปด้วยความคิดเศร้าหมองยุ่งเหยิง ถึงแม้ว่าได้สละเรือน ออกบรรพชาแล้วก็ตาม ก็ยังหาได้บรรลุถึงความหลุดพ้นไม่ เพราะเหตุฉะนี้แล ภิกษุ ทั้งหลาย จึงรีบเร่งละทิ้งให้ห่างไกลจากความคิดฟุ้งซ่าน และการพูดจาหยอกล้ออันเปล่าประโยชน์ ถ้าเธอปรารถนาที่จะบรรลุความสงบสุขแห่งพระนิพพานแล้วไซร้ พึงรีบเร่งละทิ้งให้ห่างไกลจากความคิดฟุ้งซ่าน และการพูดจาหยอกล้ออันเปล่าประโยชน์ ถ้าเธอปรารถนาที่จะบรรลุความสงบสุขแห่งพระนิพพานแล้วไซร้ จงพึงขจัดความไม่ดีแห่งการกล่าววาจาหยอกล้อเล่นหัวไม่เป็นแก่นสารเสีย นี่แลเป็นความหมายแห่งนาม “ไม่พูดจาหยอกล้อ”

(十七)自勉

            汝等比丘。於諸功德。常當一心·捨諸放逸。如離怨賊·大 悲世尊。所說利益。皆已究竟。汝等但當勤而行之。若於山間。 若空澤中。若在樹下。閒處靜室。念所受法。勿令忘失。當常自 勉。精進修之。無為空死。後致有悔。我如良醫。知病說藥。服 與不服。非醫咎也。又如善導。導人善道。聞之不行。非導過也

๑๗. ยังความเพียรของตนให้ถึงพร้อม

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! การประกอบบรรดาบุญกุศลทั้งหลาย จะต้องตั้งใจเป็น หนึ่งเป็นมูลฐาน และละเสียจากความเลินเล่อประมาททั้งมวล อุปมาเหมือนกับหลีกหนีห่างไกลจากโจรอํามะหิตฉะนั้น อันพระตถาคตเจ้าทั้งหลายผู้ทรงพระกรุณาธิคุณ ได้ตรัสสอนเพื่อเกื้อกูลคุณานุประโยชน์ แก่บรรดาสรรพสัตว์ล้วนถึงที่สุดแห่งแก่นแล้ว เธอทั้งหลายพึงหมั่นมานะพากเพียรปฏิบัติและรักษาอนุศาสน์นี้ ไม่ว่าจะอยู่ตามภูเขาก็ดี อยู่ตามห้วยลําธารก็ดี อยู่ตามโคนต้นไม้ทั้งหลายก็ดี อยู่ตามเรือนสถานที่ว่างเปล่าใดก็ดี จงพิจารณาธรรมคําสั่งสอนที่ได้รับไว้อย่าให้หลงลืมและปล่อยเวลาล่วงไปโดยไร้ประโยชน์ จึงตั้งสติยังจิตให้แน่วแน่เพียรประพฤติธรรมเป็นเนืองนิจ อย่าให้ชีวิตต้องสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ อันจะเป็นผลแห่งการเสียใจในภายหลัง ตถาคตเสมือนกับนายแพทย์ผู้สามารถ รู้จักสมุฏฐานของโรคและรู้จักใช้ยาที่ถูกกับโรค แต่คนไข้จะยอมรับประทานยาหรือไม่นั้น มิใช่ความผิดของนายแพทย์ หรือเปรียบเสมือน ผู้แนะนําใน

ทางที่ดีให้ ซึ่งได้ชี้หนทางที่ดีที่สุด หากผู้ได้สดับฟังไม่ประพฤติปฏิบัติเดินตามทางที่แนะนํานั้น ก็หาใช่เป็นความผิดของผู้แนะนำดหนทางไม่

 (十八)决疑

            汝等若於苦等四部。有所疑者。可疾問之。無得懷疑。不求 决也。爾時世尊。如是三唱。人無問者。所以者何。眾無疑故。 時阿㝹樓駄。觀察眾心。而白佛言。世尊。月可令????。日可令冷 。 佛說四諦。不可令異。佛說苦諦實苦。不可令樂。集真是因。 更無異因。苦若滅者。即是因滅。因滅故果滅。滅苦之道。實是 真道。更無餘道。世尊。是諸比丘。於四諦中。决定無疑。

๑๔. ตัดสินข้อกังขา

            ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าหากยังมีความสงสัยเคลือบแคลงในอริยสัจสี่ อันมีทุกข์สัจจ์ เป็นต้น ท่านทั้งหลายจงสอบถามเสียเถิด อย่าปล่อยความสงสัยดังกล่าวไว้โดย ไม่แก้ไขให้กระจ่าง อันเป็นเหตุให้เดือดร้อนภายหลัง สมัยนั้นแล สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปวารณาถึง ๓ วาระ แต่กระนั้นก็ไม่มีภิกษุรูปใดทูลถาม ข้อนั้นเป็นเพราะ เหตุไฉนถา! เพราะเหตุท่ามกลางพุทธบริษัทปราศจากความเคลือบแคลงในธรรมวินัย สมัยนั้น พระอนุรุทธเถระเจ้า ได้เพ่งพิจารณาเห็นจิตใจบรรดาเหล่าบริษัทปราศจาก ความกังขาในพระรัตนตรัย จึงกราบทูลพระพุทธองค์ด้วยความเคารพว่า “ข้าแต่พระ ผู้มีพระภาค” แม้      จันทราจะกลับกลายเป็นร้อน ดวงสุริยาจะกลับกลายเป็นเย็น แต่อริยสัจจ์สี่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้นมิอาจที่จะทําให้เปลี่ยนแปลงกลับกลายได้ อริยสัจจ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับทุกข์สัจจ์ ย่อมเป็นความทุกข์อย่างแท้จริง มิอาจกลับกลายให้เป็นสุขได้ สมุทัยเป็นเหตุ นอกเหนือจากสมุทัยสัจจ์แล้วก็ไม่มีธรรมอื่น ใดเป็นเหตุ หากทุกข์จะดับก็เพราะสมุทัยดับ (เหตุดับ) เนื่องด้วยสมุทัยดับ ผลก็ย่อมดับลง อริยมรรคอันเป็นหนทางนําไปสู่ความดับทุกข์ ย่อมเป็นมรรควิถีอย่างประเสริฐแท้จริง นอกจากอริยมรรคแล้วก็ไม่มีมรรคอื่นใดยิ่งกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ” ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ล้วนหมดจากความเคลือบแคลงสงสัยในพระอริยสัจจ์ธรรมแล้วพระเจ้าข้า

(十九) 眾生得度

            於此眾中。若作未辦者。見佛滅度。當有悲感。若有初入法 者。聞佛所說。即皆得度。壁如夜見電光。即得見道。若所作已辦。已度苦海者。但作是念。世尊滅度。一何疾哉。阿阿㝹樓駄。雖說是語。眾中皆悉了達。四聖諦義。世尊欲令此諸大眾。皆得 堅固。以大悲心、復為眾說。汝等比丘。勿懷悲惱。若我住世一劫。會亦當滅。會而不離。終不可得。自利利人。法皆具足。若 我久住・更無所益。應可度者。苦天上人間。皆悉已度。其未度 者。皆亦已作得度因緣。

๑๘. สัตว์โลกได้รับการโปรด

            ณ ท่ามกลางพุทธบริษัท ผู้ยังไม่จบกิจการศึกษาเป็นพระเสขะบุคคลอยู่ เมื่อรู้ว่าพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ย่อมต้องมีความทุกข์โทมมนัสโศกาดูร หากมีผู้เริ่มเข้ามาศึกษาพระธรรมแต่แรก และได้สดับพระพุทธดํารัสแล้ว ย่อมได้รับการโปรดจากพระพุทธองค์ อุปมาดั่งยามราตรี ประกายแห่งแสงฟ้าทําให้สว่างไสวเห็น มรรคาสถานต่าง ๆ และผู้ที่จบการศึกษาเป็นพระเสขะบุคคล (พระอรหันต์) ข้ามพัน แล้วซึ่งทะเลแห่งความทุกข์ ย่อมมีความดําริแก่ตนเองว่า สมเด็จพระบรมโลกนาถเจ้า ทรงเสด็จเข้าสพระปรินิพพานช่างเร็วจริง ถึงแม้พระอนุรุทธเถระเจ้าได้กราบทูลแล้ว เช่นนี้ และในท่ามกลางพุทธบริษัทต่างเข้าใจอรรถแห่งอริยสัจจ์สี่อย่างแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้นสมเด็จพระบรมศาสดายังปรารถนาที่จะให้เหล่าพุทธบริษัทได้รับความมั่นคงในธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้วยพระหฤทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสเพื่อเกื้อกูล เพื่อประโยชน์แก่เหล่าบริษัทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! “อย่าทุกข์คร่ำ ครวญโศกาดูรเลย แม้ตถาคตดํารงอยู่ในโลกนี้อีกสักกัลป์หนึ่งก็ดี การอยู่ร่วมกันระหว่างตถาคตและเธอทั้งหลายก็ย่อมมีการสิ้นสลายดับไปเป็นธรรมดา การอยู่ร่วมกันโดยปราศจากพลัดพรากจากกันนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ ฉะนั้น จงยังประโยชน์ ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม พระสัจจ์ธรรมก็ได้แสดงไว้สมบูรณ์แล้ว แม้ตถาคต ดํารงพระชนมชีพต่อไป ก็หาประโยชน์อันใดมิได้ ผู้ที่ได้รับการโปรดจากเราตถาคตนั้นจะเป็นปวงเทพยดามนุษย์ทั้งหลายก็ดี ย่อมได้รับความอนุเคราะห์ด้วยดีแล้วทั้งนั้น สัตว์ที่ยังไม่ได้รับการโปรดนั้น ก็ย่อมได้รับการโปรดตามอุปนิสัย ตามแต่ปัจจัยและบารมีเป็นลำดับไป”

(二十) 法身常住

            自今以後。我諸弟子。展轉行之。則是如來。法身常在。而 不滅也。是故當知。世皆無常。會必有離。勿懷憂惱。世相如此。當勤精進。早求解脫。以智慧明。滅諸痴暗。世實危脆。無牢 強者。我今得滅。如除惡病。此是應舍。罪惡之物。假名為身。沒在老病。生死大海。何有智者。得除滅之。如殺怨賊。而不歡喜。

๒๐. พระธรรมกายดํารงอยู่เสมอ

            นับต่อแต่นี้ไป เธอทั้งหลาย จงจาริกเผยแผ่พระสัจจ์ธรรมให้แพร่หลายไพศาล ทั้งนี้เป็นการยังไว้ซึ่งพระธรรมกายแห่งตถาคต ให้ดํารงอยู่ชั่วนิรันดรโดยมิให้กับสญไป

ฉะนั้น เธอทั้งหลาย พึงกำหนดให้รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะจีรังยั่งยืนถาวร ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยง มีการร่วมกันย่อมมีการพลัดพรากจากกัน จงอย่ามีความ เศร้าโศกใด ๆ (ในการจากไปของตถาคต) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมลักษณะของโลก ไม่มีผู้ใดหลีกพ้นได้ เธอทั้งหลายพึงวิริยะพากเพียรบากบัน เพื่อแสวงหาวิมุตติสุข (ความพลุดพ้น) ไว้แต่เนิ่น ๆ จงใช้ความรู้แจ้งแห่งปัญญา ทําลายความมืดคืออวิชชา ทั้งหมดให้สิ้นไป อันที่จริงโลกนี้ประกอบด้วยภัยน่าสพึงกลัว มีแต่ความเสื่อมสลาย หาสิ่งใดเป็นแก่นสารมิได้ การที่ตถาคตดับขันธปรินิพพานนี้ เปรียบเสมือนพ้นจาก โรคาพาธอันร้ายกาจน่ากลัว ซึ่งตถาคตได้ทําลายขจัดเสียสิ้นเชิงแล้วที่ต้องจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่แห่ง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีนรชนใดที่จะไม่ยินดี ในโอกาสที่จะขจัดธรรมเหล่านี้ให้สิ้นไป เปรียบเหมือน ได้ประหารโจรใจอํามะหตุฉะนั้น

(二十一) 結論

            汝等比丘。常當一心。勤求出道。一切世間‧動不動法皆是敗壞。不安之相。汝等且止。分得復語。時將欲過。我欲滅度。 是我最後。之所教誨。

๒๑. สรุปความ

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! จึงตั้งใจดํารงความเป็นเอกะแห่งจิต เพียรแสวงหา วิโมกขธรรม (ความพ้นจากวัฏฏสงสาร) สังขารธรรมทั้งหลายในโลก ไม่ว่าจะเป็นสังขตธรรมหรืออสังขตธรรมก็ดี (ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ล้วนแต่มีความเสื่อมสูญ หาความเที่ยงแท้แห่งลักษณะมิได้ เธอทั้งหลาย นี่เกือบจะถึงกาลเวลาที่สิ้นสุดแห่งเราแล้ว เธอจะไม่ได้ฟังคําพร่ำสอนจากตถาคตอีก ต่อไป วาระสุดท้ายแห่ง กาลเวลามาถึงแล้ว ตถาคตจะดับขันธปรินิพพาน ธรรม เหล่านี้แลเป็นปัจฉิมโอวาทของตถาคต

 


 

พระกษิติครรภ์มหาปณิธานสูตร

พระสูตรว่าด้วยประณิธานและการปฏิบัติของพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์

แปลเป็นไทยโดย ธัมมนันทา สามเณรี

บริษัทส่องศยามจำกัดผลิต

บริษัทเคล็ดไทยจำกัด จำหน่าย

บทที่1 อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

                ดังที่ได้สดับมา ครั้งหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีจำนวนนับไม่ถ้วน กับทั้งมหาโพธิสัตต์จากพุทธเกษตรต่างๆทั้งสิบทิศ มาประชุมพร้อมกันด้วยความสมัครสมานสามัคคี ต่างพากันชื่นชมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ในพระปรีชาญาณตลอดจนอำนาจอันประมาณมิได้ในการโปรดสรรพสัตว์ผู้เห็นผิดให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องทำความเข้าใจความแตกต่างในเรื่องพื้นฐานแห่งความสุขและความทุกข์ในโลกนี้ ต่างพากันมาเฝ้าพร้อมบริวาร เพื่อถวายสักการะแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแย้มพระสรวล เปล่งรัศมีแห่งความกรุณาอันมิอาจจะหยั่งได้ อีกทั้งพระปัญญาบารมี ทั้งเมตตาบารมี ทานบารมี เสียงแห่งความเป็นอิสระ เสียงแห่งการให้พร เสียงแห่งพระปัญญา กึกก้องกัมปนาทดุจเสียงราชสีห์คำราม เสียงกึกก้องดุจฟ้าร้องและยังมีเสียงอื่นๆที่หยั่งมิได้ สรรพสัตว์ทั้งหลายจากทศทิศ พากันมาแห่แหนเฝ้าพระพุทธองค์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกเขาพากันมาจากสวรรค์ชั้นต่างๆ เช่นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ทั้งสี่ชั้นของทวยเทพ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นดุสิต ชั้นนิมานรดี ชั้นปรนิมิตสรสวดี พรหมบริสุทธิ์ พรหมปุโรหิต และชั้นของมหาพรหม อีกทั้งสวรรค์ชั้นอื่นๆอีกมากมาย

                ทวยเทพทั้งหลาย รวมทั้งนาคจากมหาสมุทร ก็มารวมอยู่ด้วยรวมทั้งจากโลกอื่น และโลกมนุษย์ เทวดาผู้รักษาท้องทะเล ท้องฟ้า พายุ แม่น้ำ ต้นไม้ เนินเขา พื้นดิน่น้ำพุ ผีนา ผีไร่ เทวดาที่รักษากลางวัน กลางคืน แม้จนวิญญาณที่รักษาอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนเปรต อสูร เปรตผู้หิวโหย ฯลฯ บรรดาเปรตใหญ่น้อยก็พากันมาแสดงความยินดีร่วมกัน

                ขณะนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกันพระมัญชุศรี พระธรรมราชว่า “บัดนี้เจ้าได้ทอดทัศนาในจิตเห็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตต์ ทวยเทพ นาค เปรต และภูตผีปีศาจทั้งจากโลกนี้และโลกอื่นมารวมกันอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เจ้ารู้ไหมว่า มีจำนวนเท่าใด

                พระมัญชุศรีกราบทูลพระพุทธเจ้า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า แม้ข้าฯพระพุทธองค์จะมีอิทธิฤทธิ์ที่ได้สั่งสมมาหลายชั่วกัป ข้าพระองค์ก็ยังมิอาจประมาณจำนวนได้พระเจ้าข้า”

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับสั่งกับพระมัญชุศรีว่า “แม้ว่าพระตถาคตจะใช้พระเนตรของพระพุทธเจ้าตรวจสอบดู พระตถาคตก็ยังระบุจำนวนที่แท้จริงของบรรดาทวยเทพเหล่านั้นมิได้ ทวยเทพและสรรพสัตว์เหล่านี้เป็นผู้ที่พระกษิติครรภ์ได้ชักนำให้เข้าสู่มรรควิถีมาเป็นเวลาช้านาน บ้างก็เป็นผู้ที่จะได้รับการชี้นำจากพระองค์ให้เข้าสู่ความหลุดพ้นในอนาคต”

                พระมัญชุศรีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า แม้ข้าพระองค์จะสั่งสมบุญบารมีและได้เข้าถึงปัญญาอันเป็นเยี่ยม แต่ข้าพระองค์ก็มิอาจปฏิเสธได้ และจะน้อมรับคำของพระโลกนาถเจ้า แต่ผู้ที่ยังปฏิบัติอยู่ในอรหันตภูมิ เทวภูมิ ผู้ที่ยังนับถือนาค และมนุษย์ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏในอนาคต อาจจะยังมีข้อสงสัยในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่าเป็นพระธรรม เทวดานาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร กินนร มโหรค และสัตว์ใน 8 ภูมิ ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต จะยังลังเลสงสัย ทั้งที่พระพุทธองค์ได้ประกาศพระธรรมชัดเจนแล้วก็ตามที และหากพระองค์บังคับบให้พวกเขาเชื่อ ก็จะเกิดผลร้ายในการที่พวกเขาจะเผยแผ่คำสอนผิดๆ ดันนั้น ข้าพระองค์จึงหวังว่า พระโลกนาถเจ้า จะได้ทรงไขแสดงพระประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เมื่อตอนที่พระองค์ท่านเริ่มงานโพธิสัตต์ และทรงพากเพียรอย่างไร จนประสบความสำเร็จ และมีผู้คนเชื่อฟังพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าข้า”

                พระพุทธองค์รับสั่งกันพระมัญชุศรีว่า “สมมุติว่า จำนวนใบหญ้า ไม้ ป่า ทุ่งนา เนินเขา ก้อนหิน ผงธุลี วัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวง ...แม้จะมีจำนวนมากมายประดุจเม็ดทรายในคงคานที และแม้เม็ดทรายแต่ละเม็ด อาจจะเทียบได้กับ 1 กัป สิ่งที่พระองค์สร้างสมเพื่อการสร้างทศบารมีนั้นก็ยังมีจำนวนมากกว่านั้นเสียอีก จำนวนมากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะใส่เป็นคำพูด แม้กระนั้นบุญบารมีที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่ได้สร้างสมมาก็ยังมากกว่า ทั้งในสมัยที่พระองค์เป็นพระอรหันต์และเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

                มัญชุศรีเอย พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าพระองค์นี้ ประณิธานยของพระองค์ท่านก็ดีบารมีของพระองค์ท่านก็ดี มากมายเกินคณานับหากสรรพสัตว์ทั้งชายและหญิงจุติขึ้นในอนาคต หากตั้งใจฟังและสวดสรรเสริญพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ถวายความเคารพโดยการสวดพระนามของท่าน ถวายสิ่งสักการะต่อพระองค์ท่านวาดภาพหรือแกะสลักพระรูปของท่าน พวกเขาก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถึง 100 ชาติ(เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 ในบรรดาสวรรค์ 6ชั้น และจะไม่ต้องตกลงสู่อบายภูมิทั้งสามอีกเลย

                มัญชุศรีเอย พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าพระองค์นี้ ได้เคยเกิดเป็นบุตรของชายผู้ที่น่าเคารพเลื่อมใส หลายกัปป์ก่อนหน้านี้ ในสมัยที่ท่านตั้งประณิธานครั้งแรกนั้น เป็นสมัยของพระพุทธเจ้าสิงหราช กุลบุตรคนนี้เห็นรูปลักษณ์ของพระพุทธเจ้าแล้วบังเกิดความเลื่อมใส และได้ทูลถามว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตต์นั้น พระองค์องค์ได้ทรงตั้งประณิธานประการใดจึงมีรูปลักษณ์งดงามดุจเทพเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอน กุลบุตผู้นี้ว่า หากเจ้าประสงค์จะมีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ เจ้าจะต้องตั้งใจและมีความเพียรพยายามที่จะไถ่ถอนความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ทั้งปวง และพากเพียรปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายภพหลายชาติ

                “พระสิงหราชพุทธเจ้าได้ทรงสอนกุลบุตรนั้น ให้ตั้งประณิธานว่าข้าฯขอตั้งประณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์จากอบายทั้ง 6 ภูมิ และจะใช้กุศโลบายในการขี้น้ำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นเข้าถึงซึ่งความหลุดพ้นเป็นจำนวนหลายกัปป์หลายกัลป์ ก่อนที่ตัวของข้าฯเองจะบรรลุพระนิพพาน กุลบุตรนั้นตั้งประณิธานต่อพระพุทธองค์ด้วยความมั่นคงในจิต จากนั้นเป็นเวลาหลายกัปนับจำนวนไม่ถ้วย พระองค์ก็ยังพากเพียรทำงานของพระโพธิสัตต์อยู่

“ในเวลานานมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งมี พระนามว่าสมาธิพุทธบุปผา ได้ตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลาหลายล้านกัป มีวิธีการ 3 ขั้นตอนในการถวายความเคารพต่อพระพุทธองค์ โดยประการแรกถวายความเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ที่มีร่างมนุษย์) โดยการถวายความเคารพต่อพระพุทธรูป (หรือรูปแทนพระองค์) และโดยการประกาศศรัทธาและถวายสักการะ ในขั้นที่สองของการถวายความเคารพต่อพระพุทธองค์ มีเด็กหญิงพรามหณ์คนหนึ่ง ที่ได้สร้างบุญกุศลไว้เป็นอันมากแต่อดีตชาติ นอกจากเคารพและให้เกียรติผู้อื่นแล้ว เธอยังได้รับพรได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพนับตั้งแต่ที่เธอตั้งใจบำเพ็ญ

ทานบารมี แต่มารดาของเธอไม่มีใจเป็นกุศล และมักจะกล่าวให้ร้ายพระรัตนตรัย แม้ว่า ธิดาประเสริฐ ตามที่มีคนเรียกเธอ พากเพียรพยายานอย่างยิ่งที่จะขัดเกลาให้มารดาเกิดสัมมาทิฏฐิ แต่มารดาก็ยังเต็มไปด้วยอกุศลไม่เชื่อฟังคำชี้แนะของธิดา

                ครั้นตายไป มารดาก็ตกลงไปในอเวจี เป็นนรกขุมที่ 8 ที่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์โดยไม่หยุดหย่อน ธิดาพราหมณ์ผู้นี้ตระหนักดีว่ามารดามิได้เชื่อในกฎแห่งกรรม ได้กระทำบาปไว้มากมายในชีวิต และด้วยอกุศลกรรมนั้น แน่นอนที่สุดจะต้องตกลงไปในนรกเพื่อรับกรรมรับความทุกข์ยากโดยไม่หยุดหย่อน ตระหนักในวิบากกรรมของมารดา ผู้เป็นธิดาขายทรัพย์สมบัติที่มีค่าทั้งหลาย ทำการบูชาด้วยดอกไม้ และข้าวของต่างๆทั้งที่สถูปเจดีย์ และถวายสักการะแด่พระพุทธเจ้าสมาธิพุทธบุปผา พระพุทธรูปนั้นแกะสลักอย่างงดงามยิ่ง เธอตั้งใจน้อมจิตสักการะพระพุทธองค์ และตั้งใจว่า พระพุทธองค์ผู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาญาณ หากพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในโลกนี้ลูกอยากจะทูลถามว่า มารดาของลูกตกไปอยู่ที่ใด ลูกมั่นใจว่าพระองค์จะทรงหยั่งรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ใด เมื่อคิดเช่นนั้น เธอคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูป  และร่ำไห้อยู่เป็นเวลานาน

                ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงมาจากภายนอกพูดกับเธอว่า “ลูกหญิงผู้ประเสริฐ ไม่ต้องร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ตถาคตจะบอกเจ้าว่า มารดาของเจ้าไปอยู่ที่ใด” ธิดาพราหมณ์ยกมือขึ้นพนมด้วยความเคารพ ตอบเสียงนั้นไปว่า “เทพเจ้าองค์ใดที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของลูก นับแต่ที่มารดาของลูกตายไป แม้ลูกจะสวดมนต์ให้แม่ทั้งเช้าและเย็น แต่ลูกก็มิอาจจะหยั่งรู้ได้ว่าแม่ไปเกิดที่ใด” เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “ตถาคตคือพระพุทธเจ้าที่ลูกมีศรัทธาเลื่อมใส ตถาคตรู้ว่าลูกมีความรักความห่วงใยมารดาของเจ้า ต่างจากลูกคนอื่นๆ ดังนั้นตถาคตจึงลงมาเพื่อช่วยเจ้า” ธิดาพราหมณ์ตั้งใจฟังพระดำรัส เธอทอดตัวลงพื้นร่ำไห้เป็นอันมาก เธอกลัวว่าเธอเองจะตายไปจากโลกมนุษย์ เธอร้องขอให้พระพุทธองค์ได้โปรดเธอให้หายจากความกังวลใจ ว่ามารดาของเธอไปเกิดที่ใด พระพุทธองค์รับสั่งว่า “ธิดาผู้ประเสริฐแล้วท่อพระนามของพระตถาคต เจ้าก็จะได้รู้ว่ามารดาของเจ้าไปเกิด ณ ที่ใด”

                “ธิดาพราหมณ์ถวายสักการะแล้วกลับบ้าน ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาชี้แนะ เมื่อเธอได้ทำสมาธิไปชั่วหนึ่งวันกันหนึ่งคืนเธอพบว่าตัวของเธอได้มายืนอยู่ริมฝั่งทะเล มีสัตว์ที่มีผิวหน้าเป็นเหล็กพากันเดินอย่างเร่งรีบไปมา เดินขึ้น เดินลง เดินจากตะวันออกไปตะวันตก ตะวันตกไปตะวันออกในน้ำทะเลที่กำลังเดือดพล่าน เธอเห็นผู้คนทั้งหญิงชายจำนวนนับแสนนับล้าน ตะเกียกตะกายอยู่ในคลื่นมหาสมุทร พยายามที่จะหลบหนีจากสัตว์ที่มีผิวหน้าเป็นเหล็กที่ดุร้ายนอกจากนั้นเธอได้เห็นยักษ์ปรากฏอยู่ทั้งบนดินและในอากาศ ทั้งดุร้ายและกินคน พวกนี้มีเท้า มีตา และศีรษะจำนวนมาก ทั้งฟันก็แหลมคม เหมือนคมหอกคมดาบ ยักษ์ที่ดุร้ายพวกนี้คอยไล่หญิงชายเหล่านั้น เข้าไปหาสัตว์ที่ดุร้าย  และพวกเขาเองก็กราดเกรี้ยวกับหญิงชายเหล่านั้น ภาพที่เธอได้เห็นนั้นน่ากลัวมาก เธอไม่กล้ามองนาน ทั้งๆที่ภาพที่เธอเห็น เป็นไปด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้าก็ตาม ขณะนั้นมีพระราชาแห่งภูตน้ำ มีพระนามว่า ไร้พิษ ได้เข้ามาเชื้อเชิญเธอ โดยรับสั่งว่า “ธิดาผู้ประเสริฐ เธอเป็นพระโพธิสัตต์ ทำไมถึงลงมาในสภาพที่เช่นนี้” ธิดาพราหมณ์จึงถามว่า เธออยู่ ณ ที่ใด ราชภูตไร้พิษตอบว่า “ที่นี่เป็นมหาจักรวาล” (มหาสมุทรแรกทางตะวันตก) ธิดาพราหมณ์จึงบอกว่า “ดิฉันได้รับคำบอกเล่ามาว่ามีนรกอยู่ภายในที่ห้อมล้อมด้วยกำแพงเหล็กใช่หรือไม่” ราชภูตไร้พิษตอบว่า ”ถูกต้องแล้ว” ธิดาพราหมณ์จึงถามต่อว่า “แล้วทำไมดิฉันจึงลงมาในนรกได้” ราชภูตไร้พิษอธิบายว่า น่าจะเป็นอำนาจของพระพุทธเจ้า หรือเป็นเพราะกุศลกรรมของนางเอง เพราะมิฉะนั้นแล้ว เธอจะลงมายังมหาจักรวาลไม่ได้ ธิดาพราหมณ์จึงถามต่อไปว่า น้ำในทะเลเดือดเช่นนั้นและทั้งมีความบาปอยู่จำนวนมาก รวมทั้งสัตว์ที่ดุร่าย

                ราชภูตไร้พิษตอบว่า “คนบาปเหล่านั้นเป็นคนที่ตายจากโลกมนุษย์ลงมาใหม่ หลังจากผ่านไป 49 วัน หากไม่ปรากฏว่าบุตรหลายได้ทำบุญทำทานเพื่อช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ ทั้งในเวลาที่มีชีวิตอยู่คนเหล่านี้ก็ประกอบแต่กรรมชั่ว มิได้เคยทำประโยชน์ใดๆเพื่อมนุษยชาติ ประกอบแต่กรรมชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ อั้นมีระยะทางยาวไกล นับเป็นโกฏิไมล์ไปทางทิศตะวันออก ยังมีทะเลอีกแห่งหนึ่ง ที่คนบาปจะต้องถูกลงโทษเป็นสองเท่า ทางตะวันออกจะมีอีกทะเลหนึ่ง และถัดไปก็จะมีอีกทะเลหนึ่ง ที่คนบาปจะต้องรับโทษมหันตโทษ

                “ทะเลทั้งสามที่กล่าวมานี้ คือทะเลแห่งความทุกข์ ผู้ที่ทำบาปทางกาย วาจา ใจ จะถูกโยนลงในทะเลนี้เพื่อเป็นการลงโทษ เพราะความชั่วบาปของเขา

                ธิดาผู้ประเสริฐถามราชภูตไร้พิษว่า “นรกอยู่ไหนกันคะ” ราชภูตไร้พิษตอบว่า “ภายในทะเลแห่งความทุกข์นี้ มีนรกขุมต่างๆนับจำนวนพัน มีนรกใหญ่ 18 ขุม และนรกย่อยอีก 500 แห่ง ที่คนบาปจะต้องลงไปรับโทษทัณฑ์ นอกจากนั้นก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ เพราะไม่ได้ทำผิดร้ายแรงในช่วงชีวิต”

ธิดาผู้ประเสริฐทูลราชภูตไร้พิษว่า ”มารดาของดิฉันตายไปเมื่อไม่นาน ดิฉันอยากทราบว่าท่านถูกส่งไปที่ใด”

ราชภูตไร้พิษถามธิดาผู้ประเสริฐว่า “มารดาของเจ้าประกอบกรรมใดในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่”

ธิดาผู้ประเสริฐตอบว่า “สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น มารดาเป็นคนที่มีทิฏฐิต่อพระรัตนตรัย และได้พูดจาล่วงเกินอยู่ เธอพยายามที่จะยึดถือในพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีศรัทธาพอเพียง เพิ่งสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง และดิฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ใด” ราชภูตไร้พิษถามต่อว่า “มารดาของเธอชื่ออะไร” ธิดาผู้ประเสริฐตอบว่า” ทั้งบิดามารดาเป็นพราหมณ์ บิดาชื่อ คีลาเช็นเช็น และมารดาชื่อยวดทีลี่”

ราชภูตไร้พิษตอบธิดาผู้ประเสริฐโดยการพนมมือแล้วกล่าวว่า “ธิดาผู้ประเสริฐ ไม่ต้องวิตกกังวล ให้กลับบ้านได้ด้วยใจเบิกบาน มารดาของเจ้าได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้วเมื่อ 3 วันก่อน ด้วยความกตัญญูกตเวทิตาของเจ้า ที่ได้ถวายดอกไม้พร้อมเครื่องสักการะแก่พระสมาธิพุทธบุปผาพุทธเจ้า ทำให้มารดาของเจ้าหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อแจ้งข่าวเรื่องมารดาให้ธิดาผู้ประเสริฐได้รับทราบแล้ว ราชภูตไร้พิษก็พนมมือแล้วลาไป ธิดาผู้ประเสริฐครั้นได้รับข่าวดีก็รู้สึกว่าตนกังวลไปโดยใช่เหตุ เธอคุกเข่าลงกราบพระสมาธิพุทธบุปผาพุทธเจ้า และตั้งประณิธานว่า “ลูกจะพากเพียรพยายามที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ข้าพ้นโอฆสงสาร ต่อไปในภายภาคหน้าอีกหลายกัปหลายกัลป์”

บทที่ 2

ที่ประชุมของภาคต่างๆ ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                ในเวลานั้น จำนวนภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ขึ้นมาจากนรกมีจำนวนมหาศาลมาประชุมกันที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แน่นขนัด และสรรพสัตว์ทั้งหลายพากันถือดอกไม้และธูปเทียน เพื่อมาสักการะพระผู้ทรงคุณยิ่ง สรรพสัตว์เหล่านี้ ครั้งหนึ่งเคยได้รับทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เป็นเวลาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ในโอฆสงสารแห่งการเวียนตายเวียนเกิดด้วยพระมหากรุณาและบารมีจากประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า พวกนี้จึงหันมารับนับถือพระรัตนตรัยและได้บรรลุนิพพานในที่สุด พวกเขาจึงพากันมาประชุมพร้อมกัน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พากันมาเฝ้าแหนเพื่อแสดงความรารวะอย่างสูงสุดและพากันมาชื่นชมบุญบารมีของพระผู้ทรงคุณแห่งโลก

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงยื่นพระหัตถ์สีทองเพื่อประทานพรแก่ภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และรับสั่งว่า “ขอแสดงความชื่นชมที่ประสบความสำเร็จในการนำพาสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นโอฆสงสารสู่นิพพาน ในความจริงแล้วพระตถาคตก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโปรดสรรพสัตว์ ไม่ว่าพวกเขาจะฉลาดหรือโง่เชลา เพื่อให้เข้าสู่สัมมาทิฏฐิ และได้พบพระธรรม แม้ว่าตถาคตจะเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด แต่ในนิบคนก็จะมีสักคนหนึ่งหรือสองคนที่โปรดไม่ได้ ตถาคตจึงขอให้ท่านได้ช่วยสรรพสัตว์ที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้โปรดมาแล้วให้ได้ถึงซึ่งความหลุดพ้น มีคนบางคนที่ฉลาดมีปัญญา ก็จะสามารถกลับใจได้หลังจากที่ได้ฟังธรรมของพระตถาคต แต่คนบาปที่ด้วยปัญญาจะกลับใจได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นเวลานานสำหรับคนที่หัวดื้อก็ยากที่จะคาดหวังศรัทธาจากพวกเขาแม้จะมีอุปสรรคใดๆก็ตาม ตถาคตก็เพียรพยายามที่จะทำให้สรรพสัตว์ผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ได้กลับใจนำไปสู่ความหลุดพ้น โดยการใช้รูปต่างๆ ตถาคตได้ใช้ภาคผู้หญิง ภาคผู้ชาย เป็นเทพ เป็นวิญญาณ เป็นภูตผีปีศาจ เป็นภูเขา ป่าไม้ ลำธาร แม่น้ำ สระน้ำ หรือภาคใดๆก็ตาม เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อที่จะช่วยให้เขากลับใจโดยไม่มีข้อยกเว้น บางครั้งตถาคตก็ต้องแปลงเป็นจักรพรรดิ หรือพระพรหม เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นกษัตริย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นขาราชการชั้นสูง เป็นภิกษุ หรือภิกษุณี เป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพระสาวก เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธ หรือเป็นพระโพธิสัตต์ เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ ตถาคตมิได้โปรดสรรพสัตว์ลำพังในภาคของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ท่านก็คงจำได้ว่าตถาคตอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ในการรื้อสัตว์ขนสัตว์แม้ผู้ที่หัวดื้อหัวรั้นเพื่อให้เขาได้เข้าถึงความหลุดพ้น คนที่หัวดื้อก็ยังคงมีอยู่ และหากเขาต้องถูกส่งลงไปในยมโลกเพื่อรับโทษ ขอให้ท่านระลึกด้วยว่า ตถาคตขอร้องให้ท่านได้ตั้งใจที่จะช่วยพวกเขาเข้าถึงฝั่งพระนิพพานเข้าสู่การตรัสรู้จนกว่าจะถึงมัยของพระศรีอริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าในอนาคตจะได้ลงมาตรัสในโลกนี้

                ในขณะนั้น ภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่มาจากจักรวาลต่างๆรวมกันเข้าเป็นองค์เดียว อสุชลคลอพระเนตร ทูลพระพุทธองค์ว่า”พระผฆู้มีพระภาคได้ทรงพระเมตตา ที่ได้ประทานอิทธิฤทธิ์และปัญญาทางธรรมขั้นโลกุตระแก่ข้าพระองค์มาหลายกัปป์หลายกัลป์ขอให้ปางต่างๆของข้าพระองค์ประสบความสำเร็จครอบคลุมไปสู่จักรวาลต่างๆ เพื่อนำสรรพสัตว์ไปสู่ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง แม้ว่ามนุษย์จะยังไม่มีความสนใจแม้น้อยนิดที่จะสร้างกุศลกรรม ข้าพระองค์ก็จะเพียรพยายามที่จะทำให้เขากลับใจ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะนำประโยชน์สุขมาให้ทุกคน ขอพระองค์อย่าทรงได้ท้อถอยในอกุศลกรรมของสรรพสัตว์ ข้าพระองค์จะรับหน้าที่ในการที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์จนข้ามพ้นสู่ฝั่งพระนิพพาน

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลขอร้องมิให้พระพุทธองค์ทรงท้อถอยกับอกุศลกรรมของสรรพสัตว์ แท้ในกาลต่อไปข้างหน้า ได้ทรงกล่าวประณิธาน 3 ครั้ง พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงยินดีและรับสั่งว่า “ขอพรจงบังเกิดแก่ท่าน ตถาคตชื่นชมความตั้งใจมั่นของท่าน และขอชื่นชมต่อความพยายามของท่าน ที่จะเยียวยาโลกมนุษย์ และขอให้ท่านได้บรรลุพุทธภูมิเมื่อภาระหน้าที่ของท่านจบสิ้นลง”

บทที่ 3

การสังเกตดูวิบากกรรมของมนุษย์ทั้งปวง

                ขณะนั้นพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา ทูลถามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ด้วยความเคารพโดยการประณมหัตถ์ทั้งสองแล้วทูลว่า “มนุษย์ผู้อยู่ในสังสารวัฏประกอบอกุศลสิ่งชั่ว เขาจะได้รับผลของกรรมอย่างไรหรือ

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลตอบว่า “โลกนั้นมีจำนวนหลายล้านบางแห่ง ท่านก็จะพบนรกเหรือกันในโลกสังสารวัฏ บางแห่งไม่มีนรกเช่นในพุทธเกษตร สุขาวดี บางแห่งมีผู้หญิง บางแห่งไม่มีผู้หญิง บางแห่งท่านก็จะสามารถได้ยินเสียงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บางแห่งผู้คนก็ไม่มีโอกาสได้ยินพระธรรมของพระพุทธองค์ บางแห่งมีพระสาวก อรหันต์ ปัจเจกพุทธเจ้า ฯลฯแต่บางแห่งก็ไม่มี ดังนั้น ความทุกข์ในนรกต่างๆจึงมากมาย และไม่สามารถบรรยายในรายละเอียดได้”

                พระนางสิริมหามายาจึงทูลถามขึ้นอีกครั้งว่า “หม่อมฉันขอทราบเฉพาะความทุกข์ในรูปแบบต่างในโลกแห่งสังสารวัฏ”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าจึงทูลว่า “พระมารดาผู้ประเสริฐหม่อมฉันของทูลโดยย่อ ผลของกรรมสำหรับมนุษย์ในโลกมนุษย์นั้นมากมายมหาศาลนัก ผู้ที่ไม่เชื่อฟังบิดามารดา สมาคมกับคนชั่ว จะตกนรกอเวจี และจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ โดยไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ ผู้ที่ทำร้ายพระพุทธองค์ โดยการทำลายรูปเครรพของพระองค์ก็ดี พูดจาดูถูกพระรัตนตรัยก็ดี ไม่เคารพในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี จะลงนรกอเวจีชั่วกัปป์ชั่วกัลป์คนที่ทำอันตรายแก่วัดวาอาราม ประพฤติละเมิดพรหมจรรย์ของพระภิกษุ ภิกษุณี พรากชีวิตผู้อื่นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกลงไปในอเวจี ทนทุกข์ยากตลอดไป ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามวิถีของพระภิกษุโดยไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ชี้นำผู้อื่นทำกรรมชั่วต่างๆจะตกนรกอเวจีได้รับโทษทัณฑ์ประเภทเดียวกัน คนที่ชอบขโมยของวัด เช่นเงิน ข้าว อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือข้าวของทำนองเดียวกัน จะตกลงไปในนรกอเวจี ทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าทูลย้ำกับพระนางสิริมหามายาว่า “คนบาปที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นจะได้รับโทษทัณฑ์โดยมิได้ว่างเว้น”

                พระนางสิริมหามายา ทูลถามว่า “นรกอเวจีนั้นหมายความว่าอย่างไรเพคะ”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ทรงอธิบายว่า “พระมารดาผู้ประเสริฐ ในมหาจักรวาลนั้นมีนรกอยู่มากมาย นอกจาก 8 ขุมใหญ่ แล้วยังมี 500 ขุมย่อย และอีก 1000 ขุม ต่างมีชื่อเรียกต่างๆกัน นรกอเวจี หมายถึงขุมที่มีกำแพงเหล็กกั้น กว้างถึง 8 ล้านไมล์ และสูง 1 ล้านไมล์ นรกนี้มีไฟลุกท่วมตลอดเวลามีนรกอื่นๆต่อกันไป ต่างมีชื่อเรียกต่างกันเฉพาะนรกขุมนี้เรียกว่าอวเจี ในนรกอเวจีมีเนื้อที่ 8000ตารางไมล์  นรกนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก มีเปลวไฟลุกอยู่ตลอดเวลา มีสุนัขและงูเหล็กที่วิ่งจากตันออกไปจรดตะวันตก นอกจากนี้ยังมีเตียงเหล็ก คนที่ตกลงไปที่นั่นก็จะต้องรับกรรมตามที่ตนก่อไว้ มียักษ์ที่มีนัยน์ตาเหมือนดวงไฟ มีมือเหมือนอุ้งเล็บเหยี่ยวที่คอยลงโทษคนบาปด้วยการใช้อุ้งเล็บตะกาย ยักษ์คอยทิ่มแทงคนบาป จับโยนขึ้นไปแล้วให้ตกลงมาจนตาย มีนกเหยี่ยวเหล็กที่คอยจกนัยน์ตาคนบาป งอเหลี่ยมคอยขดรัดคอคนบาป เล็บที่ยาวและแหลมทิ่มแขนขา ลิ้นก็จะถูกลากออกมาด้วยคีมเหล็ก แล้วเอาเลื่อยตัดลำไส้ น้ำเหล็กที่ร้อนๆถูกกรอกเข้าไปในปาก ลวดเหล็กร้อนเอามารัดตัว คนบาปแต่ละคนจะถูกลงโทษตามอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยไม่มีทางหนี เมื่อสิ้นสุดโลกนี้ คนบาปจะถูกขนย้ายถ่ายเทไปโลกอื่น และต้องรับโทษทัณฑ์ต่อไปในโลกใหม่

                การลงโทษในนรกอเวจีจะเป็นไปตามที่ว่านี้ โดยมีกฎ 5 ข้อ

                1 คนบาปจะถูกลงโทษทั้งกลางวันกลางคืน ชั่วกัปชั่วกัลป์โดยไม่มีหยุดพัก เป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้จบ

                2 จะถูกขึงอยู่บนเตียงทรมาน ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง โดยไม่มีกำหนด

                3 การถูกลงโทษด้วยอาวุธ ได้แก่ ล้อมเหล็ก ไม้เหล็ก งูเหล็ก เหยี่ยวเหล็ก สุนัขจิ้งจอกเหล็ก สุนัขเหล็ก เลื่อยเหล็ก ค้อนเหล็ก กระทะเหล็ก ลวดเหล็ก ลาเหล็ก ม้าเหล็ก ลูกตุ้มเหล็ก และเหล็กเหลว ฯลฯ ไม่มีประมาณ

                4 ไม่ว่าหญิงหรือชาย ผู้ดีหรือไพร่ เด็กหรือแก่ รวยหรือจน ภูตหรือปีศาจ หรือเทวดา ก็จะต้องได้รับกรรมตามวิบากของตน โดยไม่แตกต่างกัน

                5 เมื่อตกในนรกนี้ จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยการลงโทษแบบต่างๆทั้งกลางวันกลางคืน โดยไม่มีพัก และไม่มีทางหนี จนกว่าจะหมดกรรม

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลพระพุทธมารดาว่า “นี่เป็นคำอธิบายนรกโดยสังเขป แม้เพียงจะเอ่ยชื่อขุมนรกต่างๆเหล่านี้ ก็จะต้องใช้เวลานานถึง 1 กัป”

                หลังจากที่พระนางสิริมหามายาได้ฟังคำอธิบายจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พระนางพนมมือลาไปด้วยความเคร้าพระทัย

บทที่ 4

                ขณะนั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้กราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ด้วยโลกุตรญาณของพระองค์ ข้าพระองค์จึงสามารถแปลงเป็นภาคต่างๆไปทั่วจักรวาลต่างๆนับจำนวนล้าน เพื่อโปรดสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากให้หลุดพ้น ด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ตลอดจนบุญฤทธิ์ของพระองค์ ที่ทำให้ข้าพระองค์สามารถปรากฏในภาคต่างๆได้ ข้าพระองค์ขอตั้งใจมั่นถวายสัจวาจาว่าจะช่วยปลดเปลื้องสรรพสัตว์ออกจากกองทุกข์ และนำพวกเขาเข้าสู่ความหลุดพ้น ข้าพระองค์เต็มใจจะทำงานหนักจนตราบเท่ายุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสในโลกนี้ ขอพระองค์อย่างได้ทรงกริ่งเกรงพระทัย”

                พระศากยมุนีรับสั่งกันพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “อำนาจแห่งการรับรู้ของปุถุชนในสังสารวัฏยังไม่มั่นคง บางทีก็ทำกุศล แต่บางทีก็ยังทำสิ่งที่เป็นอกุศล และพวกเขาก็ต้องได้รับวิบากรรมตามการกระทำของตน เขาจะต้องเวียนตายเวียนเกิด จะต้องถูกทดสอบในสภาพต่างๆในทะเลนรกอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ พวกเขาจะต้องตกอยู่ในภพใดภพหนึ่งในห้าอย่าง คือ

1 หมนุษย์ 2 สัตว์ 3 สัตว์นรก 4 เปรต 5 อสูร

                เหมือนกันปลาที่จะต้องติดตาบ่ายในท้ายสุด จะถูกปล่อยแล้วก็จะถูกจับขึ้นมาอีก

                พระตถาคตจึงห่วงใยสรรพสัตว์เหล่านี้ แต่ตามที่ท่านตั้งประณิธานแน่วแน่ ที่จะรับภาระหน้าที่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ในการช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ผู้หลงผิดให้เข้าถึงฝั่งพระนิพพาน ตถาคคตก็วางใจได้

                ขณะนั้น เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีพระมหาสัตต์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า อิศวรเทพ เข้ามาเฝ้าพระพุทธองค์แล้วกราบทูลว่า “พระโลกนาถเจ้า พระองค์ได้ทรงสรรเสริญปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าที่ทรงอุทิศพระองค์ทำงานอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ขอพระองค์ได้โปรดรับสั่งถึงภาระของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เด้วยเถิดพระเจ้าข้า

                พระองค์จึงมีรับสั่งกับอิศวรเทพว่า “ขอให้ตั้งใจฟังเถิด”

1 ครั้งหนึ่งเมื่อท่านเคยเป็นราชาแห่งเมืองเล็กๆ

                หลายกัปหลายกัลป์ก่อนหน้านี้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า วรวัชนะ ผู้ทรงพระปรีชาญาณ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระชนม์ยืนยาวถึง 6 ล้านกัป ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระราชาครองเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ทรงมีพระราชาที่ครองเมืองข้างเคียงเป็นพระสหาย พระราชาทั้งสองต่างๆดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม แต่โชคร้ายที่พสกนิกรของเมืองพระราชาที่เป็นพระสหายนั้นประกอบอกุศลกรรมอยู่เสมอ พระราชทั้งสองก็ทรงปรึกษากัน หาวิธีที่จะทำให้พสกนิกรตั้งมั่นอยู่ในชีวิตอันเกษม พระราชาองค์แรกจะได้โปรดพสกนิกรของพระองค์ให้เข้าสู่ความหลุดพ้น เช่นกัน พระราชาอีพระองค์หนึ่งทรงตั้งประณิธานว่า พระองค์ขอที่จะไม่เป็นพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ช่วยโปรดคนบาปจนพวกเขาหลุดพ้น พระราชาที่ตั้งประณิธานที่จะเป็นพระพุทธเจ้าคือสรวัชนะพุทธะ พระพุทธเจ้าผู้ทรงปัญญาเป็นเลิศ พระราชอีกพระองค์หนึ่ง ที่ทรงตั้งประณิธานไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจนกว่าจะได้ช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เข้าถึงความหลุดพ้นคือพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

2 ครั้งหนึ่งทรงเกิดเป็นธิดาพราหมณ์

                หลายกัลป์ที่ผ่านมา มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้า ผู้ทรงพระปรีชาญาณเป็นเลิศ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชนมายุยืนยาวถึง 40 กัป ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง บำเพ็ญเพียรในการที่จะสอนพระธรรมแก่สรรพสัตว์เพื่อให้กับใจประพฤติปฏิบัติชอบ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อกงม๊อก แปลว่าจรัสเนตร จรัสเนตรได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระอรหันต์ ท่านจึงถามนางว่านางปรารถนาสิ่งใด นางตอบว่า “ดิฉันพยายามทำบุญในวันที่มารดาตาย เพื่อให้มารดาได้พ้นทุกข์ ดิฉันอยากรู้ว่าบัดนี้มารดาอยู่ในภพภูมิใด” พระอรหันต์เกิดความเมตตาสงสาร จึงทำสมาธิเพื่อตรวจดู และรู้ว่ามารดาของนางตกลงไปในนรก ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส พระอรหันต์จึงไถ่ถามนางว่า ในเวลาที่มีชีวิตอยู่นั้น มารดาของพระนางดำเนินชีวิตอย่างไร จึงต้องตกนรกได้รับทุกข์โทษทัณฑ์แสนสาหัส นางจึงเล่าว่า “แม่เป็นคนชอบกินเนื้อเต่า โดยเฉพาะไข่เต่า ทั้งปลาทอดและต้ม แม่จึงได้ฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก พระผู้เมตตา โปรดบอกดิฉันด้วยเถิดว่าดิฉันจะต้องทำอะไรเพื่อช่วยให้แม่พ้นทุกข์” พระอรหันต์ผู้เปี่ยมด้วยความกรุณา จึงแนะให้นางสวดมนต์พระนามพระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าด้วยความตั้งใจมั่นและด้วยความเคารพ และนางควรจะได้แกะสลักรูปพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นการสร้างบุญกุศลทั่วแก่มารดาและแก่ตัวนางเอง

                เมื่อรับฟังคำชี้แนะจากพระอรหันต์ นางจึงขายทรัพย์สมบัติที่มีค่า ด้วยเงินนั้น นางได้สร้างพระพุทธรูปไว้สักการะกราบไหว้บูชา จากนั้น นางก็ได้สวดมนต์อ้อนวอนอยากจะทราบว่ามารดาไปอยู่ ณ ที่ใด ฉับพลัน ในคืนหนึ่ง นางได้เห็นพระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์ท่ามกลาง แสงโอภาสสีทองสุกปลั่งมีขนาดใหญ่ดุจเขาพระสุเมรุ และรับสั่งแก่นางว่า “มารดาของเจ้าจะได้ไปเกิดในครอบครัวของเจ้า เป็นบุตรชายของคนรับใช้ และจะพูดได้ทันทีที่รู้ร้อนรู้หนาวและรู้จักความหิว” ไม่ช้าไม่นาน คนรับใช้ในบ้านก็ให้กำเนิดบุตรชาย ทารกที่เกิดใหม่นั้นพูดได้หลังจากที่คลอดได้ 3 วัน ทารกที่เกิดใหม่นั้นพูดกับนางที่ร้องไห้อย่างขมขื่นว่า “ผู้ใดก็ตามทำอกุศลกรรมใดไว้ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมโดยไม่มีข้อยกเว้น เราเป็นมารดาของเจ้า หลังจากที่แม่จากเจ้าไป แม่ตกลงไปใช้กรรมในนรกทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ด้วยกุศลกรรมที่ลูกทำแล้ว อุทิศไปให้แม่ ทำให้แม่ได้มาเกิดใหม่ในชาตินี้ เป็นบุตรชายของคนรับใช้ของลูก แต่ด้วยอกุศลกรรมที่ทำไว้ยังไม่หมดสิ้น แม่จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง13 ปี และจะตกไปในนรกอีก ลูกเอ๋ย จะมีวิธีใดเล่าที่จะช่วยให้แม่ต้องพ้นจากความทุกข์ยากนี้” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้เป็นธิดาก็แน่ใจว่า บุตรชายของหญิงรับใช้นั้นเป็นมารดากลับมาเกิดใหม่จริงๆ

                ธิดาจึงกล่าวกับทารกน้อยว่า “ในเมื่อท่านเป็นแม่ของข้าในชาติก่อน ท่านจะต้องรู้ว่าท่านทำบาปทำกรรมใดไว้ จึงต้องตกลงไปในอบายภูมิ” ทารกน้อยตอบว่า “ฉันทำบาปไว้ 2 ประการหลัก โดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และการพูดส่อเสียดด่าทอให้ร้ายคนอื่น ถ้าลูกไม่ได้ช่วยไว้โดยการบำเพ็ญเพียรในกุศลของเจ้า แม่จะไม่มีวันได้หลุดพ้นจากการถูกลงโทษทัณฑ์เลย” ธิดาจึงถามทารกต่อว่า “เมื่ออยู่ในนรกนั้น ท่านทุกข์ยากอย่างไรบ้าง” มารดาตอบว่า “ความทุกข์ทรมานนั้นแสนสาหัสแม่ไม่อาจจะพรรณนาได้ครบถ้วน แม้ว่าจะมีเวลาพันปี” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ธิดาก็ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศก “จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้แม่ไม่ต้องกลังไปรับทุกข์ทรมานอีก” ต่อมาบุตรชายของหญิงรับใช้ก็ตายลงเมื่ออายุได้ 13 ปี

                ในขณะนั้น ผู้เป็นธิดาก็ได้สวดมนต์อ้อนวอน “พระผู้มีพระภาคผู้เป็นโลกนาถแห่งทิศทั้งสิบ ขอได้โปรดรับฟังเสียงอ้อนวอนของลูกหากมารดาของลูกจะพ้นจากความทุกข์ยากในสามภพ จะได้มาบังเกิดในครอบครัวที่ยากจน หรือจะไม่ได้มาเกิดเป็นหญิงอีกเลยก็ตามที บัดนี้ลูกตั้งประณิธานต่อพระพักตร์ของพระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าว่า ลูกจะพากเพียรพยายามที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์จากขุมนรก รวมทั้งผู้ทุกข์ยากในสภาพที่ต่างๆจากจักรวาลทั้งหลาย และนำพวกเขาเข้าสู่ความหลุดพ้นลูกจะขอแสวงหาพระนิพพานก็ต่อเมื่อได้ช่วยสรรพสัตว์ให้ถึงพระนิพพานแล้ว”

                หลังจากที่ได้ตั้งประณิธานแล้ว พระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าได้รับสั่งกันนางว่า “เจ้าเป็นลูกที่มีความกตัญญูกตเวทิตาเป็นอย่างยิ่ง ข้าจึงได้ตั้งประณิธานเพื่อช่วยเหลือมารดาของเจ้า ขอให้มารดาของเจ้าได้ไปเกิดเป็นพรหมจาริน เป็นพราหมณ์หนุ่มจนมีอายุ 13 ปี จากนั้นจะได้ไปเกิดใหม่มีอายุถึง 100 ปี จากนั้นนางจะได้ไปเกิดในจักรวาลที่จะไม่ต้องมีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป และที่นั่นเธอจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวชั่วกัปชั่วกัลป์ จนท้ายที่สุดได้บรรลุพุทธภูมิ จากนั้น เธอจะได้โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์มีจำนวนนับด้วยเม็ดทรายในคงคานที”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับราชภูตว่า พระอรหันต์ผู้ช่วยจรัสเนตรให้ได้ช่วยเหลือมารดาของนางได้สำเร็จ คืออักษยมติโพธิสัตว์มารดาของจรัสเนตรปัจจุบันเป็นพระโพธิสัตต์แห่งความหลุดพ้น จรัสเนตรผู้เป็นธิดา บัดนี้คือกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า”

                เป็นที่รู้จักกันดีว่า กษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทรงมีพระเมตตาสงสารคอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้เข้าสู่ความหลุดพ้นกัปแล้วกัปเล่า ในอนาคตหากชายหญิงใด ด้วยอวิชชาความโง่เขลา ไม่กระทำกุศล สร้างแต่อกุศลกรรมทั้งกายวาจาใจ ทั้งไม่เคารพในกฎแห่งกรรม ก็จะต้องทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ

                แต่เมื่อมีโอกาสได้พบผู้มีปัญญาที่จะชักนำเขาให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า แม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเขาก็จะสามารถหลุดพ้นออกมาจากอบายทั้งสามภูมิได้

                และเช่นกัน หากยึดมั่นในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ถวายความเคารพสักการะต่อพระองค์ ด้วยกุศลจิต ถวายดอกไม้ของหอม จีวร เพชรนิลจินดา (เป็นเครื่องบูชา) พร้อมทั้งอาหารเครื่องดื่ม ก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทิพย์เป็นเวลาหลายกัป เมื่อผลจากบุญกุศลนี้หมดลง ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระราชาครองสิริราชสมบัติอีกนับร้อยกัป พระราชาเหล่านี้จะได้ระลึกรู้ในกฎแห่งกรรมในอดีตหนหลัง

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้รับสั่งกับอิศวรเทวราชว่า “ด้วยอำนาจอันมหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นยิ่งใหญ่นัก และประโยชน์ที่พระองค์ช่วยเหลือมนุษย์ก็หาขอบเขตจำกัดมิได้ ท่านทั้งหลายที่เป็นพระโพธิสัตต์จึงพึงระลึกรู้ในพระสูตร และช่วยกันเผยแพร่ให้กว้างไกลไพศาล” อิศวรเทวราชจึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ขอพระองค์อย่าได้หวั่นวิตก พวกเราพระมหาโพธิสัตต์จำนวนล้านล้านองค์ ย่อมสืบสานคำสั่งสอนของพระองค์ และด้วยบารมีแห่งอำนาจอันหาที่ประมาณมิได้ของพระพุทธองค์ พวกเราจะนำกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรออกเผยแพร่ให้ขจรขจาย เพื่อที่จะได้นำความสุขและประโยชน์สุขมาให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในสังสารวัฏ” เมื่อได้ถวายคำมั่นสัญญา อิศวรเทวราชได้กลับไปประทับในที่ของพระองค์ พร้อมพนมหัตถ์อยู่ระหว่างพระอุระด้วยความเคารพ มหาราชแห่งเทวราชทั้งจตุรทิศลุกขึ้นถวายสักการะต่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าพลางว่า “พระโลกนาถเจ้า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้ทรงตั้งประณิธานเป็นเวลาหลายกัปมาแล้ว ทำไมจึงยังมีสรรพสัตว์ที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ และเหตุใดที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงต้องตั้งประณิธานอีก” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงอธิบายให้ท้าวเทวราชแห่งจตุรทิศฟังว่า   “คำถามของพวกท่านประเสริฐแล้ว   เพื่อประโยชน์แห่งท้าวเทวราชทั้งสี่   ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก ทั้งในปัจจุบันและตลอดจนถึงอนาคต ตถาคตจะเล่าให้ฟังว่า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยมหากรุณาของพระองค์ ได้ช่วยปลดปล่อยสรรพสัตว์จากสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และช่วยให้เขาหลุดพ้นในท้ายที่สุดอย่างไร” เทวราชจากจตุรทิศรับปากพร้อมกันว่า “พวกเราจะผังด้วยความใส่ใจยิ่งพระเจ้าข้า” พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงรับสั่งต่อไปว่า “แม้ว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะได้ช่วยมนุษย์ผู้ตั้งมั่นในมิจฉาทิฏฐิได้กลับใจและหลุดพ้นมายาวนานหลายกัปแล้วก็ตามที พระองค์ก็หาได้พอพระทัยไม่ พระองค์ทรงสงสารเหล่าคนบาปที่ยังเวียนว่ายอยู่  รู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไร เราเขาก็ยังตกอยู่ในวังวนแห่งอกุศลกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับหญ้าแพรกที่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างไกลดังนั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงต้องตั้งประณิธานซ้ำแล้วซ้ำอีก พระองค์ทรงใช้ความเพียรพยายามโดยมิได้หยุดหย่อนในการหาอุบายที่เหมาะสมเพื่อจะช่วยคนบาป และโปรดพวกเขาให้เข้าถึงสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์

                จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับเทวราชทั้ง 4 ทิศว่า “หากพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้พบคนบาปที่ประกอบอกุศลโดยการทำลายล้างชีวิต พระองค์จะทรงสอนให้พวกเขาเห็นว่า อกุศลเช่นนั้นจะทำให้ชีวิตเขาสั้นลง หากทรงพานพบโจรขโมย พระองค์จะทรงสอนให้เขาเข้าใจว่าการกระทำของเขาย่อมสร้างความทุกข์ยากและความยากจนให้แก่คนอื่น เมื่อพบกับผู้ที่ละเมิดทางเพศ ก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า เขาจะต้องไปเกิดเป็นนกพิราบที่ไม่ยอมพรากจากคู่ของมัน และทรงสอนพวกที่ชอบพูดคำหยาบว่าจะต้องไปเกิดในครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา คนที่ชอบพูดนินทาว่าร้ายคนอื่น ท่านก็จะทรงตักเตือนว่า จะต้องไปเกิดเป็นคนพิการไม่มีลิ้น ลิ้นไก่สั้น หรือเป็นแผลร้ายในปาก คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวนั้น ทรงเตือนว่า จะต้องเลี่ยงไปเกิดเป็นคนหน้าตาน่าเกลียด และร่างกายพิกลพิการ คนขึ้นเหนียวจะไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จความปรารถนา คนที่ขี้โลภก็จะทุกข์ทรมานอยู่ในความหิวกระหาย และทุกข์ทรมานกับโรคเจ็บคอเรื้อรัง สำหรับคนที่เป็นนายพรานทรงสอนว่า เขาจะตายด้วยความตายที่รุนแรง คนที่เคารพบิดามารดา จะต้องตายในสงครามหรือการสู้รบ คนที่เผาป่าจะตายด้วยโรคบ้าคลั่ง คนที่ขาดความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดาเลี้ยง ก็จะได้รับการตอบสนองในทำนองเดียวกัน คนที่ชอบจับสัตว์ในตาข่ายจะต้องพลัดพรากจากบุตรหลานและครอบครัว คนที่จ้วงจาบพระรัตนตรัย เมื่อไปเกิดก็จะเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด คนที่ไม่เคารพในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะตกนรก คนที่ขโมยของจากวัด จะต้องไปตกในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ ภิกษุ และภิกษุณี ต้องอาบัติเรื่องเมถุน จะต้องไปเวียนตายเวียนเกิดเป็นสัตว์โดยไม่รู้จบ แม้อุบาสกอุบาสิกาที่ได้รับศีลมาอย่างดีแล้วละเมิด ก็จะต้องรับโทษทัณฑ์ทำนองเดียวกัน ผู้ที่ทำร้ายคนอื่นด้วยน้ำร้อนก็ดี ด้วยไฟก็ดี ทำร้ายโดยการห้ำหั่นก็ดี ครั้นไปเกิดในชาติหน้าภพหน้าก็จะต้องรับวิบากเช่นเดียวกัน ผู้ที่สนับสนุนให้ผู้อื่นละเมิดศีล จะไปเกิดเป็นสัตว์ทรมานอยู่ด้วยความหิวโหยตลอดเวลาคนสที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมั่วหลงอยู่ในอบาย ครั้นไปเกิดอีกก็จะไม่เคยได้สมหวัง คนที่เย่อหยิ่งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น จะไปเกิดในตระกูลต่ำทราม คนที่ชอบนินทาซุบซิบ เอาเรื่องคนนี้ไปบอกคนโน้น จะเกิดเป็นคนพิการ ไม่มีลิ้น หรือมีร้อยลิ้น คนที่ยึดติดในมิจฉาทิฏฐิจะไปเกิดในที่ที่ไร้อารยธรรม ทนทุกข์อยู่ในความยากลำบาก

                คนบาปที่ประกอบแต่อกุศลกรรมทางกาย วาจา ใจ นั้นมีจำนวนมากมาย และสามารถจะเล้าเรียงบางคนได้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงรู้ว่าผู้ที่หลงผิดนี้จะต่างจากคนอื่น ท่านก็จะปรับตัวของท่าน เพื่อจะได้เข้าไปขี้นำสั่งสอนเขาได้ คนบาปที่มีความทุกข์ในชาตินี้ เพราะอกุศลกรรมที่ทำไว้ ครั้นตายลงไปก็จะไปเกิดในนรกกัปแล้วกัปเล่า จนกว่าจะได้พ้นขึ้นมาจากขุมนรก จึงเป็นหน้าที่ของท่านเทวราชแห่งทิศทั้ง 4 ที่จะคอยปกป้องคุ้มครองทั้งประชาชนและประเทศ เพื่อให้เขาพ้นจากบาปชั่วทั้งปวง

                หลังจากที่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ เทวราชพากันร่ำไห้ด้วยความเศร้าใจ พนมมือทูลลาจากไปด้วยความเคารพ

บทที่ 5

ชื่อขุมนรกต่างๆ

                ขณะนั้น พระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์ ได้ทูลขอให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ตรัสเล่า โดยทูลว่า “พระผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการได้โปรดแสดงแก่ทวยเทพ นาคา และสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ว่าขุมนรกต่างๆมีชื่อว่าอะไร และแต่ละขุมมีการลงโทษอย่างไร สำหรับผู้ที่ทำโทษบาปชนิดใด เพื่อว่าสรรพสัตว์ในกาลภายภาคหน้าจะได้ตระหนักในผลของการทำบาป และจะได้ละเว้นการทำบาปทำชั่ว”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลตอบว่า “พระผู้ทรงมหากรุณาด้วยพุทธานุภาพ และความสนับสนุนของพระองค์ ขอถวายชื่อของขุมนรกต่างๆพร้อมทั้งโทษสำหรับคนบาปดังนี้

1 ขุมนรกมหาอเวจี

                อยู่ทางตะวันออกของภูเขามหาจักรวาล เป็นที่หนาวเย็นที่สุด ไม่มีแสงสว่างทั้งแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ มีนรกขุมใหญ่เรียกว่านรกอเวจี การลงโทษทัณฑ์สำหรับนรกขุมนี้ เป็นความเจ็บปวดนับแต่เกิดจนตาย เรียกว่าไม่มีหยุดหย่อน

2 ขุมนรกที่มีการลงโทษไ ม่หยุด

                มีแต่เสียงของสัตว์นรกที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา

3 ขุมนรกสี่มุม

                นรกนี้มีกำแพงเป็นเหล็กที่ร้อนแดง และมีเปลวไฟหล่อนลงมาใส่สัตว์นรกเหมือนกับฝนตก พอสัตว์นรกถูกไฟไหม้จนตาย แล้วก็กลับมาเกิดใหม่รับโทษแบบเดิม ตายลงแล้วก็มาเกิดรับกรรมใหม่ ซ้ำๆกัน

4 ขุมนรกมีดบิน

                เป็นนรกที่ล้อมด้วยภูเขาที่เป็นมีด ในอากาศเป็นเพดานที่มีมีดแหลมๆจำนวนล้านๆเล่ม มีมีดโค้งที่ร่อนเข้าหาคนบาปที่เป็นสัตว์นรกเมื่อถูกฟันร่างกายจะขาดเป็นชิ้นๆ

5 ขุมนรกลูกศรไฟ

                ลูกศรไฟจำนวนนับล้าน แล่นออกจากแหล่งเข้าทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของสัตว์นรก

6 ขุมนรกภูเขาบด

                สัตว์นรกจะถูกอัดระหว่างภูเขา 2ลูกที่บีบเข้าหากัน

7 ขุมนรกหอกแหลม

                ร่างกายของสัตว์นรกจะถูกทิ่มแทงด้วยหอกแหลมเหล่านี้

8 ขุมนรกรถไฟเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกจับขึงอยู่กับรางรถไฟ และปล่อยให้รถไฟบดขยี้

9 ขุมนรกเตียงเหล็กไฟ

                สัตว์นรกจะถูกจับขึงบนเตียงและถูกเผาจนตาย

10 ขุมนรกวัวเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกเหยียบและขวิดโดยฝูงวัวเหล็ก

11 ขุมนรกเสื้อเหล็กร้อน

                สัตว์นรกจะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าที่เป็นเหล็กร้อนที่ไหม้ผิวหนัง

12 ขุมนรกมีดดาบเหล็กไฟนับพัน

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนมีดดาบที่จะทิ่มแทงร่าง นอกจากนั้นยังมีมีดที่ร่อนอยู่บนอากาศ เมื่อถูกร่างกายของสัตว์นรก ก็จะขาดเป็นชิ้นๆ

13 ขุมนรกลาเหล็กร้อน

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้ขี่บนหลังลาเหล็กที่ร้อน

14 ขุมนรกน้ำทองเหลืองเดือด

                สัตว์นรกจะถูกกรอกปากด้วยน้ำทองเหลืองเดือด

15 ขุมนรกเสาทองเหลือง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้โอบกอดเสาทองเหลืองร้อนๆ

16 ขุมนรกเปลวไฟ

                เปลวไฟจะหล่นลงมาถูกสัตว์นรกเหมือนสายฝน จะไม่มีทางหนีไปที่อื่น

17 ขุมนรกผาลลิ้น

                สัตว์นรกจะถูกลากลิ้นออกมาใช้เป็นผาลไถนา

18 ขุมนรกเลื่อยเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกตัดศีรษะด้วยเลื่อยเหล็ก

19 ขุมนรกปฐพีเหล็กแดง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้ให้เดินเท้าเปล่าไปบนพื้นที่เป็นเหล็กร้อนแดง

20 ขุมนรกเหยี่ยวเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกเหยี่ยวเหล็กจิกตลอดเวลา

21 ขุมนรกลูกตุ้มเหล็กร้อนแดง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้กลืนลูกตุ้มเหล็กร้อนๆ

22 ขุมนรกแห่งการทะเลาะวิวาท

สัตว์นรกจะถูกเผาด้วยอุ้งเล็บเหล็ก และจะทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา

23 ขุมนรกค้อนเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก

24 ขุมนรกแห่งโทษะ

สัตว์นรกจะตบตีทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มักรับสั่งเสมอว่า “พระผู้ทรงมหากรุณา ในมหาจักรวาลนั้นมีขุมนรกที่ลงโทษเช่นนี้มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมี

25 ขุมนรกแห่งการร้องโหยหวน

                สัตว์นรกจะถูกโยนลงไปในเหล็กที่กำลังเดือด เสียงสัตว์นรกร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

26 ขุมนรกลากลิ้น

                สัตว์นรกในขุมนี้จะถูกตะขอเหล็กลากลิ้นออกมา

27 ขุมนรกอุจจาระปัสสาวะ

                สัตว์นรกจะถูกขับลงไปในเหวแห่งอุจจาระปัสสาวะ

28 ขุมนรกกุญแจทองเหลือง

                สัตว์นรกถูกใส่กุญแจติดอยู่กับภูเขาเหล็กแล้วบังคับให้วิ่ง

29 ขุมนรกช้างไฟ

                สัตว์นรกจะถูกตามไล่ล่าด้วยช้างไฟ

30 ขุมนรกแห่งสุนัขไฟ

                สัตว์นรกจะถูกสุนัขไฟขบกัด

31 ขุมนรกม้าและวัวไฟ

                สัตว์นรกจะถูกตามไล่ล่าและเหยียบย่ำโดยม้าและวัวไฟ

32 ขุมนรกภูเขาไฟ

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้เดินแล้วจะถูกภูเขาไฟขยี้จนเป็นผุยผง

33 ขุมนรกแห่งก้อนหินไฟ

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนก้อนหินไฟ และมีก้อนหินร้อนทับบนตัวอีกทีหนึ่ง

34 ขุมนรกแห่งเตียงไฟ

สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนเตียงที่ร้อนแดง

35 ขุมนรกคานไฟ

                สัตว์นรกถูกห้อยอยู่กับคานที่เป็นเปลวไฟร้อน

36 ขุมนรกเหยี่ยวไฟ

                สัตว์นรกถูกเหยี่ยวไฟจิกตี

37 ขุมนรกแห่งเลื่อยไฟ

                สัตว์นรกถูกเลื่อยไฟเลื่อยลำตัวและฟัน

                และยังมีนรกอื่นๆ

                ขุมนรกที่สัตว์นรกถูกลอกหนังออก

                ขุมนรกที่สัตว์นรกถูกสูบเลือดออกจากร่าง

ขุมนรกที่มือเท้าของสัตว์นรกถูกเผา

ขุมนรกที่มีต้นไม้ที่เป็นหนามแหลม และสัตว์นรกถูกลากไปบนหนามแหลมเหล่านั้น

ขุมนรกที่เป็นบ้านเพลิง ที่คอยไล่กัดเหยียบย่ำร่างของคนบาปและกัดฉีกเป็นชิ้นๆ

ในขุมนรกนั้น ยังมีขุมย่อยๆแยกลงไปอีก 3, 4, 5, และแม้กระทั่งจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน มีชื่อต่างๆกันไป

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เมื่อได้เล่ารายละเอียดของนรกถวายพระพระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์แล้ว ทูลว่า ”พระผู้ทรงมหากรุณา นรกที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น มีไว้ลงโทษผู้ที่มีนิสัยไม่ดี ประพฤติแต่อกุศล ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือในทางความคิด อำนาจแห่งวิบากกรรมนั้นยิ่งใหญ่และแน่นอน อาจจะเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุและลึกล้ำดุจมหาสาคร ความชั่วบาปนั้นเป็นอุปสรรค ต่อการที่เราจะทำกุศลที่จะหวังเข้าถึงพุทธภูมิ ดังนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงควระมัดระวังที่จะไม่ทำบาปแม้เพียงเล็กน้อย อย่าไปนึกว่าบาปเล็กๆน้อยๆจะไม่มีผล เมื่อตายไปเขาจะตกนรก เพื่อลงโทษในบาปเล็กๆน้อยๆนั้นเองญาติสนิท เช่นบิดากับลูก อาจจะลงไปในนรกขุมต่างกันไป และแม้จะลงไปในนรกขุมเดียวกัน  เขาจะไม่ได้รับการอนุญาตให้รับโทษแทนกัน แด่ด้วยบุญญานุภาพของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ข้าพระองค์จึงสามารถเล่าให้ฟังถึงการลงโทษในนรกต่างๆโดยย่อ ข้าพรองค์หวังว่า พระองค์จะทรงมีเวลาพอที่จะฟัง”

พระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์รับสั่งว่า “ข้าพระองค์รู้มาแล้วว่ามีการลงโทษสำหรับอกกุศลที่ประกอบทางกาย วาจา ใจ ข้าพระองค์เพียงแต่หวังว่าพระผู้ทรงกรุณาจะเล่าทั้งเรื่องกฎแห่งกรรม เพื่อว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จะได้เรียนรู้บทเรียนและจะได้หลีกเลี่ยงจากอกุศลกรรมและบำเพ็ญแต่บุญกุศล เพื่อเข้าสู่พุทธภูมิในท้ายที่สุด”

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์รับสั่งต่อไปว่า “พระผู้ทรงกรุณา การลงโทษในนรกนั้นเป็นจริงตามนั้น มีนรกที่ใช้ลิ้นของสัตว์นรกเป็นผาลไถคราดท้องนา ในบางขุมนรกก็จะแหวะเอาหัวใจของสัตว์นรกออกให้เป็นอาหารยักษ์ ในบางขุมนรก จับสัตว์นรกใส่ลงไปในแท็งค์น้ำเดือดต้มจนขาดใจตาย บางขุมนรก สัตว์นรกถูกบังคับให้โอบกอดเสาทองเหลืองที่ร้อนแดง และในบางขุมนรก สัตว์นรกก็อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเปลวเพลิง

“ในบางขุมนรก จะหนาวเย็นจนกระทั่งสัตว์นรกแข็งตาย ในบางขุมนรก สัตว์นรกก็ต้องลอยคออยู่ในมูตรในคูถ ในบางขุมนรก ก็จะมีอาวุธเหล็กบินห้ำหั่นสัตว์นรก ในบางขุมนรก จะมีหอกร้อนแดงคอยทิ่มแทงร่างกายของสัตว์นรก ในบางขุมนรก สัตว์นรกจะถูกจับฟาดกับแท่งเหล็ก ในบางขุมนรก สัตว์นรกจะถูกผูกมือเท้าติดอยู่กับเหล็กเผาไฟ ในบางขุมนรก ร่างของสัตว์นรกจะถูกพันไว้โดยงูเหล็ก ในขุมนรกบางแห่งสุนัขเหล็กจะไล่ล่าสัตว์นรก ในขณะที่บางแห่งสัตว์นรกจะถูกบัคับให้ขี่บนหลังลาเหล็กที่ร้อนแดง

“ผู้ที่ละเมิด โดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย พูดโกหก พูดทิ่มแทง พูดดูหมิ่นเหยียดหยาม พูดนินทาง คนที่มีความโลภ มีความหลงจะถูกลงโทษในขุมนรกที่กล่าวมาข้างต้น โดยไม่มีทางหลบหนี

“พระผู้ทรงกรุณา อาวุธที่ใช้ลงโทษในขุมนรกแต่ละแห่งมีหลายชนิด บ้างก็ทำด้วยทองเหลือง เหล็ก หิน หรือไฟ ความดื้อรั้นของสรรพสัตว์นั้นมั่นคงราวกับทองเหลือง เหล็ก หรือหิน ซึ่งยากแก่การทำลายอำนาจแห่งกฎแก่งกรรมนั้น มีอันตรายดุจไฟ ที่จะลามขยายออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว เผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้เป็นผุยผง หากข้าพระองค์ต้องเล่าถึงความทุกข์ของนรกในรายละเอียด อาจจะกล่าวได้ว่าแต่ละขุมก็จะมีความทุกข์ยากแบบต่างๆกันนับหมื่นนับแสน แน่นอนยิ่งมากขุมนรกความทุกข์ยากก็ยิ่งมากขึ้น ด้วยพุทธานุภาพของพระศากยมุนีพุทธะโลกนาถเจ้า และเพราะคำของร้องของท่าน ข้าพระองค์ก็จะได้เล่าถึงความทุกข์ยากในขุมนรกเพียงย่นย่อ หากจะต้องเล่าถึงความทุกข์ยากในขุมนรกโดยละเอียดข้าพระองค์ก็คงจะไม่สามารถเล่าจบชั่วกัปชั่วกัลป์

บทที่ 6

พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงฉายโอภาสสว่างไปทั่วพุทธเกษตร ซึ่งมีจำนวนมากมายดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ทรงสั่งพระสุรเสียงออกไปยังพระมหาโพธิสัตต์ทั้งหลาย ทวยเทพ นาค มนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรอื่นๆ “ขอจงฟังตถาคต วันนี้ตถาคตปรารถนาที่จะสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในเรื่องที่พระองค์ได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ และจะคอยช่วยเหลือผู้ที่หลงผิดให้กลับใจอีกต่อไป ในทิศทั้งสิบ ทั้งบารมีอันศาลหาประมาณมิได้ ด้วยพระเมตตา และพระกรุณา ตถาคตหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันอย่างสุดความสามารถที่จะปกป้องและเผยแพร่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร เพื่อช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว” เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งเช่นนั้น  พระจักรวาลโพธิสัตต์น้อมนมัสการแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าด้วยความเคารพ แล้วทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินที่พระตถาคตเจ้าทรงกล่าวสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในบารมีของพระองค์อันหาประมาณมิได้ในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงทูลอัญเชิญพระโลกนาถเจ้าได้โปรดรับสั่งถึงวิธีการที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นำประโยชน์สุขมาสู่สรรพสัตว์ เพื่อว่าชนต่อไปในภายภาคหน้าจะได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยดี” เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระจักวาลโพธิสัตต์ และชนทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นว่า “ขอจงตั้งใจฟังเถิด ตถาคตจะได้กล่าวโดยย่อว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้โปรดสรรพสัตว์ให้เข้าถึงประโยชน์สุขและบุญกุศลอย่างไร” พระจักรวาลโพธิสัตต์จึงทูลว่า “ขอได้โปรไขแสดงเถิดพระเจ้าข้า พระโลกนาถเจ้า พวกเรานจะน้อมรับฟังด้วยความตั้งใจ”  พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงกล่าวกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ว่า “ในกาลต่อไปในภายภาคหน้าสาธุชนทั้งชายหญิง จะพนมมือสวดพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สรรเสริญและถวายสักการะต่อพระองค์ สรรเสริญพระองค์ สาธุชนเหล่านี้จะพ้นจากความชั่วบาปและอกุศลที่ได้กระทำมาแล้วแม้นับ30 กัป พระจักรวาลโพธิสัตต์ หากแม้สาธุชนชายหญิง วาดรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือสร้างพระรูปของพระองค์ด้วยดินก็ดี แกะสลักด้วยหินก็ดี ไม้ก็ดี หล่อเป็นทองคำก็ดี เงินก็ดี ทองเหลืองก็ดี หรือแม้ด้วยเหล็กก็ดี และถวายสักการะแม้เพียงครั้งเดียว หรือได้มองภาพเหมือนของพระองค์สักครั้ง สรรพสัตว์ทั้งหลายสก็จะได้ไปเกิดในสรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลา 100 ชาติ และไม่ต้องตกลงไปในอบายเลย เมื่อเสวยสุขบนสวรรค์จนหมดบุญแล้ว ก็จะได้มาเกิดในโลกมนุษย์เป็นพระราชาครองแว่นแคว้น หากเป็นหญิงและไม่ปรารถนาที่จะเกิดเป็นเพศหญิงอีก ก็พึงตั้งใจถวายสักการะแด่รูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์โดยสม่ำเสมอ หากถวายสักกาะด้วยดอกไม้ เครื่องดื่ม อาหาร เสื้อผ้า ผ้าแพรพรรณ ปัจจัยเครื่องประดับ ฯลฯ หญิงเหล่านั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นหญิงอีกเลย นับพันกัป นับแต่ชาตินี้ไป แต่หากด้วยความกรุณาตั้งใจที่จะเกิดเป็นหญิงเพื่อช่วยโปรดสรรพสัตว์ก็ยังทำได้ตามประสงค์ แต่หากไม่ต้องการที่จะกลับมาเป็นหญิงอีก ด้วยพระบารมีของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์อันหาประมาณมิได้ เธอเหล่านั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นหญิงอีกเป็นเวลาหลายพันกัป และก็นั่นแหล่ะจักรวาลโพธิสัตต์ หากหญิงใดที่เกิดมามีหน้าตาอัปลักษณ์ มีสุขภาพไม่ดี ขอเพียงถวายสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เพ่งมองที่รูปเหมือนของพระองค์ท่าน ภายในเวลาสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยความเคารพ หญิงเหล่านั้นก็จะไม่เกิดใหม่มีหน้าตาดี หลายล้านกัปในอนาคตอันยาวไกล หากหญิงที่ขี้เหร่เหล่านั้นปรารถนาที่จะเกิดเป็นหญิงอีก ด้วยบุญกุศลที่ตั้งใจถวายสักกระแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เขาก็จะได้รับความสุขโดยไปเกิดใหม่เป็นพระราชินีแห่งแว่นแคว้น หรือเป็นธิดาของขุนนางอีกพันล้านชาติ และจะเป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีเสมอจักรวาลโพธิสัตต์ หากสาธุชนทั้งชายหญิง ที่เล่นดนตรีหรือสวดพระสูตร ถวายสักกาะแด่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือถวายดอกไม้ของหอมแก่พระองค์ด้วยตนเอง หรือหากสนับสนุนแนะนำให้คนอื่น คนหนึ่งหรือสองคนให้ปฏิบัติตามเช่นกัน สาธุชนเหล่านี้จะมีทวยเทพนับพันคอยพิทักษ์รักษา ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งในชาตินี้และในอนาคตที่จะมาถึง เขาจะไม่ได้พบความชั่วร้าย ทั้งจะไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องร้ายๆตลอดไป”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์อีกว่า “หากมีสรรพสัตว์ผู้ใจบาปหัวเราะเยาะเย้ยผู้ที่ถวายสักการะ สรรเสริญ ถวายความเคารพต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ โดยกล่าวว่า ในการทำเช่นนั้นไม่เป็นบุญเป็นกุศล เมินหน้าหนีก็ดี กล่าวชักชวนผู้อื่นมิให้บำเพ็ญบุญกุศลดังกล่าว หรือเพียงมีความคิดแย้งผู้ที่ถวายสักกาะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แม้เพียงชั่วขณะ เขาจะตกนรกอเวจีนับเป็นกัป ได้รับโทษทัณฑ์แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปหลายองค์แล้วก็ตามที เมื่อชดใช้โทษทัณฑ์แล้ว จะไปเกิดเป็นเปรตอีกนับพันกัป จากนั้นจะไปเกิดเป็นสัตว์อักกัปแล้วกัปเล่า ต่อจากนั้นจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็จะทุกข์ยาก เกิดในตระกูลต่ำ เกิดมาพิกลพิการในลักษณะใดลักษณะหนึ่งวิบากกรรมจากอดีตก็จะตามมาส่งผลให้ตกลงไปในอบายอีก”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ อีกว่า “การเยาะเย้ยผู้ที่ถวายความเคารพและเครื่องสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะได้รับโทษหนัก และจะเป็นอันตรายยิ่งกว่าหากมีมิจฉาทิฏฐิต่อภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และทำลาย หรือดูกถูกคำสอนของพระองค์

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงกล่าวต่อไปว่า “หากมีผู้ที่เจ็บหนักนอนแบบอยู่กับที่นอนมาเป็นเวลานาน มีโรคภัยไข้เจ็บติดต่อกันมานานหลายปี ฝันร้าย ฝันถึงแต่ภูตผีปีศาจ ฝันเห็นญาติที่ตายไปแล้วหรือฝันว่าเดินทางไปในที่ทุรกันดาร มีภูตปีศาจรบกวน และในระหว่างฝันร้ายร้องตะโกนออกมา ความทุกข์ในรูปแบบดังกล่าวเป็นพราะอกุศลกรรมในชาติก่อนๆที่ติดตามมา และวิบากกรมก็ยังไม่หมด คนเจ็บบางคนก็เจ็บปางตายแต่ก็ยังไม่ตาย วิบากกรรมของเขาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากมีใครสวดมนต์ขทของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ดังๆ ต่อหน้าพระพุทธรูปของพระโพธิสัตต์ นำสมบัติของคนเจ็บที่เขาผูกพันหวงแหน เช่น เครื่องประดับ หรือสมบัติอื่นๆ แล้วอธิบายว่า “ข้าฯขอถวายสักการะแทนคนเจ็บด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้” หากเขาจะกราบบูชาสักการะพระพุทธรูป หรือสร้างรูปเหมือนของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า สร้างเจดีย์ก็ดี สร้างวัดก็ดี ถวายประทีปโคมไฟก็ดี หรือถวายทานแก่วัดก็ดี เอ่ยวาจาถวายทานนั้นๆแทนคนเจ็บให้คนเจ็บได้ยิน 3 ครั้ง แม้ว่าคนเจ็บอาจจะตายไปแล้ว การทำบุญดังกล่าวควรบำเพ็ญติดต่อกัน 7 วัน กล่าวถวายทานดังๆเสมอควรสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรดังๆ ด้วยในช่วงเวลาดังกล่าว บุญกุศลนี้จะช่วยปลดเปลื้องบุคคลนั้นมิให้ตกไปในอเวจีทั้ง 5 ขุม อันจะต้องได้รับทุกข์ทรมานหนัก เมื่อไปเกิดใหม่ก็จะระลึกชาติในอดีตของตนเองได้

                “หากสาธุชนชายหญิง เขียนหรือคัดลอกพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หรือสอนให้ผู้อื่นเขียนก็ดี ทำรูปสักการะก็ดี ก็จะเป็นบุญกุศลยิ่งกว่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกาบพระจักรวาลโพธิสัตต์ต่อไปว่า “หากท่านได้พบผู้คนที่สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร หรือแม้เพียงมีจิตศรัทธาแสดงความเคารพในพระสูตรนี้ ขอให้แนะนำให้เขามีความมั่นคงในการรักษาศรัทธาให้ตั้งมั่น ก้าวเดินต่อไปโดยไม่ต้องมองย้อนหลัง ย้ำเตือนเขาว่า เขาจะได้บุญกุศลเป็นอเนกอนันต์ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

                “หากสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต จะเห็นภาพของภูตผีปีศาจร้องไห้คร่ำครวญ หรือหลอกหลอน พวกนี้เป็นญาติในอดีตชาติที่ตกระกำลำบาก พวกเขาอยู่ในอบายภูมิ ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้ มาร้องขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ทำแทนให้ด้วย เพื่อพวกเขาจะได้หลุดพ้นจากการเสวยทุกข์”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ว่า “สำหรับผู้ที่มีภาพหลอกหลอน ขอให้พวกเขาได้สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร หน้าพระพุทธรูป และพระโพธิสัตต์ หากไม่ทำเอง ขอให้คนอื่นทำแทนติดต่อกัน 3-7 วัน เมื่อญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้ยินเสียงสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตรสัก 2-3 ครั้ง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะพ้นทุกข์และจะเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้น และจากนั้นญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ฝันถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้วอีก

                “คนที่เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนรับใช้คนอื่น ไม่มีอิสรภาพ ต้องช่วยให้เขาทำความเข้าใจว่าเป็นผลจากวิบากกรรมแต่อดีตชาติ ขอให้เขาได้สำนึก และถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นเวลา 7 วัน บุญกุศลที่จะเกิดแก่ผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำ จะช่วยให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีอีกหลายชาติ และจะไม่มีวันตกต่ำลงไปสู่อบายอีก

                “ต่อไปในอนาคต ผู้ที่เกิดในชมพูทวีป เมื่อจะมีบุตรในครอบครัวให้บิดามารดาสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร 10,000ครั้ง บุตรที่จะเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะช่วยชำระอกุศลในอดีต จะมีอายุยืนและมีชีวิตอย่างมีความสุข หากผู้ที่กำลังจะมาเกิดได้ประกอบกุศลกรรมไว้ในอดีต เมื่อเกิดมาก็จะมีชีวิตยืนยาวและมีความสุขมากขึ้น

                “ผู้ที่เกิดในชมพูทวีปหากละเมิดศีล ประกอบอกุศลไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ฯลฯ ก็พึงได้รับคำแนะนำให้สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร เดือนละ 10 วัน ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตต์ เช่นในวันที่ 1 วันขึ้นแรม 8 และ 15 ค่ำ วันที่23, 24,28, 29,30 ของเดือน ให้สวดพระสูตรวันละครั้งก็จะห่างไกลความทุกข์หลายโยชน์ทั้ง 4 ทิศ ภายในครอบครัว สมาชิกทุกคนไม่ว่า เด็กหรือแก่จะไม่ต้องไปตกในอบายเป็นเวลาหลายพันปี

                “หากสาธุชนสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร เดือนละ 10 วันดังกล่าวได้ เขาจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตจะมีความสะดวกสบาย ด้วยเหตุนี้เอง พระจักรวาลโพธิสัตต์ ท่านพึงรู้ด้วยว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นมีอำนาจใหญ่หลวง และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการโปรดสรรพสัตว์ สรรพสัตว์ที่อยู่ในชมพูทวีปจะมีความใกล้ชิดกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยเหตุที่อยู่ในชมพูทวีปจะมีความใกล้ชิดกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยเหตุนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินพระนามของพระองค์ ได้เห็นภาพของพระองค์ หรือแม้ได้ยินคำสอนของพระองค์เพียง 3 คำ 5 คำ 7คำ หรือประโยคหนึ่ง ก็จะมีความพึงพอใจ มีความสุขในชีวิตนี้ และจะได้ไปเกิดในตระกูลที่ดีมิผิวพรรณดี อีกเป็นเวลานับล้านชาติ”

                ขณะนั้น พระจักรวาลโพธิสัตต์ได้ยินพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ จึงคุกเข่าลงพนมมือด้วยความเคารพและทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นอำนาจบารมีอันไพศาลมิอาจประมาณได้ของพระกษิติครรภ์พุทธเจ้าทั้งพระประณิธานของพระองค์ที่จะยังประโยชน์สุขให้แก่สรรพสัตว์ ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงได้ทูลถามถึงอำนาจบารมี อีกทั้งภารกิจของพระองค์ในการแผ่พระธรรมคำสอนให้กว้างไกล ข้าพระองค์สัญญาว่าจะช่วยในงานเผยแผ่พระธรรมในส่วนของข้าพระองค์เอง ขอพระโลกนาถเจ้าได้โปรดมีรับสั่งถึงพระสูตรนี้ และท่รงชี้แนะว่าข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไรในการเผยแผ่คำสอนของพระสูตร

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงตอบว่า “พระสูตรนี้มีชื่ออยู่ 3 ชื่อดังนี้

                1 พระประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                2 รากฐานการปฏิบัติของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                3 ความตั้งใจมั่นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                และเพราะพระกษิติครรภ์ได้ทรงตั้งมหาประณิธานไว้หลายกัปมาแล้ว เพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่สรรพสัตว์ จึงเป็นหน้าที่ของพวกท่านทั้งหลายที่จะสร้างความปรองดอกกับประณิธานเหล่านั้น เพื่อจะได้ช่วยเผยแผ่คำสอน”

                หลังจากที่พระจักรวาลโพธิสัตต์ได้ยินรับสั่งจากพระพุทธองค์จึงพนมมือทูลลาไปด้วยความเคารพ

บทที่ 7

ผลประโยชน์แก่คนที่มีชีวิตและคนที่ตายแล้ว

                ขณะนั้น พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตต์ทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์เห็นว่าสรรพสัตว์ในชมพูทวีป ได้ประกอบอกุศลกรรม ทั้งทางกาย วาจา และใจ หากเขาจะมีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลบ้าง ก็กลับทำอย่างเฉื่อยชา และเมื่อมีโอกาสที่จะทำชั่ว เขาก็ทำชั่วต่อสรรพสัตว์เหล่านี้ ก็ยังเดินอยู่ในโคลนตมแบกภาระหนักบนหลัง ยิ่งเดินไปก็ยิ่งลึกลไปในปลัก แต่ถ้าพบคนที่มีปัญญาก็จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งไปบ้างสักครึ่งค่อนหรือทั้งหมด เพราะผู้มีปัญญาย่อมมีพลังที่เหนือกว่า ไม่ลำพับจะให้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ความหลงผิดเพื่อให้ยืนได้ถูกต้อง ตั้งใจที่จะไม่ทำชั่วอีก ทำให้หลีกเลี่ยงอกุศลได้โดยสิ้นเชิง”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงทูลพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า คนที่มีนิสัยชั่วร้ายนั้น เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ แต่มันเพิ่มพูนขึ้น บิดา มารดา ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ควรจะได้ทำบุญกุศลให้แทนเวลาที่พวกนี้กำลังใกล้ตาย อาจจะถวายธงปฏัก ที่เขียนข้อความจากพระสูตร จุดตะเกียงถวายประทีป ให้สวดพระสูตร หรือถวายไทยทานเครื่องสักการะต่อหน้าแท่นที่บูชาพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์เจ้า เป็นบุญกุศลสำหรับญาติพี่น้องที่จะได้สวดพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือแม้แต่สวดพระนามของพระสูตรศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าคนใกล้ตายให้เขาได้ยิน โทษบาปที่เขาได้ทำไว้ซึ่งอันจะส่งผลให้เขาตกลงสู่อบาย ก็จะแก้ไขได้ เพราะครอบครัวของเขาได้ทำบุญกุศลให้แทนตัว

                “เมื่อคนใกล้ตายจากไปบรรดาญาติพี่น้องยังคงทำบุญให้แทนตัวต่อไป 49 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ตายจะไม่ไปตกในอบายภูมิ แต่จะได้ไปจุติในสรวงสวรรค์ หรือเกิดในโลกมนุษย์มีอายุยืนยาวมีความสมบูรณ์พูนสุข ญาติที่ยังมีชีวิตของผู้ตายที่ได้ทำบุญกุศลนั้น ก็จะได้รับประโยชน์สุขเป็นทวีคูณ

                “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์หวังว่า ทวยเทพ  นาค อสูร เปรต มโหรค มนุษย์ และอมนุษย์ จะช่วยกันชักจูงให้ผู้คนที่อยู่ในชมพูทวีป ไม่ทำชั่วทำบาปโดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือประกอบอกุศลกรรมอื่น เช่นถวายบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์เพื่อถวายแก่ทวยเทพ แทนญาติที่เสียชีวิต

                “ทำไมจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะในการถวายบูชายัญด้วยเลือด จะไม่เป็นประโยชน์แม้แต่น้อยแก่วิญญาณของญาติที่ตายไป แต่จะยิ่งทำให้เขาต้องทุกข์มากขั้น เขาจะประสบโชคร้ายในอนาคตที่สาหัสมากขึ้น เพราะการเสียเลือดเนื้อ หากผู้ตายได้ทำกรรมดีไว้บ้างที่จะช่วยให้เขาได้ไปเกิดในสวรรค์หรือเกิดในโลกมนุษย์แต่อกุศลกรรมที่ญาติพี่น้องไปทำแทนเขา กลับจะทำให้เขาเสียผลประโยชน์ และทำให้หนทางสู่ความหลุดพ้นกลับช้าลง

                “หากผู้ใกล้ตายไม่มีบุญกุศลเลย ตามวิบากกรรมของเขาเองเขาก็ต้องไปเกิดลำบากอยู่แล้ว แต่ญาติพี่น้องกลับไปรับฟังคำแนะนำผิดๆกลับไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแทนผู้ตายราวกับคนที่หิวโหยมา 3 วัน เดินทางมาไกล ซ้ำแบกภาระหนักอึ้งบนหลัง เพื่อนบ้านกลับเอาสัมภาระมาใส่ทับลงไปอีก ก็ไม่สามารถทนทานที่จะรับน้ำหนักได้ พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นว่า ให้ผู้ที่อยู่ในชมพูทวีปนั้น สามารถทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ประกอบกรรมดี แม้เล็กบางเท่าเส้นผม หรือแม้เพียงหยดน้ำหยดหนึ่ง ทรายเม็ดหนึ่งก็ดี ธุลีเพียงธุลีเดียว กระนั้นก็ยังเป็นบุญเป็นกุศลตามกรรมของตน”

                ขณะนั้น พระเถระผู้หนึ่ง ชื่อพระเถระสุวจี ได้เป็นพระอนาคามีได้เขามาสู่ที่ประชุม ท่านได้ช่วยโปรดสรรพสัตว์ในทั่วทศทิศ เข้ามาพนมมือ ทูลถามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยความคารวะว่า “พระโพธิสัตต์เจ้า หากญาติของผู้ตายที่มีบาปกรรมมากๆ ไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กกระทำกุศลแทนผู้ตาย เขาจะได้รับประโยชน์ด้วยหรือไม่พระเจ้าข้า”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าตอบว่า “พระเถระที่เคารพ ด้วยพระพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ในบัดนี้จนถึงภายภาคหน้า ข้าฯขอตอบพระเถระเจ้าโดยย่อ  บุคคลผู้ใดก็ตาม นับแต่นี้จนถึงอนาคตกาล ผหู้ได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ในขณะที่กำลังจะดับจิต ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคนเลวหรือดี เขาก็จะได้รับการนำให้ไปสู่ความหลุดพ้นในที่สุด ผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ได้ทำบุญไว้ในขณะมีชีวิต แต่ใช้ชีวิตอยู่ในอบาย แต่หากญาติของเขาไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำบุญแทนเขา และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแทนเขา เมื่อเขาตายไปแล้ว ผู้ตายจะได้รับบุญนั้น 1 ใน 7 ส่วน ส่วนญาติที่ทำบุญให้แทนจะได้ 6 ใน 7 ส่วน ผู้ประกอบบุญกุศลนั้น ด้วยเหตุนี้ สรรพสัตว์ทั้งในปัจจุบันตลอดจนในอนาคต จึงควรบำเพ็ญกุศลในขณะยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่ยังแข็งแรงและมีสุขภาพดี บุญกุศลทั้งหลายที่ทำ ตนก็จะเป็นผู้ได้รับทั้งสิ้น เวลาที่ล่วงเลยไปนั้น ท้ายที่สุดความตายก็จะมาเยือนเมื่อใดก็ได้ ใน 49 วันแรกหลังจากที่ตายไป ผู้นั้นก็ยังไม่รู้วิบากกรรมของตนเอง ครั้นถึงวันที่พิพากษาตัดสินกรรมแต่อดีตของตน เขาจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็จะมีความวิตกกังวลอย่างยิ่ง หากทำบาปเอาไว้เวลาที่มีชีวิตอยู่ ก็จะต้องตกนรก ใน 49 วัน หลังจากที่ตายไปนั้น ก็จะรอคอยให้ลูกหลานญาติมิตรทำบุญให้แทนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องไปรับกรรมในนรกหลังจากตายไปแล้ว 49 วัน ก็จะต้องได้รับกรรมตามที่ตนได้เคยทำไว้ หากทำอกุศลกรรมไว้ในเวลาที่มีชีวิต ก็จะต้องรับโทษโดยไม่มีการช่วยเหลือให้เป็นอิสระ นานนับพันปี กรรมที่ก่อไว้นั้นอาจจะส่งผลให้ต้องตกนรกหนึ่งในห้าขุมของอเวจี หรือตกลงไปในมหานรก ต้องทนทุกข์ ทรมานนานล้านกัป พระเถระที่เคารพ หากญาติพี่น้องหรือลูกหลานของผู้ตายที่ทำอกุศลกรรมไว้มากได้ทำทานทำอาหารมังสวิรัติถวาย แก่พระพุทธเจ้าและถวายพระสงฆ์ เมื่อเขาตายไปแล้ว กุศลกรรมานี้จะช่วยปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากอบาย ก่อนเวลาถวายอาหารแก่พระสงฆ์ และที่กำลังตระเตรียมอาหารมังสวิรัติ ไม่ควรโยนอาหารลงบนพื้น และทำให้เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ ลูกหลานและญาติของผู้ตายไม่ควรรับประทานอาหารก่อนที่จะได้ถวายต่อพระพุทธรูปและพระสงฆ์ หากญาติของผู้ตายไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความตั้งใจ ผู้ตายจะไม่ได้รับบุญกุศลที่ทำ แต่ตั้งใจปฏิบัติด้วยศรัทธาตั้งมั่น เขาก็จะได้รับ 1ใน 7 ของบุญกุศลนั้น ด้วยเหตุนี้ พระเถระเจ้า ถ้าสรรพสัตว์ในชมพูทวีป สามารถจะถวายอาหารมังสวิรัติทั้งต่อพระพุทธรูป และพระสงฆ์ด้วยความเคารพไม่เพียงแต่ญาติผู้วายชนม์จะได้รับผลประโยชน์ ตัวเขาเองที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้รับบุญกุศลนั้นมหาศาล”

                หลังจากที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์รับสั่งเช่นนั้นแล้ว วิญญาณทั้งหลายที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่มาจากชมพูทวีป ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้นำสรรพสัตว์ให้ละเว้นการทำชั่ว และทำแต่ความดี ทำแต่กุศล พระเถระจึงลากลับไปด้วยอาการเคารพ

บทที่ 8

การสรรเสริญพระยามัจจุราชและบริวาร ผู้ปกครองแห่งยมเทวโลกและผู้พิพากษาคนตาย

                สมัยนั้น พระยามัจจุราช เสด็จมาที่สวรรค์ชั้นดุสิต โดยเสด็จมาจากมหาจักรวาล พร้อมด้วยบริวารนับจำนวนมิได้ ด้งปรากฏรายนามข้างล่าง เพื่อที่จะมาถวายสักการะแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้า

1              พระยมราช ผู้ดูแลผู้กระทำผิด ที่ทำผิดทางกาย วาจา ใจ เกี่ยวกับเรื่องยาพิษ พระยมราชผู้นี้เป็นผู้ที่ชักนำผู้หลงผิด ให้ละวางและหันมาสู่ชีวิตอันประเสริฐ โดยการแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำนั้นๆ

2              พระยมราชแห่งความฦโกรธรุนแรง รูปลักษณ์ภายนอกของพระยมราชพระองค์นี้จะดุร้ายน่ากลัว แต่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ พระองค์จะทำให้คนที่หลงผิดอยู่ในความชั่วความบาปให้เกรงกลัวบาป ด้วยความเกรงกลัวในพระองค์ ทั้งๆที่ภายในทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างสูงยิ่ง และด้วยความดุของพระองค์นั่นเอง จึงช่วยให้สรรพสัตว์คนบาปเลิกละวางหันมาสู่มรรควิถีแหงกุศล

3              พระยมราชแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง ความรักความชัง ความโลภ ความริษยากัน เป็นปัจจัยทีนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง พระยมราชพระองค์นี้ทรงแสดงให้ปรากฏว่าผลจากการทะเลาะเบาะแว้งนั้นมีโทษอย่างไร ผลที่ได้รับก็คือผู้ที่หลงผิดก็จะกลับมีความสุขและมีความปรองดองกัน

4              พระยมราชผู้ทรงใช้ท่าทีดุจราชสีห์คำราม เสือนั้นเป็นสัตว์ที่ดุร้ายน่ากลัว อกุศลความชั่วบาปจะเป็นพลังที่ทำให้มนุษย์ประพฤติผิดเป็นอันตรายเช่นเดียวกับเสือที่เป็นสัตว์ร้าย

5              พระยมราชแห่งความฉิบหาย พระยมราชพระองค์นี้ทรงแสดงให้เห็นว่าการไม่เคารพเชื่อฟังผู้อาวุโสจะนำมาซึ่งบาปเคราะห์เพียงใด พระองค์จึงทรงมุ่งมั่นที่จะโปรดให้สรรพสัตว์ได้เดินหนทางที่ถูกต้อง

6              พระยมราชผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เหาะได้ ทรงน้อมนำให้พวกยักษ์ที่เหาะได้ให้หันเข้ามาสู่มรรควิถีแห่งความถูกต้อง

7              พระยมราชผู้ทรงมีดวงเนตรดุจกระแสไฟฟ้า พระองค์นี้ทรงมีสายพระเนตรที่คมชัด สามารถแยกแยะดีชั่วได้อย่างชัดเจน ทรงลงโทษผู้กระทำผิด และประทานพรให้แก่ผู้ประกอบกุศลกรรมให้มีความสุขความเจริญ

8              พระยมราชที่มีพระทนต์ดุจสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ พระองค์จึงทรงแสดงผลจากการเป็นคนเจ้าเล่ห์ และทรงดัดนิสัยคนบาปให้ประพฤติปฏิบัติดีโดยไม่หยุดหย่อน

9              พระยมราชผู้ทรงมีพันตาและพันกร พระองค์ทรงใช้ทุกโอกาสที่จะสั่งสอนผู้หลงผิดให้หันมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

10           พระยมราชผู้ทรงกลืนสัตว์ที่ดุร้ายทีทำอันตรายผู้คน

11           พระยมราชผู้ทรงขนหินและทรายเพื่อถมทะเลและแม่น้ำเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์

12           พระยมราชผู้ทรงลงโทษให้ผู้กระทำผิดผจญกับความยากจนและทุกข์ทรมาน เพื่อว่าเขาจะได้สำนึกผิด แต่ทรงประทานพรให้แก่ผู้ที่หันกลับมาประพฤติชอบ ด้วยความสุขและทรัพย์สมบัติ

13           พระยมราชผู้ทรงแจกจ่ายอาหารให้แก่คนดี แต่สำหรับคนชั่วจะลงโทษโดยปล่อยให้หิวโหย

14           พระยมราชผู้ทรงมีหน้าที่ลงโทษคนขี้ตระหนี่ ซึ่งแม้จะร่ำรวย แต่กลับไม่รู้จักทำความดี

15           พระยมราชผู้คอยควบคุมสัตว์ร้าย

16           พระยมราชผู้ทรงควบคุมการเกิดและอายุขัยของมนุษย์

17           พระยมราชผู้ประทานความเจ็บไข้ได้ป่วยแก่คนสัตว์

18           พระยมราชผู้ทรงดูแลอันตรายทั้งปวง

                ก ทำให้เกิดอันตรายแก่คนชั่วเป็นการลงโทษ

                ข ปกป้องคนดีให้รอดพ้นจากอันตราย

19           พระยมราชผู้มีพระเนตร 3 ตา 4 ตา 5 ตา

20           พระยมราชผู้ทรงให้การลงโทษผู้กระทำผิดบาปจากอาชญากรรม ลักขโมย ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับคนดี พระองค์จะโปรดปรานให้พวกเขาได้ตามความปรารถนา

                บรรดาพระยมราชทั้งหลายที่กล่าวนามมาแล้ว พร้อมกับพระยมราชชั้นเล็กๆ มาถึงยังสวรรค์ชั้นดุสิต พร้อมทั้งพระยามัจจุราช เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระยมราชใหญ่น้อยเหล่านี้ล้วนทรงมีหน้าที่ต่างกัน บ้างก็ต้องลงโทษผู้กระทำผิดหรือประทานความสุขให้แก่ผู้ประกอบกรรมดี

                ด้วยพระพุทธานุภาในพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระโลกนาถเจ้าและพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ที่พระยมราชเหล่านี้ได้รับการต้อนรับบนสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างพากันยืนเป็นแถวด้วยความเคารพ

                ในขณะนั้น พระยามัจจุราชคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ของพระพุทธจ้า แล้วทูกว่า “ พระโลกนาถเจ้า พวกเราสำนึกในพระพุทธานุภาพ และการช่วยเหลืออันทรงคุณค่า ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ที่ให้โอกาสให้เราได้มาพร้อมกันเพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ในมหาสภานี้ พวกเรามีความยินดีเป็นล้นพ้นที่ได้รับประทางโอกาสทองที่ได้มาประชุมที่นี่และได้รับฟังคำชี้แนะ ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ความสนใจในเรื่องที่พวกเรายังสงสัยอยู่ ข้าพระองค์จะขอประทานโอกาสเพื่อขอคำชี้แนะได้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า”

                พระพุทธองค์จึงรับสั่งกับพระยามัจจุราชว่า “ขอท่านจงรู้สึกเป็นอิสระที่จะไถ่ถาม และตถาคตจะได้ไขแสดงเรื่องราวให้ฟัง”

                พระยามัจจุราชก้มลงกราบพระศากยมุนีพุทธเจ้า แล้วหันไปมองพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พลางทูลถามว่า “พระโลกนาถเจ้า สิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์จากทิศทั้งหกนั้น สิ่งที่ข้าพระองค์สงสัยก็คือว่า ทำไมคนที่เพิ่งพ้นโทษขึ้นมา ก็ยังหวนกลับไปทำชั่วอีก เป็นเหตุให้ต้องถูกลงโทษอีก พระโลกนาถเจ้า ทั้งๆที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงมีพระกรุณาต่อสรรพสัตว์ผู้ทำผิดบาปทั้งหลาย แต่ทำไมพวกเขากลับไม่ปฏิบัติตามพระองค์ที่จะหันไปใช้ชีวิตที่เป็นบุญกุศลและหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ตลอดไป ขอพระพุทธองค์ได้โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

                พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งกับพระยามัจจุราชว่า “การที่จะควบคุมบังคับคนบาปในสังสารวัฏนั้น เป็นเรื่องยากโดยแท้ แน่นอนพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ทรงใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์มานานหลายกัปหลายกัลป์ แม้ว่าคนชั่วบาปจะถูกส่งมารับโทษในนรก พระโพธิสัตต์ก็ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เขาดำเนินชีวิตที่เป็นบุญกุศลโดยพยายามที่จะแผ่บารมีให้เขาได้ระลึกถึงอกุศลกรรมแต่อดีต แต่เป็นเพราะคนชั่วบาปนั้นมีความโน้มเอียงไปในการที่จะทำบาปอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อพ้นโทษขึ้นมาไม่นานก็กลับไปทำบาปอีก ทำให้ต้องตรนรกอีก ในความเป็นจริงจึงน่าสงสารพระโพธิสัตต์มาก ที่จะต้องทำงานนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ มีตัวอย่างคือ

                “มีชายคนหนึ่ง หลงทางกลับบ้านไม่ถูก พบว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของยักษ์ สัตว์ดุร้าย และแมลงพิษ โดยบังเอิญเขาได้พบผู้มีปัญญาคนหนึ่ง บังเอิญรู้วิธีที่จะปราบยักษ์ สัตว์ร้าย และแมลง

                “ผู้มีปัญญาคนนั้น เมื่อเห็นอันตราย ก็ถามว่า “กุลบุตร เจ้ามาทางนี้ได้อย่างไร เจ้ารู้วิธีที่จะปราบสัตว์ร้ายเหล่านี้หรือ”

                “เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายผู้นี้ก็ตระหนักว่า ตนกำลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยอันตราย ผู้มีปัญญาจึงจูงมือเขาพากออกจากเส้นทางอันตราย โดยชี้ให้เห็นทางอันเกษมศานติ์ แล้วก็กล่าวเตือนว่า “กุลบุตร ขอให้เกิดปัญญา อย่าได้กลับมาบนเส้นทางนี้อีก เมื่อหลงเข้ามาในเส้นทางนี้ ยากที่จะออกไปได้ และจะต้องประสบกับความหายนะเป็นที่สุด”

                “ชายผู้หลงทางยินดีเป็นล้นพ้นที่มีผู้นำออกมาให้พ้นจากอันตรายก่อนที่จะจากไป ผู้มีปัญญาสำทับอีกว่า “เมื่อพบสหายหรือแม้คนแปลกหน้าไม่ว่าชายหรือหญิง ขอให้เตือนเขาว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางอันตราย หากหลงเข้ามาในเส้นทางนี้ จะต้องสูญเสียแม้ชีวิต เตือนพวกเขาอย่าได้โง่เขลาต้องมาเผชิญอันตรายโดยไม่จำเป็น”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทรงนำคนชั่วคนบาปให้พ้นทุกข์ และชี้ทางไปสู่สวรรค์หรืออมนุษยโลก เพื่อเขาถึงความสุข

                “พระองค์ได้ทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นได้ตระหนัก ว่าผู้ที่ทำชั่วทำบาปก็จะต้องได้รับความทุกข์ และผู้ที่ทำบุญกุศลก็จะได้เสวยสุขจากวิบากกรรมของเขาเอง และเขาก็จะไม่ทำผิดและต้องตกนรกอีก เหมือนกับคนที่หลงทาง และพบว่าตนเดินอยู่บนเส้นทางอันตราย และในท้ายที่สุด มีผู้มีปัญญามานำทางส่งไปในทางที่ปลอดภัย ฉันใดก็ฉันนั้น เช่นเดียวกัน เขาก็จะต้องระลึกเสมอว่าจะไม่หลงเข้ามาในเส้นทางอันตรายอีก

“และหากเขาได้พบมิตรสหายหรือแม้คนแปลกหน้า เขาก็จะรู้จักแนะนำคนอื่นไม่ให้พลัดหลงเข้าไปในเส้นทางอันตราย เมื่อเขาพ้นอันตราย เขาจะต้องเกิดปัญญาที่จะไม่เสี่ยงเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก หากหลงเข้าไปบนเส้นทางนั้นอีกโดยความพลาดพลั้ง ก็แสดงว่าเขาขาดความเข้าใจที่แท้จริง และอาจจะต้องประสบความหายนะถึงชีวิต ประดุจเดียวกับคนชั่วคนบาปที่ต้องไปทนทุกข์ในขุมนรก

“พระโพธิสัตต์ผู้ทรงมหากรุณา พยายามด้วยความสามารถเป็นที่สุด ที่จะนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากขุมนรก และชี้ทางไปสู่ความสุขความสันติ หรือการกลับไปเกิดในมุษยโลก เขาอาจจะไม่รู้ถึงผลแห่งวิบากกรรม และกระทำความชั่วทำบาปอีก ตามวิบากกรมเขาก็จะต้องไปตกนรก โดยไม่มีหวังที่จะได้รอดพ้น

ขณะนั้น พระยมราชแห่งพิษร้าย พิษแห่งอกุศลกรรมที่กระทำทั้งทางกาย วาจา ใจ พนมมือด้วยความเคารพ ทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พวกเราพระยมราชใหญ่น้อยจำนวนมหาศาล จากทุกทิศแห่งสังสารวัฏ มีหน้าที่ในการลงโทษผู้ทำผิด และสนับสนุนให้คนที่ทำบุญกุศลได้เสวยความสุข เราได้ท่องไปในทุกมุมแห่งจักรวาล และเราแน่ใจว่ามีคนชั่วคนบาปมากกว่าคนดี เราสัญญาว่าทุกที่และทุกเมื่อที่เราได้พบไม่ว่าชายหรือหญิงในส่วนใดของโลกก็ตาม หากพบว่าเขาทำความดีแม้เพียงน้อยนิด ด้วยการถวายสักการะแด่พระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตต์ หรือแม้ได้ยินว่าสวดพระสูตร แม้เพียงบรรทัดเดียว ข้าพระองค์พร้อมบริวารจะปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วยความเคารถ ราวกับถวายความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ข้าพระองค์สั่งสอนอบรมบริวารและวิญญาณทั้งหลายในที่ต่างๆ ให้ได้ความคุ้มครองดูแล ผู้บำเพ็ญกุศลเช่นนี้น ข้าพระองค์จะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ร้าย โรคภัยไข้เจ็บหรืออุปัทวเหตุเกิดขึ้นแก่ตัวเขา แก่ครอบครัวของเขา และสถานที่ใกล้เคียงบ้านพักอาศัยของเขา            

พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และรับสั่งว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว พระยามัจจุราช และบริวาร ย่อมพร้อมที่จะปกปักรักษาคนที่ทำดี ตถาคตจะขอร้องให้พระราชาแห่งพรหมโลก และจักรพรรดิแห่งดาวดึงส์ดูแลให้ความคุ้มครองท่านทุกคน”

หลังจากการสนทนาที่น่าสนใจผ่านไป พระยมราชผู้มีหน้าที่ดูแลอายุขัยของสรรพสัตว์ ลุกขึ้นท่ามกลางธรรมสภา แล้วทูลถามพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ทำหน้าที่ดูแลอายุขัยของมนุษย์บนโลกมนุษย์ ทั้งเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงแล้ว ข้าพระองค์มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะนำประโยชน์สุขมาให้แก่มนุษย์ แต่ข้าพระองค์สังเกตดูด้วยความเศร้าใจว่า มนุษย์เป็นจำนวนมากไม่เข้าใจความตั้งใจของข้าพระองค์ที่จะช่วยเหลือพวกเขา ผลก็คือ เหล่าคนบาปก็หาความสุขไม่ได้ ไม่ว่าขณะมีชีวิตอยู่หรือเมื่อตายไปแล้ว คนในโลกมนุษย์เมื่อรอการเกิดของบุตรชายหรือบุตรหญิง เขาควรจะตั้งใจบำเพ็ญกุศล เพราะบุญกุศลนั้นจะทำให้ครอบครัวประสบสันติสุข บริวารของข้าพระองค์ และวิญญาณในละแวกนั้นไม่เพียงแต่จะคอยปกป้องคุ้มครองดูแลทั้งมารดา และทารกเกิดใหม่ แต่จะประทานความสันติสุขให้แก่บรรดาญาติๆ ของเขาด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีทารกเกิดในบ้าน จึงไม่พึงฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบำรุงแก่มารดา หรือเชิญบรรดามิตรสหายมาฉลองการเกิดของทารกโดยการดื่มเหล้าองุ่น เสพเนื้อสัตว์ และเล่นดนตรี การฉลองวันเกิดของเด็กน้อยในวิธีนี้ จะไม่นำความสุขมาให้แก่มารดาและบุตรเลย เพราะหญิงครรภ์แก่จวนครรภ์ จะมีวิญญาณร้ายอยู่รอบตัวผู้เป็นมารดา รอที่จะดูดเลือด เพื่อคุ้มครองมารดา ข้าพระองค์จะสั่งให้วิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นให้คอยมาคุ้มกันทั้งแม่ทั้งลูกให้มีสันติสุข เมื่อทั้งมารดาและลูกน้อยมีสันติสุขเมื่อแรกคลอด ก็ควรจะถวายเครื่องเซ่นแก่วิญญาณกลับไปเลียงดูญาติมิตรโดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งมารดาและลูกน้อยะถูกลงโทษ

“เมื่อมนุษย์ในโลกนี้ใกล้ตายข้าพระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยคนใกล้ตาย ไม่ว่านจะเป็นคนดีคนเลวไม่ให้ตกไปสู่อบาย หากผู้ใกล้ตายเคยทำความดีในเวลาที่มีชีวิต อำนาจของข้าพระองค์ในการช่วยเหลือเขาก็จะประสบความสำเร็จ

“แม้ในกรณีบุคคลที่เคยทำความดีมาตลอดชีวิต ก็อาจจะมีวิญญาณร้ายจำนวนมาก อาจจะมาในรูปของบิดามารดาหรือญาติในอดีตเพื่อที่จะมาล่อลวงให้ผู้ใกล้ตายตกลงสู่อบาย หากผู้ใกล้ตายประกอบกรรมชั่วในช่วงชีวิต วิญญาณร้ายก็จะประสบความสำเร็จในการที่จะฉุดคร่าเขาลงสู่อบายภูมิ

“พระโลกนาถเจ้า หากผู้ที่อยู่ในสังสารวัฏ ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิงหมดสติไปในขณะที่ใกล้ตาย โดยที่เขาแยกแยะความดีความชั่วไม่ได้ ขณะนั้นเขาไม่สามารถจะเห็นหรือได้ยิน ช่วงเวลนั้นญาติของผู้ใกล้ตายควรสวดพระสูตร และถวายสักการะแด่พระพุทธรูปและพระโพธิสัตต์ กุศลกรรมเหล่านี้จะช่วยขจัดวิญญาณร้ายออกไป พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์จะช่วยให้ผู้ใกล้ตายไม่ต้องตกลงไปสู่อบาย

“พระโลกนาถเจ้า หากผู้ใกล้ตายมีโอกาสได้ยิน แม้เพียงพระนามของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตต์ หรือการสวดพระสูตร หรือแม้แต่ว่าคาถาเพียงบรรทัดเดียวจากพระสูตร ข้าพระองค์ยืนยันได้ว่า ผู้ใกล้ตายเหล่านี้จะไม่ต้องตกนรกอเวจีใน 5 ขุมใหญ่ หากผู้ใกล้ตายเคยประกอบอกุศลกรรมเล็กๆน้อยๆ ซึ่งจะทำให้ต้องตกลงสู่อบายเพื่อรับโทษ เขาก็จะหลุดพ้นทันทีที่ได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์ หรือการสาธยายพระสูตร”

“พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงรับสั่งกับพระยมราชผู้มีหน้าที่ดูแลการเกิดการตายว่า “ท่านมีความเมตตาอย่างยิ่ง ที่ได้ตั้งประณิธานอย่างมั่นคงพร้อมในความกรุณาที่จะปกปักรักษามวลมนุษย์ทั้งชายหญิงตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่และหลังความตาย ตถาคตหวังว่า ท่านจะตั้งใจบำเพ็ญตามประณิธานโดยไม่ย่อหย่อน เพื่อว่าท่านจะได้ช่วยโปรดผู้หลงผิดทั้งหลายให้หลุดพ้น และให้เข้าถึงซึ่งความสุขที่ยั่งยืน”

พระยมราชผู้ที่ดูและการเกิดและการตาย ทูลพระพุทธองค์ว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงกังวล ข้าพระองค์จะยังคงเพียรพยายามอย่างที่สุดที่จะช่วยสรรพสัตว์ในสังสารวัฏ ทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่กำลังจะตาย เพื่อช่วยให้เขาสงบ และพบกับความสุข ข้าพระองค์จะแสวงหาโอกาส เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งใจฟังคำสอนของข้าพระองค์ พวกเขาจะได้หลุดพ้นอย่างแท้จริง และจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง”

ขณะนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งถึงพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “พระยมราชผู้ดูแลการเกิดการตายนี้ ทรงเป็นพระยมราชมาหลายพันชาติแล้ว ทรงกระทำทุกวิถีทางที่จะช่วยมนุษย์ในช่วงของการเกิดและการตาย จริงๆแล้วมิได้ทรงเป็นภูตผีปีศาจ แต่ด้วยความกรุณาและความเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ พระองค์แปลงร่างเป็นภูตผีปีศาจเพื่อทำหน้าที่พระยมราช ท่านก็จะได้บรรลุพุทธภูมิในอีก 170 กัปข้างหน้า จะมีพระนามว่า นิรลักษณะพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุยืนยงเป็นเวลานานในโลกแห่งความบริสุทธิ์

“เรื่องราวของพระยมราชพระองค์นี้ อยู่เหนือความคิดและคามสามารถที่จะอธิบายได้ จำนวนผู้คนที่ท่านได้ช่วยเหลือมาแล้วมีจำนวนมหาศาลเกินที่จะประมาณได้”

บทที่ 9

การสวดพระนามของพระพุทธเจ้า

                วาระนั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ขอโอกาสที่จะได้ประกาศให้ทราบว่า ในอนาคต มนุษย์จะได้รับประโยชน์อย่างไร ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่และ ขณะที่เขาใกล้ตาย ข้าพระองค์หวังว่าพระองค์จะเมตตามีเวลาพอที่จะรับฟังบ้าง”

พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงทรงเปิดเผยแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “ด้วยความเมตตาอันหาประมาณมิได้ของท่าน ท่ะพยายามช่วยปลดเปลื้องคนบาปทั้งหลายจากการที่จะต้องไปสู่ภพทั้ง 6 ตอนนี้ เป็นโอกาสเหมาะแล้ว ขอได้โปรดไขแสดง เพราะตถาคตจวนจะปรินิพพานแล้ว ตถาคตจะได้ประทานพรให้ท่านประสบความสำเร็จในการรักษาประณิธานอันมั่นคงเพื่อว่า ตถาคตจะได้ไม่ต้องมีห่วงใยในสรรพสัตว์ในอนาคตกาลภายภาคหน้า

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระโลกนาภเจ้า ข้าพระองค์ขอกราบทูลถึงพระนามของพระพุทธเจ้า ดังนี้

1 พระอนันต์พุทธเจ้า

                หลายกัปอันนานนับประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า อนันต์พุทธเจ้า  ไม่ว่าชายหรือหญิงที่มีโอกาสได้ฟังพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ แม้เพียงมีความคิดถึงพระองค์ด้วย จิตคารวะเพียงช่วงสั้นๆก็จะช่วยให้เขาพ้นจากการเกิดการตายเป็นเวลา 40 กัป สาธุชนจะได้รับความสุขอันหาประมาณมิได้ หากเขาจะได้สร้างพระพุทธรูป ถวายสักการะและชื่นชมพระองค์

2 พระธรรมชาติวิเศษพุทธเจ้า

                เช่นกันหลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ธรรมชาติวิเศษพุทธเจ้า ไม่ว่าชายหญิงใด ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ และมีความเคารพในพระองค์จะได้เข้าถึงพุทธภูมิในท้ายที่สุด

3 พระปัทมปาณิพุทธเจ้า

                เช่นกัน มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระนามว่า ปัทมปาณิเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) พระหัตถ์ทรงดอกบัว ชายหญิงใดมีโอกาสได้ฟังแม้พระนามของพระองค์ท่านก็จะมีบุญที่จะได้ไปเกิดในสวรรค์ 6 ขั้น ถึงพันชาติ และท้ายสุดก็จะได้เข้าสู่พุทธภูมิ

4 พระสิงหนันทะพุทธเจ้า

                หลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิงหนันทะพุทธเจ้า ไม่ว่าชายหรือหญิง ที่อยู่ในระยะที่จะได้ยินพระนามของพระพุทธองค์ และระลึกถึงพระองค์ด้วยความเคารพ ย่อมถึงซึ่งประโยชน์ในการที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งยังได้รับพรจากพระพุทธองค์และได้เข้าถึงพุทธภูมิในท้ายที่สุด

5 พระกรกุจฉันทะพุทธเจ้า (กกุสันโธ)

                มีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้ เป็นลำดับที่ 4 ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ และด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ถวายสักการะและชื่นชมพระองค์ ก็จะได้เป็นมหาพราหมณ์ ท่ามกลางธรรมสภาของพระพุทธเจ้าถึง 1 พันองค์ในภัทรกัปนี้ ได้รับพรจากพระองค์ เขาก็จะได้เข้าถึงพุทธภูมิในเวลาต่อมา ผู้นั้นจะได้บุญอย่างยิ่งโดยการสวดพระนามของพระองค์

6 พระวิปัสสีพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า วิปัสสี ไม่ว่าชายหญิงใดที่มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ จะไม่ต้องตกนรก เขาจะได้ไปเกิดขนสวรรค์ หรือในโลกมนุษย์ จะมีประโยชน์สุขยิ่ง

7 พระรัตนเกตุพุทธเจ้า

                หลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระรัตนเกตุพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดี ที่ได้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ จะไม่ต้องตกลงไปสู่อบาย และจะได้เกิดบนสวรรค์ มีความสุขเป็นที่ยิ่ง

8 พระคุณประทีปพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระคุณประทีปพุทธเจ้า ชายหรือหญิงใดที่บังเอิญได้ยินพระนามของพระองค์ และน้อมใจระลึกถึงพระองค์ด้วยความเคารพ จะได้บรรลุอรหันต์ผลในไม่ช้า

9 พระกัสยพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระกัสยพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดีที่ได้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะรอดพ้นจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดถึง 100 กัป

10 พระมหาภิชนาญาณธิภูพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระมหาภิชนาญาณธิภูพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดี แม้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ ก็จะมีโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วย ที่จะได้โปรดสอนจนเขาได้เข้าถึงพุทธภูมิ และยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆอีก เช่น

                1 พระจันทรประภาวิสุทธิ์พุทธเจ้า

                2 พระบรรพตราชพุทธเจ้า

                3 พระวิสุทธิราชพุทธเจ้า

                4 พระปัญญาชัยพุทธเจ้า

                5 พระปัญญาสมบูรณ์พุทธเจ้า

                6 พระวิสุทธิเลิศพุทธเจ้า

                7 พระสิทธวิเศษพุทธเจ้า

                8 พระจันทรประภาสสมบูรณ์พุทธเจ้า

                9 พระจันทรมุขพุทธเจ้า

                เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าอีกจำนวนมาก

                พระโลกนาถเจ้า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากสวรรค์หรือโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ในปัจจุบันหรือในอนาคต ที่สามารถจะสวดพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เอ่ยถึงข้างต้นนี้ ก็จะได้บุญยิ่ง และหากได้สวดพระนามาของพระพุทธองค์ได้มากขึ้นก็จะได้บุญมากขึ้น สรรพสัตว์เหล่านั้นจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากที่ตายไปแล้ว เขาจะไม่ต้องตกนรก หากญาติของผู้ใกล้ตายสวดพระนามของพระพุทธเจ้าแม้เพียงพระองค์เดียว บุคคลผู่ใกล้ตายนั้นก็จะรอดพ้นจากการตกลงไปสู่อบายภูมิ ยกเว้ณกรณีที่ต้องโทษหนักในอเวจี การลงโทษในอเวจีนั้นหนักหนามาก ผู้ที่ทำบาปหนักจะมีทางรอดได้ยากนับเป็นล้านกัป

                หากผู้อื่นสามารถสวดพระนามของพระพุทธเจ้าให้กับคนใกล้ตายโทษของเขาจะลดน้อยลง และหากผู้ใกล้ตายสามารถท่องพระนามพระพุทธเจ้าได้ด้วยตัวเอง ก็จะมีผลดีกว่า เขาจะได้รับความสุขอย่างยิ่งและสามารถหลีกเลื่อยงการถูกลงโทษจากอกุศลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่

บทที่ 10

เปรียบเทียบกับบุญจากการใส่บาตร

                ในเวลานั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ด้วยพระบุญญาธิการของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ลุกขึ้นจากที่นั่งคุกเข่าพนมมือทูลพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วบุญจากการใส่บาตรหรือการถวายทานนั้นแตกต่างไปบ้างไม่มากน้อย บางคนได้รับผลตอบแทนภายในชีวิตเดียว บางคนได้รับผลต่อเนื่องกันถึง10 ชาติ บางคนได้เสวยบุญอยู่นับแสนชาคติ ข้าพระองค์มิอาจจะหยั่งรู้ได้ว่าทำไมจึงมีความแตกต่างกันขนาดนั้น ขอพระองค์จงได้โปรดเมตตาอธิบายด้วย” พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงตอบว่า “ตถาคตจะอธิบายให้ฟังถึงความแตกต่าง เพื่อเป็นรางวัลแก่สรรพสัตว์ที่สร้างทานบารมีในชมพูทวีป ตถาคตจะอธิบายให้ผู้ที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ตลอดดาวดึงส์และหวังว่าทุกคนจะตั้งใจฟัง” พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระองค์มีความสงสัยอยู่ และปรารถนาที่จะได้รับฟังการเปรียบเทียบในเรื่องการใส่บาตรทำบุญ”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งว่า “หากพระราชา อำมาตย์ พระเถระ วรรณะกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ วรรณะพราหมณ์ที่ยิ่งใหญ่ ในชมพูทวีป หากบุคคลเหล่านี้ที่ได้ระบุนามแล้ว ได้พบกับบุคคลผู้มีความยากจน หรือผู้ที่ยังไม่ได้พัฒนาตน หากบุคคลเหล่านั้นได้ทำบุญแก่พวกเขา ด้วยความเมตตากรุณา มีความยิ้มแย้ม มอบของให้แก่คนยากจนด้วยมือของตนเอง หรือผ่านผู้แทน และพูดจาปลอบประโลมเขา ผุ้ให้ทานในลักษณะนี้ย่อมได้บุญมหาศาลดุจเม็ดทรายในคงคานที ทั้งนี้ผู้ให้ทานเป็นผู้ปฏิบัติความเมตตาอันหาประมาณมิได้ แก่คนที่ยากจนที่สุด คนที่ต่ำต้อยที่สุดและคนที่ยังไม่ได้พัฒนา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เสวยบุญกุศลต่อมานับแสนชาติ พรั่งพร้อมด้วยรัตนะทั้ง 7 พรั่งพร้อมด้วยอาหารที่ดี และมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มบริบูรณ์ในอนาคต เช่นกัน หากพระราชา อำมาตย์ พราหมณ์ ได้เห็นพระพุทธรูป วัด เจดีย์ พระโพธิสัตต์ พระอรหันต์ หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติต่อๆไป หากได้ถวายอาหารต่อพระองค์เหล่านั้นด้วยมือของตนเอง ผู้ถวายทานเช่นนี้ ย่อมจะได้ไปจุติเป็นพระราชาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในความสุขสำราญนานถึง 3 กัป ผู้ถวายทานเหล่านี้สามารถแผ่บุญกุศลไปยังทศทิศ และผู้ถวายทานเหล่านี้จะได้เป็น มหาพรหมเทวราช เป็นพระราชาแห่งพรหมโลกทั้ง 18 ชั้น ติดต่อกันนานถึง 10 กัป และถ้าในอนาคต พระราชา มุขอำมาตย์ เจ้านาย พระเถระ มหากษัตริย์ และพราหมณ์ ได้พบพระเจดีย์ วัด พระพุทธรูป พระสูตรที่เก่าชำรุด ตั้งความประสงค์ว่าจะซ่อมแซม ผู้บริจาคทานเช่นนี้ไม่ว่าทำเอง หรือส่งเสริมให้คนอื่นทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดินับแสนชาติ ส่วนผู้ที่ได้รับการชักจูงสนับสนุนให้ทำบุญ ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระราชาในแว่นแคว้นเล็กๆเป็นเวลานานนับแสนชาติ และหากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็ดี พระเจดีย์หรือวัดก็ดี ผู้บริจาคทานในลักษณะนี้ย่อมถึงพุทธภูมิ ผลจากการบำเพ็ญบุญกุศลเช่นนี้มหาศาลยากจะคณานับ ในอนาคต หากพระราชา อำมาตย์ เจ้านาย เมื่อเห็นคนเฒ่าคนแก่มีความทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร แม้เพียงมีความคิดเมตตาสงสาร เข้าช่วยเหลือ โดยหายาให้ก็ดี อาหารและเครื่องดื่มก็ดี หรืออาบน้ำให้เพื่อให้คนป่วยมีความสุขสงบ จะได้บุญมหาศาล ผู้ทำกุศลเช่นนี้จะได้ไปเกิดบนชั้น สุธาวาสนานถึง 100กัป หลังจากนั้นจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนานถึง 200 กัป ท้ายที่สุดก็จะได้เข้าถึงพุทธภูมิ หรือได้ยินแม้เสียงแห่งความทุกข์ยาก หากพระราชาหรือพราหมณ์สามารถสร้างบุญกุศลเช่นนี้ได้ก็จะได้รับพรมหาศาล และหากแบ่งกุศลให้ผู้อื่น ไม่ว่าน้อหรือมาก ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดิ และท้ายที่สุดจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ

                ด้วยเหตุนี้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ท่านจึงควรพยายามอย่างยิ่งที่จะสิ่งเสริมให้สรรพสัตว์ สร้างบุญสร้างกุศลจากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ หากกุลบุตรตั้งใจสร้างบุญกุศลแม้น้อยนิดเพียงเท่าเส้นผมหรือเม็ดทรายหรือแม้เพียงฝุ่นธุลี เขาก็จะได้รับพรและได้รับประโยชน์ที่มิอาจจะยกตัวอย่างมาแสดงได้ในความหลากหลาย และความมหาศาลของคุณประโยชน์เหล่านั้น

                ในอนาคตหากผู้ที่ตั้งอยู่ในกุศลได้พบพระพุทธรูป พระโพธิสัตต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือจักรพรรดิ และถายสักการะแม่พระองค์ก็จะได้รับพรและประโยชน์อย่างยิ่ง จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทพเสวยสุขอยู่ทุกเมื่อ และหากชนเหล่านี้อุทิศส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ในทศทิศ ชนเหล่านี้ก็ยิ่งจะได้รับพรเกินคำบรรยายตามตัวอย่างที่ได้ยกมาแล้ว

                หากในอนาคต ผู้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลพานพบพระสูตรมหายานหรือได้ยินแม้เพียง 1 ย่อหน้า 1บรรทัด จากพระสูตรนั้น มีความเคารพเป็นที่ยิ่ง หากเขาแสดงความนิยม และถวายสักการะด้วยความเคารพเขาก็จะได้บุญมหาศาล และหากอุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ในทศทิศก็จะได้รับพรเกินคำบรรยาย ต่อไปในภายภาคหน้าหากผู้มีใจกุศล ได้เห็นพระเจดีย์ใหม่ วัดใหม่ พระสูตรของมหายานใหม่และถวายสักการะ ด้วยจิตใจที่นอบน้อมเป็นที่สุด และหากได้พบสิ่งที่เก่าชำรุดทรุดโทรม ตั้งประณิธานที่จะซ่อมแซมทะนุบำรุง ทั้งยังบอกกบุญให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาเข้าร่วมในบุญนั้น ผู้มีใจกุศลที่ตอบรับการบอกบุญดังกล่าว ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดิ และจะเป็นผู้แสดงธรรมโปรดกษัตริย์ใหญ่น้อยในอนาคตกาล หากผู้มีใจเป็นกุศล จะตั้งมั่นอยู่ในการประกอบกุศลกรรมทำแต่ความดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถวายสักการะ โดยการช่อมแซมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ซ่อมแซ่มเจดีย์หรือวัด แม้จะนซ่อมแซมพระสูตรที่เก่าชำรุด บุญกุศลนั้นแม้จะน้อยนิดเพียงเส้นผมหรือฝุ่นธุลีหรือเม็ดทรงในคงคานที หรือแม้เพียงหยดน้ำ หากได้อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่สรรพสัตว์ในอาณาจักรทั้ง 10 ผู้บำเพ็ญกุศลนั้นจะได้รับพรไปตลอดแสนชาติ หากเขาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ครอบครัวและญาติ ญาติของเขาก็จะมีแต่ความสุขไปตลอดชั่ว 3 ชาติ ในการให้ประโยชน์เพียงหนึ่ง แต่ผลที่ได้รับจะนับร้อยนับพันทวีคูณ ด้วยเหตุนี้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ผลจากการทำทานนั้นมหาศาลยิ่งนัก”

บทที่11

ปฐวีเทพผู้คุ้มครองพระธรรม

                ขณะนั้น วิญญาณที่คุ้มครองดูแลโลก ได้กราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ในอดีต ข้าพระองค์ได้ถวายสักการะต่อพระมหาโพธิสัตต์จำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ทรงเกียรติและปัญญา และได้ช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์มามากต่อมาก พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นต่อสรรพสัตว์ในชมพูทวีป พระมัญชุศรี พระสมัตรภัทรโพธิสัตต์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ และพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทั้งทุกพระองค์นั้น ใช้ภาคต่างๆ จำนวนนับพันที่จะโปรดคนบาป คนหลง ในการอุบัติขึ้นในทิศทั้งหก และทุกพระองค์ก็ได้สัมฤทธิผลตามประณิธานแล้ว พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ตั้งมหาประณิธานดุจเม็ดทรายในคงคานทีที่จะช่วยรื้อสัตว์ขอนสัตว์ในการอุบัติขึ้นในทิศทั้งหก พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาจจะสร้างรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หล่อจากเหล็ก ทองเหลือง เงิน ทองคำ หรือเป็นภาพเขียน บูชาไว้ในห้องที่ทำด้วยดิน ด้วยหิน ไม้ไผ่ หรือไม้ ในสถานที่สะอาดสะอ้าน ในทางทิศใต้ของที่พัก และถวายสักการะแก่พระโพธิสัตต์ โดยน้อมความเคารพสักการะเป็นอย่างยิ่ง บูชาด้วยของหอม บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นในกุศลเช่นนี้ ย่อมเข้าถึงประโยชน์สุข ทั้ง 10 ประการในอาณาบริเวณที่อยู่ ประโยชน์ 10 ประการนี้คืออะไร

                1 ดินดีและได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์

                2 ทั้งครอบครัวจะอยู่กันอย่างสันติสุข

                3 ญาติที่ตายไปแล้วย่อมไปสู่สรวงสวรรค์

                4 ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีอายุยืนยาว

                5 ตั้งความปรารถนาสิ่งใดนจะได้สมปรารถนา

                6 จะไม่ต้องประสบภัยพิบัติจากน้ำท่วมหรือไฟไหม้

                7 จะพ้นจากอกุศลสิ่งชั่วทั้งปวง

                8 จะไม่มีวันฝันร้าย

                9 ไม่ว่าจะไปที่ใดจะมีผู้คุ้มครอง

                10 จะพบปะแต่สิ่งที่เป็นกุศล

                พระโลกนาถเจ้า สรรพสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบัน และแม้ในอนาคต จะได้รับประโยชน์อย่างเดียวกัน หากประกอบบุญกุศลถวาย สักการะที่บ้านของเขาเช่นนี้ พระโลกนาถเจ้า หากสรรพสัตว์ในอนาคตรักษาพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือบูชาพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ตามบ้านของเขา และหากเขาสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรด้วยหรือถวายสักการะแด่พระองค์ ข้าพระองค์จะพยายามปกป้องบุคคลผุ้นั้น ทั้งกลางวันกลางคืน เขาจะไม่มีภัยจากน้ำท่วม ไฟไหม้ โจรภัย ทุพภิกขภัย หรือเหตุการณ์ร้ายอื่นไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงรับสั่งแก่ปฐวีเพทว่า “ท่านผู้ทรงอำนาจ และวิญญาณใหญ่น้อย ทั้งหลายมิอาจเทียบท่านได้ ทั้งนี้เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในชมพูทวีปได้รับความคุ้มครองจากท่าน วัตถุธรรมทั้งหลาย นับตั้งแต่ เม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนถึงเพชรนิลจิตดาที่มีค่าสูงยิ่ง ล้วนแล้วแต่มาจากดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของท่านทั้งสิ้น และทานก็ได้กล่าวชื่อชมบุญญาธิการของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ บุญญาธิการและอำนาจของท่านยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณใหญ่น้อยทั้งหลายนับพันเท่า หากสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต จะถวายเครื่องสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร ดำเนินชีวิตด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลตามคำสอนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ขอท่านจงได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ปกป้องคุ้มครองดูแลพวกเขาให้ห่างไกลทุกข์ อย่าให้เขาต้องตกอยู่สภาพทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งต้องได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เป็นทุกข์ พวกเขามิใช่จะได้รับความคุ้มครองจากท่านเท่านั้น ยังได้รับความคุ้มครองดูแลจากทวยเทพ โดยการถวายสักการะต่อพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หรือสวดพระสูตรแล้ว พวกเขามิใช่จะได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพ แต่ยังเป็นอิสระจากทะเลแห่งความทุกข์และท้ายสุดก็จะได้เข้าถึงพระนิพพาน”

บทที่ 12

ประโยชน์จากการเห็นและได้ยิน

                สมัยนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระโลกนาถเจ้า ทรงเปล่งพระรัศมีสีต่างๆ มีรัศมีที่งดงามปรากฏออกมาจากพระเศียร พระเศียรกำกับทั้งพระวรกายและพระรัศมีจากจอมพระเศียรประเสริฐกว่าทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงเปล่งพระรัศมีจากจอมพระเศียรเพื่อให้ธรรมสภาได้ประจักษ์ว่าพระองค์ก็ทรงให้ความเคารพในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า และพระสูตรของพระองค์ด้วย

                เมื่อทรงเปล่งพระรัศมีเป็นประกายสีต่างๆ ให้ปรากฏแล้ว  ยังทรงเปล่งพระสุรเสียงอันประเสริฐด้วย ทรงมีจุดประสงค์ที่จะแสดงทั้งแสงและเสียง เพื่อให้ปรากฏแก่ธรรมสภา ถึงประโยชน์มหาศาลอันจะมีจะได้จากแสงและเสียงนั้น

                พระโลกนาถเจ้ารับสั่งกับผู้ที่เฝ้าแหนอยู่ ณ ดาวดึงส์ ทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่ได้นำประโยชน์สุข มาสู่ทวยเทพเทวดาและมวลมนุษย์ และทรงบรรยายให้ฟังว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีในทศภูมิของพระโพธิสัตต์โดยไม่ย่อท้อและมุ่งมั่นในพระนิพพานมาโดยตลอด หลังจากที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้กล่าวแล้ว พระมหาโพธิสัตต์อีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระอวโลกิเตศวร ได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง พนมมือถวายนมัสการแด่พระพุทธเจ้าแล้วทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงตั้งมั่นอยู่ในเมตตาธรรม มีหลายภาคที่ได้โปรดสรรพสัตว์ นำพวกเขาให้พ้นทุกข์ อำนาจจากบุญกุศลและบุญญาธิการของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นหาประมาณมิได้ ข้าพระองค์ได้ยินพระโลกนาถเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันหาประมาณมิได้จากทศทิศได้กล่าวสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และกล่าวถึงบุญกุศลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ อันมีมากมายหาศาลเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตปัจจุบัน และอนาคต จะพรรณนาได้

                พระโลกนาถเจ้าได้ทรงมีพระเมตตา สัญญาว่าจะเล่าให้ธรรมสภาฟังในภาระหน้าที่ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พวกเราจึงหวังว่าพระพุทธองค์จะทรงพระเมตตา เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ปัจจุบัน และอนาคต ที่จะทรงเล่าถึงประโยชน์อันหาที่จะประมาณมิได้ ที่พระองค์ได้กระทำแล้วต่อสรรพสัตว์ และขอให้สัตว์ทั้งหลายใน 8 ภูมิ จะได้รู้ว่าพึงถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์อย่างไรที่จะได้เข้าถึงประโยชน์และความสุขนั้น”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้รับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่า “ท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดาสรรพสัตว์ในสังสารวัฏ ไม่ว่าจะเป็นเทพ เทวดา นาค มนุษย์ชาย หญิง วิญญาณ ภูตผีปีศาจ และคนบาปในภูมิทั้ง 6 เมื่อได้ยินพระนามของพระองค์ก็ดี ได้เห็นรูปภาพของพระองค์ก็ดี ชื่นชมในบุญบารมีของท่านก็ดี สรรเสริญในความเมตตาของท่านก็ดี พวกเขาทั้งหลายจะมีความก้าวหน้าในการบรรลุธรรมโดยไม่มีการถอยหลัง และก่อนที่จะได้เขาพุทธภูมิ ก็จะได้เกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีความสุขเป็นที่ยิ่ง เมื่อสร้างบุญกุศลมากพอก็จะได้พบพระพุทธเจ้าและจะได้รับพุทธทำนายว่าจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ ด้วยมหากรุณาที่มีต่อคนบาปในโลก ท่านได้ขอให้พระตถาคต เล่าถึงประโยชน์มหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่พึงมีต่อสรรพสัตว์ ตถาคตยินดีที่จะเล่าให้ฟัง และหวังว่าท่านจะตั้งใจฟังด้วยดี” พระอวโลกิเตศวรทูลตอบว่า “ขอพระโลกนาถเจ้าทรงพระกรุณา”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ว่า “เมื่อทวยเทพที่อยู่ในทศทิศทั้งในอนาคตหรืออดีตลิ้นสุดการเสวยสุข ก็จะเกิดความเศร้าหมอง 5 ประการ และจะต้องตกสู่อบาย ถ้าทวยเทพเหล่านี้ เมื่อมีความเศร้าหมองทั้ง 5 ประการย่างกรายเข้ามา หากมีโอกาสแม้ได้เห็นรูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือได้ถวายถวายนมัสการต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เพียงครั้งเดียว ทวยเทพเหล่านั้นก็จะเพิ่มพูนความสุข สามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องตกลงสู่อบายทั้ง 3 ภูมิ หากทวยเทพเหล่านี้ ถวายเครื่องสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เช่น ถวายดอกไม้หอม ผ้าแพรพรรณ อาหาร และเครื่องดื่ม เพชรนิลจินดา ฯลฯ ก็จะได้รับประโยชน์สุขมหาศาลเป็นผลตอบแทน หากสรรพสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ในสหโลกธาตุ เมื่อได้ยินพระนามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในขณะที่กำลังจะตาย ก็จะไม่ต้องตกลงไปในอบายทั้ง 3 ขุม หากบิดามารดาหรือาติของผู้ใกล้ตายขายทรัพย์สมบัติของคนเจ็บ และใช้ปัจจัยนั้นสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และคนเจ็บรับรู้การทำบุญแทนตัวเขา และแม้เขาอาจจะเจ็บหนักด้วยวิบากกรรมของเขาเอง เขาก็จะพ้นจากอาการป่วยและจะมีชีวิตยืนยาว หากคนเจ็บต้องตายลงตามวิบากกรรมของเขา และจะต้อง.ถูกส่งลงสู่อบาย แต่เพราะกุศลที่ญาติทำให้แทนตัวเขาจะได้รับการละเว้นโทษานุโทษจะได้ไปเกิดเสวยสุขเป็นเทพหรือมนุษย์ หากสรรพสัตว์ในปัจจุบันหรืออนาคต สูญเสียบิดามารดาพี่ชายหรือน้องสาว ในวัยเด็กและเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และใคร่รู้ว่าเขาไปเกิดที่ใด บุคคลที่เคติบใหญ่ แล้วนั้นอาจจะสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ยินพระนามของพระองค์ท่าน ชื่นชมในพระรูปและถวายสักการะต่อพระองค์ท่านตั้งแต่ 1 วัน  จนถึง 7 วัน ติดต่อกันโดยไม่ขาด แม้ว่าญาติผู้ตายอาจจะต้องตกนรกนานหลายกัป แต่เนื่องจากกุศลกรรมที่บรรดาญาติทำให้แทนตัว เขาก็จะได้แสวยสุขเป็นเวลานาน และหากญาติที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้นคงกราบไหว้พระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ติดต่อกันต่อไป สวดพระนามของท่านติดต่อกันถึง 21 วัน ด้วยความศรัทธามั่นในใจ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะปรากฏแก่พวกเขา และจะบอกแก่พวกเขาชัดเจนว่าญาติ (ที่ตาย) ท่านจะนำเขาไปยังที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง เพื่อให้เห็นว่า ญาติ(ที่ตาย)อยู่ที่ใด หากท่องบ่นพระนามของพระโพธิสัตต์ 1พันครั้งทุกวัน ติดต่อกัน 1 พันวัน พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะทรงส่งปฐวีเทพ มาดูแลรักษาผู้นั้นจนตลอดชีวิต เขาจะประสบความสุข ความเจริญ มีอายุยืน จะไม่ได้พบพานความทุกข์โศก ทั้งจะไม่มีความทุกข์มาแผ้วพาน หรือความชั่วร้ายจะเข้ามากล้ำกรายได้ สุดท้ายก็จะได้ถึงพุทธภูมิ หากมีผู้ใด ไม่ว่าชายหรือหญิงในอนาคต ปรารถนาที่จะช่วยสรรพสัตว์ มั่นคงอยู่ในการเจริญกรุณา โม้มน้าวจิตใจของสรรพสัตว์ มีปัญญาเป็นที่ยิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ในสามโลก บุคคลผู้นั้น หากได้เห็นพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ท่องบ่นถึงพระนามของท่าน ยึดถือพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นที่พึ่ง ถวายสักการะต่อพระองค์ จะได้สมปรารถนาในทุกสิ่งโดยปราศจากอุปสรรค

                “หากสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต มีความปรารถนามากมายและมีความประสงค์ที่จะสร้างกุศลอย่างยิ่ง จะสมความปรารถนา หากจะถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สรรเสริญพระองค์ท่าน ถือพระองค์เป็นสรณะ กราบไหว้รูปสักการะของท่าน หากเขาเหล่านั้นปรารถนาที่จะได้ให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์คุ้มครองป้องกันเขาตลอดไป เขาก็จะได้เห็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ในความฝัน และจะได้รับคำพยากรณ์ว่าจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ

                “หากชายหญิงใดก็ดีในอนาคต มีศรัทธาในมหายานสูตรมีความตั้งใจที่จะอ่านและสวดพระสูตรนี้แม้จะมีครูผู้ฉลาดสอน แต่อาจจะหลงลืมวิบากกรรม แต่เมื่อได้ยินพระนามของพระองค์ หรือได้เห็นพระรูปของท่าน ได้ถวายเครื่องสักการะ ถวายน้ำบริสุทธิ์แก่พระองค์ชั่ววันและคืนหนึ่งแล้วพนมมือด้วยความเคารพยิ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ดื่มน้ำนั้นด้วยศรัทธา 7วัน หรือ 21 วัน ทำเช่นนี้ บุคคลนั้นจะได้เห็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ในภาคใดภาคหนนึ่งในความฝัน โดยพระโพธิสัตต์จะเทน้ำลงบนศีรษะของเขา พระโพธิสัตต์ได้ประทานปัญญาให้แก่เขาเหล่านั้น ครั้นตื่นขึ้น เขาก็จะมีปัญญาที่จะเข้าใจพระสูตร จำได้ทุกประโยค ทุกย่อหน้าเสมอ

                “หากผุ้ใดในอนาคต มีความทุกข์เนื่องจากขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่ม ปรารถนาที่จะทำสิ่งใดก็ไม่ได้สมปรารถนา เจ็บไข้ได้ป่วยเสมอ ทั้งยังมีเรื่องร้ายตลอดเวลา ไม่ได้พบความสงบสุขในครัวเรือนต้อพลัดพรากจากคนรัก ประสบแต่สิ่งที่เลวร้ายในความฝัน มิฉะนั้นก็พบกับความทุกข์ยากอื่นๆ หากคนโชคร้ายเช่นนี้ ได้ยินพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้เห็นรูปของพระองค์ ได้ท่องบ่นพระนามของท่านหมื่นครั้งด้วยความศรัทธา ความทุกข์ความโชคร้ายทั้งหลายจะค่ยๆคลี่คลายลง เขาจะมีชีวิตอยู่ในความสงบสุข

                “ในอนาคตหากผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในกุศล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่วนตัว ในงานหลวง หรืองานที่สำคัญ หากจะต้องเดินทางเข้าป่าลึก ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลที่ยากลำบาก หรือจะต้องเดินทางบนเส้นทางที่มีอันตราย บุคคลเหล่านั้น หากได้ท่องบ่อนพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หมื่นครั้งไม่ว่าจะไปที่ใดก็จะมีเทวดาคอยคุ้มครองและจะประสบสุขเป็นนิรันดร์แม้จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เช่น เสือ สุนัขจิ้งจอก หรือสิงโต สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตรายผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในกุศล

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ว่า “พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีความใกล้ชิดกับสรรพสัตว์ในชมพูทวีป หากจะกล่าวถึงประโยชน์สุขที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายก็จะต้องใช้เวลานับแสนกัป แม้กระนั้นก็ยังเล่าได้ไม่จบสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง อวโลกิเตศวรพึงใช้อิทธิฤทธิ์ของท่านในการเผยแผ่กษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรให้กว้างขวางออกไป เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏจะได้มีโอกาสเข้าพึงสันติสุขนับเป็นล้านกัป”

                จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งอีกว่า “แม้ตถาคตจะเล่าไปถึงชั่วกัปก็ยังไม่สามารถพรรณนาอิทธิฤทธิ์ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้จบสิ้นในรายละเอียด ด้วยมีมากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที การได้เห็น ได้ยิน ได้สักการะพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง จะนำประโยชน์สุขมหาศาลมาสู่มนุษย์และทวยเทพ หากมนุษย์ นาค หรือวิญญาณ ถูกส่งไปลงอบายตามวิบากกรรมของเขา พวกเขาจะได้รับการยกเว้นโทษ หากยึดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่สูญเสียบิดามารดา หรือคนรัก ในระหว่างวัยเด็ก และปรารถนาที่จะทราบว่าญาติที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะปรากฏพระองค์ในภาคต่างๆ และจะนำเขาไปยังที่มีญาติเหล่านั้นอยู่ แต่จะต้องสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สักการะพระองค์ ท่องบ่นพระนามของพระองค์วันละ 1,000 ครั้ง ติดต่อกัน 21 วัน แม้ญาติผู้ตายจะตกนรกพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ หากยังสวดมนต์ต่อเนื่องและประกอบกุศลกรรม ก็จะมีโอกาสเข้าถึงพุทธภูมิ

                “หากผู้ใดประสงค์ที่จะปฏิบัติตามโพธิสัตต์มรรค พ้นไปจากความทุกข์ในสามโลก ประการแรกควรจะสักการะพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ความปรารถนาทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยปราศจากอุปสรรคประการที่สอง หากผู้ใดตั้งใจมั่นที่จะสวดพระสูตรและนำคนบาปให้พ้นทุกข์ แม้จะต้องประณิธานไว้อย่างดี แต่ด้วยวิบากกรรมในอดีต ทำให้ความจำไม่ดีหลงลืม หากบุคคลนั้นถวายเครื่องสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยดอกไม้ เสื้อผ้า อาหารและเครื่องดื่ม หรือโดยการถวายน้ำบริสุทธิ์ หลังจากสวดมนต์บนที่บูชาของพระโพธิสัตต์ชั่ว 1 วัน 1 คืน สวดมนต์แล้วดื่มน้ำนั้น และหากบุคคลนั้นรักษาศีล 5 ต่อเนื่องกัน 21 วันระลึกถึงพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง ก็จะได้รับปัญญาโดยได้เห็นภาคใดภาคหนึ่งของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ปรากฏในความฝัน สามารถจดจำพระสูตรใดๆ ได้ทันทีที่ได้ยินนานถึงแสนชาติ ประการที่สาม หากผู้ใดยากจน เจ็บไข้ได้ป่วย ครอบครัวประสบเคราะห์กรรม ต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก ฝันร้าย ทำกิจการใดๆ ไม่สำเร็จ หากถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ บรรดาเคราะห์ต่างๆจะมลายไป วิญญาณทั้งปวงจะคอยคุ้มครองดูแล จะเสวยสุขในชีวิต มีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ หากต้องเผชิญกับสัตว์ร้าย คนร้าย วิญญาณที่ดุร้าย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในป่าหรือในทะเล หากสักการะพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และถวายเครื่องสักการะต่อพระองค์ก็จะผ่านพ้นภัยพิบัติทั้งปวงไปได้”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรว่า ”โปรดจงฟังพระตถาคต การพรรณนาถึงอิทธิฤทธิ์ของพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้หมดสิ้น คงต้องใช้เวลาเป็นกัป และแม้กระนั้นพระตถาคตก็ยังไม่สามารถเล่าให้จบได้

                “ผู้คนทั้งหลายย่อประสบสุข เมื่อได้ยินพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ถวายสักการะต่อพระรูปของท่าน ถวายเครื่องสักการะแก่ท่านหากแผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ในทศทิศ เขาก็จะพ้นจากความทุกข์ แห่งการเกิดและการตายและบรรลุพุทธภูมิในที่สุด ด้วยเหตุนี้ พระอวโลกิเตศวร ขอท่านจงช่วยเผยแพร่ให้มนุษย์ทั้งหลายในประเทศต่างๆที่มีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานทีได้รับรู้ถึงความสามารถอันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์”

บทที่ 13

คำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้าต่อมนุษย์และทวยเทพ

                ในสมัยนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ยกพระกรอันเป็นสีทอของพระองค์ไปสัมผัสพระเศียรของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ แล้วรับสั่งว่า ”กษิติครรภ์โพธิสัตต์ กษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่านความเมตตาอันหาประมาณมิได้ของท่าน ด้วนสติปัญญาและความสามารถในการพูดของท่าน แม้จะใช้เวลานานนับกัปที่จะสรรเสริญความสามารถอันหลากหลายของท่าน ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ทั่วถ้วน กษิติครรภ์โพธิสัตต์ กษิติครรภ์โพธิสัตต์ จงระลึกว่าพระตถาคตยืนอยู่ ท่ามกลางธรรมสภาที่ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ดาวดึงส์ เมื่อประกาศว่าท่านจะต้องไม่ปล่อยให้สรรพสัตว์ใดๆ ตกอยู่ในอบายทนทุกข์ทรมาน แม้เพียงชั่ววันชั่วคืนยิ่งไปกว่านั้นจะต้องไม่ปล่อยให้เขาต้องตกลงสู่อเวจีนรก 5 ขุมล่างสุด ที่สัตว์นรกต้องทนทุกข์ทรมานต่อเนื่องกันโดยไม่หยุดหย่อนนานนับล้านกัปสรรพสัตว์ทั้งหลายมีแนวโน้มที่จะประกอบกรรมชั่ว และแม้เมื่อกลับตัวกลับใจแล้วก็ยังย้อนกลับไปประกอบกรรมชั่วได้อีกง่ายๆ และร้ายที่สุดคือสร้างนิสัยใฝ่ชั่ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จำเป็นต้องมีภาคต่างๆเป็นล้านๆภาค ที่จะต้องคอยช่วยเหลือคนชั่วคนบาปตามลักษณะความอ่อนแอของเขา และช่วยให้เขาหลีกหนีจากความชั่ว กษิติครรภ์โพธิสัตต์ พระตถาคตขอมอบสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ในอุ้งมือของท่านให้ท่านดูแล สนับสนุนให้เกิดการประกอบกุศลกรรมแม้เพียงน้อยนิด สนับสนุนทั้งมนุษย์และเทวดา ทั้งชายทั้งหญิง อย่าละเลยอย่ายกเลิกความพยายามที่จะปฏิบัติแม้กุศลกรรมเล็กๆอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหน้าที่อันลึกซึ้งของท่าน ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ที่จะต้องคอยปกป้องคุ้มครองสรรพสัตว์ ช่วยให้เขาได้พัฒนากุศลโดยไม่ท้อแท้ ในอนาคน หากมีผู้ใดที่ทำกรรมจนต้องตกนรก หากแต่ระลึกถึงพระนามของก็ดี พระโพธิสัตต์ก็ดี หรือแม้จะลึกถึงข้อความในมหายานสูตรใดๆสักบรรทัดหนึ่ง เมื่อไปถึงประตูนรก ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ขอให้ท่านนำบุคคลนั้นออกมาจากกทุกข์ แสดงภาคต่างๆของท่านให้ปรากฏ และช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ประสบสุข เป็นนิรันดร์”

                ขณะนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งเป็นโศลกว่า “พระตถาคตได้มอบมวลสรรพสัตว์ไว้ในมือของท่าน นับแต่ปัจจุบันไปจนถึงอนาคตและขอให้ท่านอย่าปล่อยให้ผู้ใดต้องตกลงสู่อบาย ด้วยอำนาจหน้าที่ของท่าน”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์คุกเข่าลง พนมมือกราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ขอได้โปรดวางพระทัย หากสรรพสัตว์ในอนาคต แม้เพียงมีความคิดรู้จักเคารพในคำสอนของพระพุทธองค์ ข้าพระองค์ก็จะทำอย่างที่สุด ที่จะช่วยปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากความทุกข์อันเกิดจากการเกิดและการตาย น้อมนำให้เขาเข้าสู่ความหลุดพ้นโดยวิธีการต่างๆ หากข้าพระองค์ได้ล่วงรู้ว่าผู้ใดบำเพ็ญบุญกุศล ข้าพระองค์จะเพียรพยายามที่จะสนับสนุนช่วยเหลือให้เขาได้เข้าสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันหวนคืน

                ขณะนั้น พระโพธิสัตต์องค์หนึ่ง ชื่อ พระธรรมกายโพธิสัตต์ รับสั่งกาบพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่าพระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้มายังธรรมสภานี้ และได้ยินพระพุทธองค์กล่าวสรรเสริญบุญกุศลอันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ขอพระองค์ได้โปรดอธิบายด้วยว่า ผู้ที่ได้ฟังพระสูตรนี้แล้วสักการะพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แล้ว เขาจะได้บุญได้ประโยชน์ประการใดบ้าง ข้าพระองค์ทูลถามเช่นนี้ เพื่อข้าพระองค์จะได้ช่วยสรรพสัตว์ต่อไปในอนาคต” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงรับสั่งกับพระโพธิสัตต์ว่า “ขอจงโปรดตั้งใจฟังตถาคตจะเล่าให้ฟังในรายละเอียด หากผู้มีจิตเป็นกุศล ได้เห็นพระรูปขอพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ยินพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร ได้สวดพระสูตรนี้ ได้ถวายสักการะพระโพธิสัตต์ ได้ถวายความเคารพต่อพระโพธิสัตต์ จะได้รับประโยชน์ถึง 28 ประการ คือ

                1 จะมีเทวดาและพญานาคคอยปกป้องคุ้มครอง

                2 พลังในการสร้างกุศลจะเพิ่มพูน

                3 โอกาสในการสร้างกุศลจะมากขึ้น

                4 จะก้าวเข้าสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันท้อถอย

                5 จะพรั่งพร้อมด้วยสัปปายะ

                6 จะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

                7 จะไม่มีวันต้องเผชิญภัยน้ำท่วมไฟไหม้

                8 จะไม่มีภัยจากโจรหรือสูญเสียสมบัติ

                9 จะได้รับการเคารพจากสาธุชน

                10 จะได้รับการช่วยเหลือจากวิญญาณและทวยเทพ

                11 หญิงจะได้เกิดเป็นชาย

                12 หญิงจะได้เป็นธิดาของพระราชา ขุนนาง

                13 เมื่อไปเกิดจะมีวรรณะดี

                14 จะได้ไปเกิดในสรรรค์อีกหลายชาติ

                15 จะได้ไปเกิดเป็นกษัตริย์ หรือผู้ปกครองประเทศ

                16 จะมีสติปัญญาระลึกชาติได้

                17 ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมปรารถนา

                18 จะมีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

                19 จะปราศจากภัยพิบัติ

                20 จะพ้นจากอกุศลวิบากทั้งหลาย

                21 จะปลอดภัยทุกเมื่อ

                22 จะฝันดีเสมอ

                23 ญาติที่ตายไปแล้วจะพ้นทุกข์

                24 เมื่อไปเกิดใหม่จะมีแต่ความสุข

                25 จะเป็นที่สรรเสริญของทวยเทพ

                26 จะเป็นผู้มีปัญญามีความสามารถ

                27 จะมีความกรุณาต่อผู้อื่น

                28 ท้ายที่สุดจะได้บรรลุพุทธภูมิ

                อีกเช่นกัน พระธรรมกายโพธิสัตต์ พวกเทพ เทวดา นาค ภูตผี ปีศาจ เมื่อได้ยินบุญกุศลอันมหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แล้ว สรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ก็จะได้รัรบผลประโยชน์ 7 ประการกล่าวคือ

                1 จะเข้าถึงภาวะทิพย์โดยรวดเร็ว

                2 จะเป้นอิสระจากอกุศลกรรม

                3 จะได้รับความคุ้มครองจากพระพุทธเจ้า

                4 จะมุ่งสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันถอยคืน

                5 หลังที่จะทำความดีจะเพิ่มพูน

                6 จะมีพลังที่จะระลึกอดีตชาติได้

                7 ท้ายสุดจะได้บรรลุพุทธภูมิ

                เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระมหาโพธิสัตต์ ทวยเทพ นาค ฯลฯ จากทั่วทั้ง 10 ทิศ ได้ยินพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งสรรเสริญอำนาจอิทธิฤทธิ์อันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทั้งดอกไม้และเพชรนิลจินดาที่โปรยปรายลงมาจากสวรรค์เป็นการน้อมบูชาพระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมธรรมสภานั้น พากันพนมมือด้วยความเคารพสูงสุด แล้วต่างพากันแยกย้ายคืนสู่ภพภูมิของตน

ท่านผู้อ่านพบคำผิดช่วยแก้ไขด้วย ขอบคุณครับ


 

 ไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชาสูตร

ผศ.ดร.สถิตย์ ไชยปัญญา แปลจากต้นฉบับสันสกฤต โครงการตำราและวิชาการมหายาน คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์

คำนำ

                พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระนามเต็มของพระองค์คือ พระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะ ชาวจีนออกพระนามท่านเป็นภาษาจีนว่า หยกซือฮุก หรือ หยกซือหลิวหลีกวงฮุก แปลเป็นภาษาไทยว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูแห่งยารักษาโรค หมายความว่า พระพุทธเจ้ผู้เป็นครูแห่งยาในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

                พระนามของพระองค์มีเค้าปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายมหายานอันเก่าแก่อย่างสัทธรรมปุณฑรีกสูตร โอษธีปริวรรต กล่าวว่า

“สัตว์ทั้งหลายผู้บอดเพราะอวิชชา ดำรงตนอยู่ในโลก(สังสารวัฏ) อย่างนี้ ส่วนพระตถาคตพ้นแล้วจากโลกธาตุทั้งสาม เพราะมีความกรุณา เมหือนกับบิดาเกิดความกรุณาในบุตรคนเดียว ซึ่งเป็นที่รัก(เรา)จึงมาบังเกิดในสามโลก ได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ท่องเที่ยวไปอยู่ในวัฏสงสาร และสัตว์เหล่านั้นไม่รู้วิถีทางที่จะออกจากวัฏสงสาร ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมองดูสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาจักษุ และครั้นเห็นแล้วก็ทราบว่า ในกาลก่อนสัตว์เหล่านี้ กระทำกุศลไว้แล้ว บ้างก็มีโทสะเบาบางมีราคะกล้า บ้างก็มีราคะเบาบางโทสะกล้า บ้างก็มีปัญญาน้อย บ้างก็เป็นบัณฑิต บ้างก็มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องและบ้างก็มีมิจฉาทิฏฐิ พระตาถคตจึงแสดงยานสามชนิดแก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยกุศโลบาย

ณ ที่นั้น ฤาษีทั้งหลาย ผู้มีอภิญญาห้ามีจักษุหมดจดนั้นแล คือพระโพธิสัตว์ ยังโพธิจิตให้บังเกิดขึ้น จนสำเร็จขันติธรรม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ พึงเทียบได้กับพระตถาคตนั่นเอง ชายตาบอดแต่กำเนิดก็คือสัตว์ทั้งหลาย ที่มืดบอดเพราะโมหะ โรคลมน้ำดี และเสลดก็เหมือนกับราคะ โทสะ และโมหะ ทิฏฐิหกสิบสอง ฟังเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกับ ยาสี่ชนิด ฟังเทียบได้กับ ศูนยตา(ความว่างเปล่า) อนิมิตตา(ความไม่ยึดติด) อัปปณิหิตา(ความไม่ปรารถนา) และพระนิพพาน (ความดับ) การใช้ยาทั้งหลาย จนสามารถระงับโรคได้ เหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย เจริญวิโมกข์สาม คือสุญญตาวิโมกข์(ความหลุดพ้นด้วยเห็นความว่างเปล่า) อนิมิตตวิโมกข์(หลุดพ้นด้วยการไม่ยึดติดนิมิต) อัปปณิหิตวิโมกข์(หลุดพ้นด้วยไม่ทำความปรารถนา) ก็จะดับอวิชชา(ความไม่รู้) ได้ เมื่อดับอวิชชาได้ สังขาร(การปรุงแต่ง) ก็ดับ และในที่สุดก็จะดับกองทุกข์อันยิ่งใหญ่ลงได้ แล้วจิตก็จะไม่ตั้งอยู่ทั้งในความดีและในความชั่ว (เป็นพระอริยบุคคล)...”

                นอกจากนี้ในศุภวยูหราชปูรวโยคปริวรรต ได้ปรากฏชื่อ พระโพธิสัตว์ผู้มีพระนามว่า พระไภษัชยราช กับพระไภษัชยสมุทคตะ ซึ่งตามความหมายย่อมแสดงความสืบเนื่องกับพระนามไภษัชยคุรุ อย่างชัดเจน

                ในไภษาชยคุรุไวทูรประภะราชปูรวประณิธานสูตร กล่าวว่า พระองค์ได้ประทับอยู่ในพุทธเกษตร นามว่า ไวทูรยนิรภาสาโลกธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตุวันออกของโลก เป็นที่มีความสันติสุขน่ารื่นรมย์ และเนื่องจากพระองค์ท่านทรงตั้งมหาปณิธาน 12 ประการข้อสำคัญคือขอให้สรรพสัตว์ในโลกธาตุของพระองค์ทุกรูปทุกนามจงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้นบุคคลใดก็ดี หากสักการะบูชาพระองค์ท่านโดยสม่ำเสมอจะมีอานิสงส์ให้เป็นผู้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยจักทุเลาลงหายจากโลก

                ดังปรากฏในมหาประณิธานอันสำคัญหนึ่งในสิบสองข้องของพระไภษัชยคุรไวทูรยประภาพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มีใจความว่า

“มหาประณิธานประการที่เจ็ดของพระองค์ คือ  กาลใดในอนาคต ข้าพเจ้าจะพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้บรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดทุกข์ทรมานด้วยโรคต่างๆ นานา ไม่มีผู้ปกป้องไร้ที่พึ่งขาดแคลนการช่วยเหลือรักษาและยา อนาถา ยากไร้ทุกข์ทรมาน หากว่าพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ยินชื่อของข้าพเจ้า ขอให้โรคทั้งปวงของพวกเขาทั้งหลายหมดสิ้นไป ขอให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นปราศจากโรคและอันตรายทั้งหลายตราบจนสิ้นสุดที่การตรัสรู้...”

                การสร้างรูปพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุส่วนมากจะทรงหม้อยาอคทะหรือพระเจดีย์ หรือทรงบาตรยาอคทะในพระหัตถ์ เรามักจะเห็นพระปฏิมาของพระองค์ท่านรวมอยู่กันพระอมิตาภะพุทธเจ้าและพระศากยมุนีรวามเป็นสามองค์ประดิษฐานภายในพระอุโบสก หรือนิยมสร้าพระปฏิมาของพระองค์ท่านประทับพร้อมด้วย พระสุริยไวโรจนโพธิสัตว์และพระจันทรไวโรจนโพธิสัตว์ มหาสาวกของพระองค์ แห่งไวทูรยนิรภาสาโลกธาตุพุทธเกษตร เรียกกันว่าพระไภษัชยคุรุตรีอารยะ ทั้งทรงมีมหายักษ์เสนาบดี 12 ตน ชื่อกุมภีระ(ปีกุน) วัชระ(ปีจอ) มิหิระ(ปีระกา) อัณฑิระ(ปีวอก) อนิละ(ปีมะแม) คัณฑิละ(ปีมะเมีย) อินทระ(ปีมะเส็ง) ปัชระ(ปีมะโรง) มโหรคะ(ปีเถาะ) กินนระ(ปีขาล) จตุระ(ปีฉลู) วิกราละ(ปีชวด) เสนาบดีทั้ง 12 นี้จะปกป้องคุ้มครองผู้ศรัทธาในพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และรักษาปีนักษัตรทั้ง12ปี

                สำหรับในดินแดนเอเชียอาคเนย์ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ทรงเป็นที่เคารพสักการะมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยอาณาจักขอม พุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนามหายานปัจจุบันได้พบจารึกมากกว่าสิบหลักทั้งในประไทย ลาวและกัมพูชา พระองค์โปรดให้มีการก่อสร้าง “อโรคยาศาลา” หรือสถานพยาบาลไว้กว่า 100 แห่งทั่วราชอาณาจักร ดังจารึกกล่าวว่า

“พระองค์ได้สร้างโรงพยาบาล และรูปพระไภษัชยไวทูรยประภาสุคต พร้อมด้วยรูปพระชิโนรสทั้งสอง (พระศรีสูรยไวโรจนจันทรโรจิและพระศรีจันทรโวโรจนโรหิณีศะ) โดยรอบ เพื่อความสงบแห่งโรคของประชาชนตลอดไป”

                พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า ยังเป็นที่สักการะและรู้จักกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทย แพร่หลายมาตั้แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในรูปลักษณะพระกริ่ง เพื่อคุ้มครองให้ผู้มีจิตศรัทธาได้สักการะบูชาขจัดโรคภัยทั้งปวง

                การปฏิบัติธรรมบูชาพระองค์ท่านก็คือการสวดพระนามของพระองค์อยู่เสมอ ย่อมได้รับอานิสงส์ดังปูรวประณิธานที่ปรากฏในพระสูตรนี้ และเมื่อเวลาถึงแก่กรรม พระองค์ท่านจะมารับวิญญาณไปอุบัติ ณ ดินแดนพุทธเกษตรของพระองค์ แล้วจะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

ความเป็นมาของพระสูตร

                พระสูตรนี้ มีชื่อในภาษาสันสกฤต ตามต้นฉบับคัมภีร์โบราณที่ค้นพบว่า ไภษัชยคุรุนาม มหายานสูตร ในคัมภ์ศึกษาสมุจจัย เรียกชื่อว่า ไภษัชยคุรไวทูรยปรภราชสูตร ส่วนชื่อที่ปรากฏในพระไตรปิฏกทิเบต เรียกชื่อว่าอารยภตวโตไภษชยคุรไวทูรยประภาสยปรณิธานวิเศษวิสตร นามมหายานสูตร

                การแปลพระสูตรเป็นภาษาจีน ตามที่ปรากฏหลักฐานบันทึกไว้ระบูว่า มีการแปลอยู่ 5 ฉบับ ดังนี้

1 ฉบับแรก เป็นบทที่ 12 ในพระสูตรชือ อภิเษกสูตร ใช้ชื่อว่า  灌頂拔除過罪生死得度經 กวง.เตง.ปอ.ชี.กัว.จุย.เซง.ซือ.เตก.ตู.เกง. แปลโดยพระศรีมิตร 帛尸梨蜜多羅 แปะซือ.ลี.มิก.ตอ.ลอ. ในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก แต่ยังมีข้อสงสัยในผู้ศึกษาว่า ฉบับนี้จะเป็นผลงานของท่านศรีมิตรจริงหรือไม่ เพราะในที่แห่งอื่นได้ระบุว่า อภิเษกสูตรมีเพียง 9 บทเท่านั้น แต่บันทึกที่ปรากฏอยู่ในบัญชีคัมภีร์พระพุทธศาสนารัชศกไคหยวน ได้ระบุว่าเป็นพระสูตรเรื่องที่(หรือบทที่)12 ดังนั้นอาจกล่าวได้เพียงว่า พระสูตรนี้ถูกจัดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอภิเษกสูตร ก่อนสมัยไคหยวนในราชวงศ์ถังอย่างแน่นอน

2 ฉบับที่สองใช้ชื่อว่า 藥師琉璃光經 หยก.ซือ.ลิว.ลี.กวง.เกง.หรืออีกชื่อหนึ่ง 灌頂拔除過罪生死得度經 กวง.เตง.ปอ.ชี.กัว.จุย.เซง.ซือ.เตก.ตู.เกง.แปลโดยฮุ่ยเจี่ยน 釋慧簡เสกฮุ่ยกั้ง ในรัชกาลจักรพรรดิเซี่ยวอู่ตี้ ราชวงศ์ซ่ง ปีแรกของรัชศกต้าหมิง ราวปีพ.ศ.1000 ฉบับนี้ในหมู่ผู้ศึกษามีความเห็นกันว่าเป็นการคัดจากอภิเษกสูตร

3 ฉบับที่สามใช้ชื่อว่า 藥師如來本願經 หยก.ซือ.ยี่.ไล.ปุน.ยง.เกง.แปลโดยท่านธรรมคุปต์ชาวอุทยาน อินเดียหนือ และคณะ เมื่อปีรัชศกต้าเยี่ย ปีที่11 รชกาลจักรพรรดิหยางตี้ ราชวงศ์สุย ราว พ.ศ.1158

4 ฉบับที่สี่ ใช้ชื่อว่า 藥師琉璃光如來本願功德經หยก.ซือ.ลิว.ลี.กวง.ยี.ไล.ปุน.ยง.กง.เตก.เกง. เทียบชื่อสันสกฤตว่า ไภษัชยคุรุไวทูรยปรภาสปูรวปรณิธานสูตร แปลโดยพระเฮี่ยงจัง ในปีแรกของรัชศกย่ฮุย รัชกาลจักรพรรดิเกาจง ราชวงศ์ถัง ราวปี พ.ศ.1193

5 ฉบับที่ห้า ใช้ชื่อว่า 藥師琉璃光七佛本願功德經 หยก.ซือ.ลิว.ลี.กวง.ชี.ฟู.ปุน.ยง.กง.เตก.เกง. เทียบชื่อสันสกฤตเป็นสปตตถาคตปูรวปรณิธานวิเศษสูตร แปลโดยพระอี้จิง ในปีที่ 3 ของรัชศกเสินหลง รัชกาลจักรพรรดิจงจง ราชวงศ์ถัง ราวปี พ.ศ.1250

                ในฉบับแปลทั้งหมดนี้ สี่ฉบับแรกมีเนื้อหาสอดคล้องต้องกัน ส่วนฉบับของพระอี้จิง มีเนื้อหาต่างจากฉบับอื่น คือการกลาวถึงการตั้งปณิธานของอดีตพระพุทธเจ้าเจ็ดพระองค์ และมีธารณี ประกอบด้วย หลังยุคราชวงศ์ถัง การพิมพ์ไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะสูตร นิยมใช้ฉบับของพระเฮี่ยงจังเป็นหลัก แต่มีการคัดธารณีจากฉบับของพระอี้จิง แทรกเข้าอยู่ในเนื้องเรื่องด้วย

                ในปี พ.ศ. 2474 ได้มีการค้นพบต้นฉบับคัมภีร์ทาง่พระพุทธศาสนาในสถูปใกล้เมืองกิลกิต ประเทศปากีสถาน คัมภีร์เหล่านี้มีอายุถึงราวพุทธศตวรรษที่ 11 หนึ่งในคัมภีร์ที่พบก็คือ ไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะสูตร Nalinksha Dutt ได้ตรวจชำระฉบับสันสกฤตที่ค้นพบนี้ แล้วจัดพิมพ์รวมกับพระสูตรอื่นๆในหนังสือGilgit Manuscripts Vol 1 ใน พ.ศ. 2482

                ต่อมา Dr.P.L.Vaidya ได้นำมารวมจัดพิมพ์ในหนังสือ มหายานสูตรสำครหะ ปรถมะ ขณทะ โดยสถาบันมิถิลา เมืองทรภังคะ แคว้นพิหาร ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.2504

                ดังนั้น ในการแปล ไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะสูตร ครั้งนี้ จึงได้ปริวรรตจากต้นฉบับอัษรเทวนาครีที่ Dr.P.L.Vaidya ตรวจชำและจัดพิมพ์และได้นำฉบับแปลภาษาจีนของพระเฮี่ยจังมารวมไว้ด้วย เพื่อรักษาต้นฉบับพระธรรมคัมภีร์ฝ่ายมหายานให้สืบทอดต่อไปยังอนุชนรุ่นหลังมิให้สูญหายหวังว่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ได้ศึกษา จักได้เพิ่มพูนความเข้าใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามหายานให้ยื่งขึ้นไป อันจะนำมาซึ่งความพ้นทุกข์ในที่สุด

คณะกรรมการโครงการตำราและวิชาการมหายาน

คำนำ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถิตย์ ไชยปัญญา ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพมหานคร

ความเชื่อเกี่ยกับพระกริ่งสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในบุคคลผู้ศรัทธาให้หายได้นั้น เผยแพร่อยู่ในสังคมไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานและในปัจจุบันก็ได้มีการสร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปลักษณ์พระกริ่งออกมาให้สักการะบูชาอยู่มากมาย ในกลุ่มชนผู้ที่เคารพบูชาพระกริ่งต่างก็ทราบกันตามประวัติว่า พระกริ่งก็คือพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ซึ่งเป็นความเชื่อของพระพุทธศาสนา ฝายนิกายมหายาน แต่น้อยคนนักที่จะทราบถึงประณิธานของพระองค์ท่านว่าเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บอย่างไร ประณิธานที่พิเศษและยิ่งใหญทั้งหลายของพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะดังกล่าวนั้นปรากฏอยู่ใน “ไภษัชฺยคุรุไวทูรฺยปฺรภราชสูตรมฺ”

                พระสูตรไภษัชยไวทูรยประภะราชะแม้ว่าเป็นพระสูตรที่มีขนาดไม่ยาวมากนักแต่ก็เป็นพระสูตรที่สำคัญพระสูตรหนึ่งของพระพุทธศาสนาฝ่ายนิกายมหายาน พระสูตรนี้ได้บรรยายถึงปูรวปณิธานที่พิเศษและยิ่งใหญ่ของพระไภษัชยไวทูรยประภะจำนวนสิบสองข้อ แสดงถึงประณิธานในการช่วยเหลือมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์ยากลำบาก และภัยร้ายต่างๆนานัปการ

                ในครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับพระสูตรไภษัชยไวทูรยประภะราชะ ฉบับภาษาสันสกฤตจากอาจารย์เศรษฐพงษ์ จงสงวน และได้ถอดความเป็นภาษาไทย โดยคิดว่าเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาพระสูตรของพระพุทธศาสนา ฝ่ายนิกายมหายานข้าพเจ้าขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทางคณะสงฆ์จีนนิกายและชมรมมหายานได้รับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์เผยแพร่พระสูตรนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าปูรวปณิธานอันประเสริฐยิ่งของพระไภษัชยคุรไวทูรยประภะจะเผยแผ่ออกไปกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และพระสูตรที่ได้ถอดความเป็นภาษาไทยฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์บ้าง ตามสมควรสำหรับบุคคลที่สนใจศึกษาพระสูตรและหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ฝ่ายนิกายมหายาน

ไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะสูตร ภาษาไทย

ไภษัชฺยคุรุไวทูรฺยปฺรภราชสูตฺรมฺ

โอม ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรไวทูรยประภะราชะ ผู้เป็นพระตถาคต

ข้าพเจ้าได้ยินมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไปโดยลำดับในชนบทจนถึงมหานครไวศาลี พระผู้มีพระภาคได้ประทับอยู่ในนครไวศาลีนั้น และทรงแสดงพระธรรมเทศนา ณ บริเวณใต้ต้นไม้ที่ส่งเสียงดนตรี ท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหย๋แปดพันรูป พระโพธิสัตว์สามหมี่หกพันองค์ พร้อมด้วยพระราช อำมาตย์ พราหมณ์ คฤหัสถ์ และกลุ่มของเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ(งูใหญ่) มนุษย์ อมนุษย์ กาลครั้งนั้นพระธรรมราชบุตรมัญชุศรีได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่าด้านหนึ่งแล้วคุกเข่าขวาลงบนพื้นดิน ประนมมือแล้วกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงพระนามของพระตถาคตทั้งหลาย และการสาธยายปูรวปณิธาน(คำอธิษฐาน) ที่ยิ่งใหญ่ของพระตถาคตทั้งหลายเหล่านั้น หลังจากได้สดับแล้ว ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายขจัดอุปสรรคกีดขวางคือกรรมทั้งปวง ในกาลสมัยอดีต เพื่อจุดประสงค์แห่งการอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งหลายในเวลาปัจจุบันที่เป็นยุคสัทธรรมปฏิรูป

                ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสาธุการพระมัญชุศรี ผู้เป็นกุมารอยู่เสมอว่า ดีแล้ว ดีแล้ว มัญชุศรี มัญชุศรีผู้มีมหากรุณา ท่านยังความกรุณาอันประมาณมิได้ให้เกิดขึ้นแล้วได้ อาราธนาตถาคตแสดงธรรมเพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลายที่มีอุปสรรคคือกรรมต่างๆ นานาแวดล้อมอยู่ และเพื่อประโยชน์สุขของเทวดาทั้งหลาย ดังนั้น มัญชุศรี ท่านจงฟัง จงตั้งใจไว้อย่างดี และเหมาะสม ตถาคตจะกล่าว พระมัญชุศรี ผู้เป็นกุมารอยู่เสมอ กราบทูลตอบ พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอจงเป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระมัญชุศรีว่า ดูก่อน มัญชุศรี จากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกผ่านพุทธเกษตรจำนวนมากดุดังเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้งสิบสาย มีโลกธาตุชื่อว่าไวทูรยนิรภาสา ณ ที่นั่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระไภษัชยคุรุไวทูรยนิรภาสา ณ ที่นั่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์  ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยม ผู้เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ประทับอยู่ นอกเหนือไปจากนี้ มัญชุศรี มหาประณิธานทั้งสิบสองเหล่านี้ของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น ผู้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางแห่งพระโพธิสัตว์แต่ก่อนได้ปรากฏขึ้น มหาปณิธานทั้งสิบสองคืออะบ้าง

                มหาประณิธานประการแรกของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าจะพึงบรรลุอนุตตรสัมมารสัมโพธิในกาลนั้นขอให้โลกธาตุทั้งหลายที่ไร้ขอบเขตนับไม่ได้ และประมาณไม่ได้ สว่างไสวเปล่งประกาสดใสด้วยแสงแห่งกายของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะทั้งสามสิบสองประการร่างกายประดับด้วยอนุพยัญชนะ (ลักษณะมหาบุรุษลักษณธที่รองลงมาแปดสิบประการฉันใด ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นฉันนั้น

                มหาประณิธานประการที่สองของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคต ข้าพเจ้าจะพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกายนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว ขอให้ร่างกายประกอบด้วยแสงสว่างอันผ่องใสบริสุทธิ์ยิ่งทั้งด้านในและด้านนอกดุจดังแก้วไพฑูรย์ที่หาค่ามิได้ ในเวลานั้นขอให้กายที่ใหญ่โดนั้นประกอบด้วยศรีและเดชที่สูงสุด ขอให้กลุ่มรัศมีแห่งกายนั้นเหนือกว่ารัศมีแห่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดและแม้แต่มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกธาตุ เดินทางไปสู่สารทิศต่างๆในเวลากลางคืนที่มืดมน เมื่อสัมผัสกับรัศมีของข้าพเจ้าในทั่วทุกศิศทางแล้ว ขอให้กระทำกุศลกรรมทั้งหลาย

                มหาประณิธานประการที่สามของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าจะพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกาลนั้นเมือข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ดำรงชีพอยู่ด้วยการใช้กำลัง อุบาย และปัญญาที่ไม่มีขีดจำกัด เพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีอย่างไม่สิ้นสุดแห่งโลกอขงสัตว์ที่ประมาณไม่ได้ ขอให้ความขาดแคลนใดๆก็ตามของสัตว์ทั้งหลานไม่มี

                มหาประณิธานประการที่สีของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดประพฤติปฏิบัติตามหนทางชั่ว ประพฤติปฏิบัตตามหนทางแห่งพระสาวก และประพฤติปฏิบัตตามหนทางแห่งพระปัจเจกพุทธะ ขอให้สัจว์ทั้งหลายเหล่านั้นตั้งอยู่ในมหายานหนทางแห่งการตรัสรู้สูงสุด

                มหาประณิธานประการที่ห้าของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนาของข้าพเจ้า ขอให้ศีลที่ไร้ขอบเขตจงล้อมรอบสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น และสัตว์ใดถูกกระทำให้ศีลเสียหายไป เมื่อได้ยินชื่อของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้อย่าดำเนินไปในหนทางชั่วร้ายใดๆเลย

                มหาประณิธานประการที่หกของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดมีร่างกายบกพร่องอินทรีย์พิการ ต่ำต้อย หูหนวก เป็นใบ้ อ่อนปวกเปียก หลังค่อม โรคเรื้อน ปัญญาทึบ ตาบอดควบคุมสิติไม่ได้ และสัตว์อื่นทั้งหลายเหล่าใดที่มีโรคทั้งหลายอยู่ในร่างกายหลังจากได้ยินชื่อของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจงเป็นผู้มีร่างกายครบสมบูรณ์มีอินทรีย์ทั้งปวงครบบริบูรณ์

                มหาประณิธานประการที่เจ็ดของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดที่ทนทุกข์ทรมานด้วยโรคต่างๆนานา ไม่มีผู้ปกป้องไร้ที่พึ่ง ขาดแคลนการช่วยเหลือและยารักษา อนาถา ยากไร้ ทุกข์ทรมาน หากว่าพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ยินชื่อของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้โรคทั้งปวงของพวกเขาทั้งหลายหมดสิ้นไป ขอให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นปราศจากโรคและอันตรายทั้งหลายตราบจนสิ้นสุดที่การตรัสรู้

                มหาประณิธานประการที่แปดของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในกาลนั้นหญิงใดๆก็ตามผู้ปรารถนาละทิ้งกายที่เป็นหญิงที่ถูกบีบคั้นด้วยโทษทั้งหลายต่างๆนานานับร้อยของผู้หญิง และที่เกลียดชังสภาวะของความเป็นหญิง ขอให้ยึดถือชื่อของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้สตรีภาวะของหญิงนั้นไม่มีอยู่ตราบจนสิ้นสุดที่การตรัสรู้

                มหาประณิธานประการที่เก้าของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว หลังจากข้าพเจ้ายังให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ได้รับความลำบากจากการยึดถือความเห็นผิด ที่ถุกมัดด้วยเครื่องผูกมัดคือบ่วงแห่งมาร กลับจากหนทางแห่งมิจฉาทิฏฐิคือบ่วงแห่งมารทั้งปวง ยังให้เข้าสู่สัมมาทิฏฐิแล้ว จะพึงแสดงการประพฤติปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ตามลำดับ

                มหาประณิธานประการที่สิบของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่หวาดกลัวภัยจากพระราชา หรือถูกจับมัดด้วยเชือกถูกลงโทษประหารชีวิต่ถูกกลั่นแกล้งด้วยเล่ห์กลอุบายทั้งหลายต่างๆนานาไม่ได้รัรบการเคารพยกย่อง ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงด้วยทุกข์ทรมานที่เกี่ยวพันกับร่างกาย วาจา และจิตใจ ขอให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลุดพ้นจากความหายนะและภัยทั้งหลายทั้งปวงด้วยการได้ยินชื่อขอข้าพเจ้าและด้วยอานุภาพแห่งบุญของข้าพเจ้า

                มหาประณิธานประการที่สิบเอ็ดของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดที่ถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งความกระหายหิว ที่มีจิตจดจ่ออยู่ในการแสวงหาอาหารและน้ำ ต้องทำบาปเนื่องจากสาเหตุนั้น หากว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นยึดถือชื่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพึงทำให้ร่างกายของพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นสดชื่นด้วยอาหารที่มีสี กลิ่นและรส

                มหาประณิธานประการที่สิบสองของพระองค์ คือ กาลใดในอนาคตข้าพเจ้าพึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ในกาลนั้นเมื่อข้าพเจ้าบรรลุโพธิญาณแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่ละทิ้งบ้านเรือน ยากจนถูกรบกวนด้วยยุงกัดความหนาวเย็นและความร้อน ประสบกับความทุกข์ทรมานทุกวันคืน หากว่าพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นยึดถือชื่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพึงรวบรวมเก็บคนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ของพวกเขาทั้งหลาย และเสนอวัตถุอันพึงปรารถนาที่ดึงดูดใจด้วยสีสันหลากหลาย และข้าพเจ้าจะพึงทำให้ความปรารถนาทั้งปวงสัตว์ทั้งหลานสมปรารถนา ด้วยเรื่องประดับแก้วมณมาลัยดอกไม้หอม เครื่องทาตัวที่มีกลิ่นหอม ดนตรีดุริยางค์ นางระบำ ที่หลากหลาย

                ดูก่อน มัญชุศรี พระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม หนทางแห่งความรู้ก่อนหน้านี้ ได้ทรงกระทำมหาประณิธานทั้งสิบสองประการเหล่านี้

                ยิ่งไปกว่านั้น มัญชุศรี กัลป์หรือเศษเล็กเศษน้อยของกัลป์ไม่สามารถนำมาใช้คาดคำนวณประณิธาน และการปรากฏคุณอันประเสริฐแห่งพุทธเกษตรของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะผู้เป็นพระตถาคตได้ พุทธเกษตรนั้นบริสุทธิ์ยิ่ง ไม่มีผู้หญิง ไม่มีเสียงแห่งความทุกข์และภัยพิบัติ ไม่มีโทษของกาม ไม่มีก้อนกรวดและก้อนหิน ที่พื้นดินเต็มไปด้วยแก้วไพฑูรย์ กำแพงป้อมปราการ ปราสาท โค้งซุ้มประตู ช่องลมล้วนทำด้วยแก้วมณีทั้งเจดดุจดังโลกธาตุสุขาวดี ณ ที่นั้นในโลกธาตุไวทูรยนิรภาสา มีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์สองพระองค์ทรงเป็นประมุขของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายนับจำนวนไม่ถ้วน ประมาณมิได้นั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สูรยไวโรจนะและพระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์ที่สองทรงพระนามว่าจันทรไวโรจนะ พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ยึดถือสัทธรรมโกศ(แหล่งรวมสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น มัญชุศรี ดังนั้น ในกาลนั้นประณิธานที่ควรได้รับการปฏิบัติ จึงได้บังเกิดขึ้นในพุทธเกษตรนั้นพร้อมด้วยกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา

                พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระมัญชุสรี ผู้เป็นกุมารอยู่เสมอเพิ่มเติมอีกครั้งว่า มัญชุศรี ชนทั้งหลายทั่วไป สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดที่ดำรงอยู่ ไม่ทราบกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ถูกความโลภครอบงำผู้ไม่รู้จักการให้ทานและผลที่ยิ่งใหญ่ของการให้ทาน เป็นผู้โง่เขลายิ่งเหมือนเด็ก ผู้ขาดส่วนของศรัทธา ผู้วุ่นวายทุกขณะในการรวบรวมเงินทองและจิตของพวกเขาทั้งหลายไม่ดำเนินไปในส่วนของการให้ทาน หรือเมื่อถึงเวลาแห่งการให้ทานก็เปรียบเสมือนตัดเอาเนื้อไปจากร่างกายของเขา จิตย่อมทุกข์และสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากมายเหล่อใดไม่บริโภคแม้เพื่อตนเอง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะให้แก่มารดาบิดา ภรรยาและบุตรสาวทั้งหลาย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะให้แก่ทาสชายหญิงและผู้รับใช้ทั้งหลาย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะให้แก่ผู้ยากไร้ คนอื่นทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเช่นนี้หลังจากละทิ้งโลกนี้ไปแล้ว จะเกิดในเปรตโลกหรือในท้องของสัตว์ดิรัจฉาน หากว่าก่อนหน้านี้คราที่ยังเป็นมนุษย์ทั้งหลายเหล่าใดได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชนคุรุไวทูรย์ประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น ณ ที่นั่นพระนามของพระตถาคตพระองค์นั้น จะบังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่ในยมโลกหรือในท้องของสัตว์หลังจากละทิ้งสถานที่นั้นไปแล้วพร้อมด้วยการระลึกถึงเท่านั้น สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดในมนุษย์โลกอีกครั้ง และจะระลึกชาติได้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นผู้หวาดกลัวภัยแห่งหนทางชั่วร้าย จะไม่เป็นผู้ปรารถนากามคุณทั้งหลายอีก และจะเป็นผู้พึงพอใจในการให้ทาน และจะเป็นผู้กล่าวยกย่องสรรเสริญการให้ทาน พวกเขาทั้งหลายจะสละมือ เท้า ศีรษะ ดวงตา เลือดและเนื้อแก่ผู้ขอทั้งหลายโดยการสละสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างตามลำดับไม่ต้องกล่าวถึงทรัพย์ สมบัติอื่นๆจำนวนมาก

นอกเหนือไปจากนี้ มัญชุศรี สัตว์ทั้ง่หลายเหล่าใดมีชีวิตอยู่ ได้ยึดถือศีลที่พระตถาคตทรงแสดง หากสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นตกอยู่ในปัญหาความวิบัติแห่งศีล หรือตกอยู่ในปัญหาความวิบัติแห่งการประพฤติปฏิบัติ หรือความวิบัติแห่งทิฏฐิใดๆก็ตาม สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดผู้สูญสิ้นศีล ย่อมกลายเป็นผู้มีศีลปกป้องรักษาคศีลอีกครั้ง จะไม่เที่ยวแสวงหาพหูสูตที่อยู่ในแนวทางตรงข้ามอีกเลย และย่อมไม่ก่อให้เกิดความหมายที่ยากจะเข้าใจได้แห่งคำสอนของพระตถาคต และสัตว์ทั้งหลายเหล่าใดเป็นพหูสูตที่อยู่ในแนวทางตรงข้าม ทั้งหลาย พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้เย่อหยิ่ง ผู้ยึดมั่นในความเห็น เป็นผู้มีความริษยาบุคคลอื่นทั้งหลาย ย่อมเป็นปฏิปักษ์และปฏิเสธพระสัทธรรมบุรุษทั้งหลายเหล่านั้นผู้ลุ่มหลงเช่นนี้ เป็นผหู้อยู่ฝ่ายมารร้าย เป็นผู้เขาไปสู่หนทางชั่วร้ายด้วยตนเองแล้ว และพวกเขายังให้สัตว์อื่นต่างๆจำนวนมากมายนับล้านจนประมาณมิได้ตกลงไปสู่บ่อแห่งอันตรายยิ่งใหญ่ด้วย หนทางแห่งการอาศัยอยู่ในนรกของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นที่มีรูปเช่นนั้นย่อมมีโดยมาก ณ ที่นั่นสัตว์ทั้งหลายเหล่ใดหากได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น พระนามของพระตถาคตพระองค์นั้นจะปรากฏอยู่เบื้องหน้าของสัตว์ทั้งหลายผู้อยู่ในนรกนั่นด้วยพุทธานุภาพ เมื่อละจากที่นั่นแล้วพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้ง พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความคิดเห็นที่ถูกต้อง เป็นผู้มีความกล้าหาญ ผู้มีที่อยู่อาศัยประเสริฐ พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อละทิ้งบ้านเรือนแล้วออกบวชในศาสนาของพระตถาคต ย่อมกลายเป็นผู้ที่สมบูรณ์ไปด้วยการประพฤติปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ตามลำดับ

ยิ่งกว่านั้น มัญชุศรี สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด เมื่อมีชีวิตอยู่ได้อิจฉาริษยากล่าวสรรเสริญตนเอง กล่าวนินทาว่าร้ายบุคคลอื่น สัตว์ทั้งหลายผู้ได้รับ การเคารพยกย่องจากบุคคลอื่น ผู้ยกตนเองขึ้นและดูถูกเหยียดหยามบุคคลอื่นจะต้องประสบกับความทุกข์ทรมานในอบายทั้งสามเป็นเวลามากมายหลายพันปี พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมานเป็นเวลามากมายหลายพัน เมื่อละทิ้งที่นั่นแล้วย่อมไปเกิดในท้องของสัตว์คือ วัว ม้า อูฐ ลา เป็นต้น พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นต้องแบกสัมภาระอันหนักหน่วง มีร่างกายถูกทรมานด้วยความหิวและความกระหายถูกทุบตีโดยการเฆี่ยนด้วยไม้และเชือกบังเหียนให้เดินไปในท้องถนน แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้รับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะไปเกิในตระกูลที่ต้อยต่ำตลอดกาล และไปสู่ใต้การปกครองของผู้อื่นภายใต้ความเป็นทาส หากว่าก่อนหน้านี้เมื่อคราที่เป็นมนุษย์ทั้งหลายเหล่าใดได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายด้วยกุศลมูลนั้น พวกเขาทั้งหลายจะเป็นผู้มีความฉลาดเฉียบแหลมและจะเป็นบัณฑิตและผู้คงแก่เรียน พวกเขาจะพบกับกัลยาณมิตรเสมอและหลังทำลายบ่วงมารแล้ว ย่อมขจัดแหล่งรวมอวิชา ยังให้แม่น้ำแห่งกิเลสเหือดแก้งไป หลุดพ้นจากความกระวนกระวายใจแห่งความทุกข์โศก โทมนัส ปริเวทนา เศร้าโศกในภัยของการเกิด แก่ เจ็บป่วย และตาย

ยิ่งไปกว่านั้น มัญชุศรี สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด เมื่อมีชีวิตอยู่ใต้กระทำความชั่วร้าย ยังสัตว์ทั้งหลายให้ทะเลาะวิวาทกัน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นผู้คิดแต่การต่อสู้กัน ผู้สร้างอกุศลกรรมด้วยวิธีการต่างๆนานา ด้วยกาย วาจา ใจ ผู้ปรารถนาทำร้ายซึ่งกันและกัน ย่อมมุ่งไปเพื่อความเปล่าประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเสมอ และพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นร้องอัญเชิญเทวดาประจำป่า เทวดาประจำต้นไม้ และเทวดาประจำภูเขา พวกเขาเหล่านั้นได้แยกออกไปตามลำพังแล้วร้องอัญเชิญภูตผีปีศาจในป่าช้า และพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้คร่าเอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายไป พวกเขาบูชายักษ์และรากษสทั้งหลาย ผู้มีภักษาหารคือเนื้อและเลือด หลังจากได้ทำชื่อหรือหุ่นร่างกายของศัตรูของเขาแล้ว พวกเขาทั้งหลายผู้ปรารถนากระทำความพินาศให้แก่ร่างกายหรือกระทำอันตรายให้ถึงแก่ชีวิตด้วยการใช้กาโขรท(วิญญาณร้ายที่คู่กับเวตาล)และเวตาล สาธยายเวทมนต์อันน่าหวาดกลัวที่นั่น หากบุคคลทั้งหลายเหล่าใดได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นแล้วอะไรก็ตามจะไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ พวกเขาทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่เป็นผู้มีจิตเมตตากรุณา และไม่มีจิตมุ่งร้ายซึ่งกันและกัน เป็นผู้ปีติยินดีด้วยทรัพย์สมบัติและญาติพี่น้องมิตรสหาย

ยิ่งไปกว่านั้น มัญชุศรี หากบริษัททั้งสี่เหล่า คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาและกุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งหลายมีศรัทธาอื่นๆเหล่าใด ผู้ประกอบด้วยศีลอุโบสถอันประเสริฐทั้งแปดเข้าถือศีลหนึ่งปีหรือสามเดือน การตั้งประณิธานของพวกเขาทั้งหลายเหล่าใดเป็นเช่นนี้ว่า ขอพวกข้าพเจ้าไปเกิดในโลกธาตุสุขาวดีทางทิศตะวันตกด้วยกุศลมูลนี้เถิด พระอมิตายุสตถาคตประทับอยู่ที่นั่น บุคคลทั้งหลายเหล่าใดเมื่อได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ทั้งแปดผู้มาถึงด้วยฤทธิ์อำนาจย่อมปรากฏในช่วงเวลามรณะกาลของพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ภายใต้สภาวะนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมปรากฏให้เห็นในดอกบัวหลากหลายสี บางคนไปเกิดในเทวโลกอีกครั้ง ถ้าในเวลานั้นกุศลมูลก่อนหน้านี้ของพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นที่มีอยู่ยังไม่หมดสิ้น และไม่เป็นไปในหนทางที่ชั่วพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อละทิ้งที่นั่นแล้ว จะเกิดในมนุษย์โลกนี้อีกครั้งพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะได้เป็นพระราชา ผู้เป็นจอมจักรพรรดิของทั้งสี่ทวีปยังสัตว์ต่างๆทั้งหลายจำนวนมากมายหลายโกฏิให้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลกรรมบถสิบในอนาคตกาลพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของพราหมณ์ และตระกูที่มั่งคั่งรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สมบัติและคลังพืชพันธุ์ธัญญาหารจำนวนมากมายอีกครั้ง พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะถึงพร้อมด้วยรูป ความยิ่งใหญ่ และบริวาร และหญิงใดเมื่อได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นและยึดมั่นไว้ สตรีภาวะของหญิงนั้นพึงคาดหวังได้ว่าเป็นภาวะสุดท้าย(หญิงนั้นจะไม่ได้สภาวะที่เป็นหญิงอีก)

                ครั้งนั้น พระมัญชุศรี ผู้เป็นกุมารอยู่เสมอ ได้ทูลต่อพระผู้มีพระภาค ดังนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพเจ้าจะให้ได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นและชื่อของกุลบุตรและกุลธิดาผู้มีศรัทธาทั้งหลายเหล่านั้นในกาลสมัยอดีต ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระพุทธเจ้าลงไปในช่องหูแม้ในขณะนอนหลังฝันมากเท่าที่จะเป็นไปได้ คนทั้งหลายเหล่าใดจะยึดถือท่องบ่น สั่งสอน ศึกษา แสดงด้วยการเผยแผ่แก่บุคคคอื่นโดยพิสดาร เขียนยังให้คัดลอกหรือหลังจากสร้างเป็นหนังสือแล้วกระทำการเคารพบูชาพระสูตรรัตนะนี้ด้วยฉัตร ธงชัย ธงปฏาก เครื่องหอม แผ่นผ้าดอกไม้ ธูป มาลัยหอมนานา หลังจากที่ห่อหุ้มพระสูตรนั้นด้วยผ้าท่ามีสี่สันห้าสีแล้ว ควรเก็บไว้ในพื้นที่สะอาดบริสุทธิ์ พระสูตรนี้เก็บไว้ ณ สถานที่ใดท้าวมหาราชทั้งสีพร้อมด้วยบริวารทั้งหลายและเทพยดาอื่นๆทั้งหลายจำนวนมากมายหลายโกฏิจะไปสู่สถานที่นั้น ดังนั้นพระสูตรนี้จะเผยแผ่ออกไป และข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะประกาศซึ่งพระสูตรรัตนะนี้ พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะยึดถือส่วนแห่งปูรวปณิธานที่วิเศษและยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรไวทูไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นและพระนามของพระตถาคตพระองค์นั้นพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่ตายก่อนเวลาอันควร บุคคลใดก็ตามไม่สามารถแย่งเอาพลังชีวิตของพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นไปได้ หรือพลังชีวิตที่ถูกเอาไปย่อมกลับคืนมาอีกครั้ง

                พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า มัญชุศรี ท่านกล่าวเช่นใด เป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนั้น และมัญชุศรี กุลบุตรหรือกุลธิดาใด ผู้มีศรัทธาหรือผู้ปรารถนาทำการบูชาพระตถาคตพระองค์นั้น บุคคลนั้นได้ยังให้สร้างรูปปฏิมาของพระตถาคตพระองค์นั้นแล้ว บุคคลนั้นผู้ใส่ใจพิจารณาอริยมรรคทั้งแปดประการ ควรถือศีลทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน หลังจากรับประทานอาหารที่บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์ การถือศีลพึงเป็นไปในพื้นที่บริสุทธิ์ (หลังจากเกลี่ยแผ่มวลดอกไม้ บนบริเวณพื้นดินนั้นจุดธูปหอมนานา ประดับตกแต่ด้วยผ้า ฉัตร ธวัช ธงต่างๆ) ด้วยส่วนของร่างกายอันชำระล้างแล้ว ด้วยการสวมใส่เครื่องนุ่งห่มสะอาดบริสุทธิ์ ด้วยจิตไม่หมองมัว ด้วยจิตไม่แปดเปื้อน ด้วยจิตไม่ผูกพยาบาท ด้วยจิตเมตตาในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง (ด้วยจิตเป็นกลาง) ด้วยจิตมีอุเบกขาในการอยู่ใกล้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง รูปปฏิมาของพระตถาคนนี้ควรได้รับการทำประทักษิณด้วยการประโคมดุริยางค์และสังคีต ปูรวปณิธานของพระตถาคตพระองค์นั้นควรได้รับการระลึกถึงพระสูตรนี้ควรได้รับการประพฤติปฏิบัติแล้วสิ่งใดที่คิด สิ่งใดที่ปรารถนา ความปรารถนาทั้งปวงย่อมได้รับการยังให้ประสบผล หากแม้ปรารถนาอายุยืนยาว ย่อมได้เป็นผู้มีอายุยืนยาว หากแม้ปรารถนาทรัพย์สมบัติ ย่อมเป็นผฆู้มีความอุดมสมบูรณ์ในทรัพย์สมบัติ หากแม้ปรารถนาอำนาจสูงสุด ก็ย่อมได้รับอำนาจสูงสุดด้วยความยากลำบากเพียงเล็กน้อย หากแม้ปรารถนาบุตร ย่อมได้รับบุตร ในกรณีที่บุคคลทั้งหลายเหล่าใดมองเห็นความฝันเลวร้าย มีอีกามาอาศัยอยู่ที่นี้ หรือนิมิตไม่ดี หรือที่นี่ความไม่เป็นมงคลนับร้อยตั้งอยู่ บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ควรบูชาพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ(เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น ภาวะทั้งหลายที่เป็นความฝันอันเป็นทุกข์ทั้งปวง นิมิตไม่ดี และความไม่เป็นมงคลทั้งปวงจะสงบลง หากว่าภัยอันตรายของบุคคลท้งหลายเหล่าใดเกิดขึ้น อาทิไฟ น้ำ ยาพิษ อาวุธ ความร้อน ช้างดุร้าย สิงโตเสือ หมี หมาป่า แมลง งูพิษ แมงป่องพิษ ตะขาบ ตัวเหลือบและริ้น  บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นพึงบูชาพระตถาคตพระองค์นั้นพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะหลุดพ้นจากภัยทั้งปวง ภัยจากโจร ภัยจากขโมยของบุคคลทั้งหลายเหล่าใดเกิดขึ้น บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นก็ควรบูชาพระตถาคตพระองค์นั้น

ยิ่งไปกว่านั้น มัญชุศรี กุลบุตรหรือกุลธิดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลายเหล่าใดยึดถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต และไม่มีเทพยดาอื่นทั้งหลาย บุคคลทั้งหลายเหล่าใดยึดถือศีลห้า และบุคคลทั้งหลายเหล่าใดยึดถือโพธิสัตว์สังวรสิขาพบสี่ร้อยข้ออันประเสริฐ ในอีทางหนึ่งภิกษุทั้งหลายเหล่าใดเป็นผู้ก้าวออกมาจากการครองเรือนยึดถือสิขาบทสองร้อยห้าสิบข้อ หรือภิกษุณีทั้งหลายยึดถือสิกขาบทห้าร้อยข้อ และบุคคลทั้งหลายเหล่าใดทางหนึ่ง แม้ว่าหวาดกลัวหนทางชั่วร้าย ขอให้ยึดถือพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นไม่ควรคาดหวังความทุกข์ในการไปสู่อบายทั้งสามอีก และหญิงใดรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แรงกล้าทุกข์ทรมานรุนแรง เสีดแทงในเวลาตั้งครรภ์ ขอให้ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะผู้เป็นตถาคตพระองค์นั้น และขอให้ทำการบูชา หญิงนั้นย่อมคลอดบุตรออกมาอย่างง่ายดาย ส่วนประกอบของร่างกายทั้งปวงครบสมบูรณ์ บุตรนั้นจะเป็นผู้มีรูปงดงามน่ารักใคร่ ควรค่าแก่การมองดู มีอินทรีย์รับรู้ได้ดี มีปัญญาและปราศจากโรคภัย หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่เล็กน้อย และอมนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถแย่งเอาพลังชีวิตของเขาไปได้

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระอานนท์ผู้มีอายุว่า อานนท์เธอได้ศรัทธา เธอได้เชื่อแล้ว ที่ตถาคตได้พรรณนาคุณของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นหรือไม่? หรือเธอมีความไม่แน่ใจหรือความคิดเห็นหรือมีความลังเลสงสัยทั้งหลายในเรื่องพุทธโคจระ(แนวทางการประพฤติปฏิบัติของพระพุทธเจ้า)ที่ลึกซึ้ง? พระอานนท์ผู้มีอายุได้กราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า - ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ความไม่แน่ใจหรือความคิดเห็นหรือความสงสัยของข้าพระองค์ในพระสูตรนี้ที่พระตถาคตได้แสดงแล้วย่อมไม่มี นั่นเป็นเพราะเหตุใด เพราะการประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจที่ไม่บริสุทธิ์ของพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่มี ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระอาทิตย์และพระจันทร์ที่มีฤทธิ์และอานุภาพยิ่งใหญ่อาจจะตกลงมาบนพื้นดิน หรือภูเขาพระสุเมรุที่เป็นราชาแห่งภูขานั้นอาจเคลื่อนจากสถานที่ตั้ง แต่ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าจะไม่พึงเป็นไปอย่างอื่นข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่กระนั้นสัตว์ทั้งหลายที่ยังบกพร่องในพลังแห่งศรัทธา และเมื่อได้ฟังพุทธโคจระนี้แล้ว พวกเขาเหล่านั้นกล่าวว่าคุณประโยชน์มากมายจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรด้วยปริมาณการระลึกถึงพระนามของพระตถาคตพระองค์นั้น? พวกเขาเหล่านั้นไม่ศรัทธา ไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วยราตรีที่ยาวนานของพวกเขาเป็นไปเพื่อความเปล่าประโยชน์ ไม่เป็นปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เป็นไปเพื่อความตกต่ำ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า - อานนท์ เป็นไปไม่ได้ สัตว์ใดได้ยินพระนามของพระตถาคนพระองค์นั้นแล้ว สัตว์นั้นจะพึงเดินทางไปสู่อบายและหนทางชั่วร้าย สิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้และอานนท์ พุทธโคจระของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเชื่อได้ยาก อานนท์ ดังที่เธอมีศรัทธา เธอเชื่อ อานุภาพนี้ของพระตถาคตได้ปรากฏให้เห็นแล้ว นอกจากพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้เป็นเอกชาติประติพัทธะ(ผู้ผูกพันติดอยู่กับอีกชาติหนึ่ง)แล้ว ในเรื่องนี้ก็ไม่มีสิ่งที่เหมาะสมกับพระสาวกและพระปัจเจกพุทธทั้งหลายทั้งปวง อานนท์ การเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากจะได้รับ ความเคารพและศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นสิ่งยากจะได้รับ การได้สดับฟังพระนามของพระตถาคตก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะได้รับ อานนท์ การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ของพระผู้พระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นย่อมประมาณไม่ได้ แม้ความชำนาญในกุศโลบายก็ประมาณไม่ได้และปูรวปณิธานที่วิเศษและยิ่งใหญ่ของพระองค์นี้ก็ประมาณไม่ได้ แม้ตถาคตปรารถนาจะแสดงการอธิบายถึงปริมาณของการประพฤติปฏิบัติ ตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ของพระตถาคตพระองค์นั้นอยู่เป็นเวลากัลป์หรือเศษของกัลป์ก็ตาม อานนท์ กัลป์อาจมีอยู่เล็กน้อย แต่การสิ้นสุดของปูรวปณิธานที่วิเศษและยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะพระองค์นั้นเป็นสิ่งไม่สามารถไปถึงได้

กาลครั้งนั้น ระหว่างการประชุมมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระนามว่าตราณมุกตะ ผู้นั่งร่วมประชุมอยู่ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ห่มผ้าเสวียงบ่าด้านหนึ่งแล้วคุกเข่าขวาลงบนพื้นดิน ประนมมือแล้วทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ สมัยอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายผู้ทุกข์ทรมานจากเจ็บป่วยที่ยาวนาน (ส่วนทั้งหลายของร่างกายอ่อนแอ) ผู้เจ็บปวดทรมานจากโรคนานา ปากคอแห้งผากจากความหิวกระหาย เผชิญหน้ากับความตาย ผู้รายล้อมด้วยมารดา บิดา ลูกหลาน ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ที่กำลังร้องไห้อยู่ ผู้มองเห็นทิศทางมืดมนอันธการ และเป็นผู้ที่กำลังถูกดึงไปโดยผู้รับใช้ทั้งหลายของพระยม ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง วิญญาณได้ถูกนำไปอยู่เบื้องหน้าพระธรรมราชาผู้เป็นพระยม และสิ่งผูกพันใดๆก็ตามที่เกิดพร้อมกันสัตว์นั้นหรือบุรุษนั้นได้กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม สิ่งทั้งปวงที่ถูกบันทึกไว้แล้วนั้นได้ถูกนำมาแสดงแก่พระธรรมราช ผู้เป็นยมราช ในกาลนั้น พระธรรมราชผู้เป็นยมราช ได้ตรัสถามเขาและพิจารณากุศลกรรมหรืออกุศลกรรมของเขาผู้นี้ที่ได้ถูกกระทำขึ้นแล้วฉันใด ก็สั่งลงอาญาฉันนั้น ในเวลานั้นขอให้มารดา บิดา ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ทั้งหลายผู้ใดก็ตามพึงถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นเป็นสรณะ และบูชาพระตถาคตพระองค์นั้น อาจเป็นไปได้ว่าวิญญาณของเขาจะกลับมาได้อีกครั้งเขาย่อมจดจำตนเองได้ราวกับเดินทางไปในระหว่างความฝัน หากว่าวิญญาณของเขากลับมาอีกครั้งในเจ็ดวันหรือ(ยี่สิบเอ็ด) หรือสามสิบห้าวันหรือสี่สิบเก้าวัน เขาอาจจะยังได้รับความทรงจำ เขาย่อมมองเห็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม หรือผลแห่งกรรมของเขาด้วนตนเอง เขาผู้นั้นเมื่อรู้ถึงมูลเหตุแห่งชีวิตแล้วจะไม่กระทำกรรมที่เป็นบาปและอกุศล ไม่ว่าในกาลใดก็ตาม เพราะฉะนั้นกุลบุตรหรือกุลธิดาผู้ศรัทธา พึงบูชาพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น

ครั้งนั้น พระอานนท์ ผู้มีอายุได้กล่าวกับพระโพธิสัตว์ตรานมุกตะว่า ดูก่อนกุลบุตร การบูชาพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น พึงกระทำอย่างไร พระโพธิสัตว์ตรานมุกตะได้ตรัสว่า -ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ บุคคลทั้งหลายเหล่าใดเป็นผู้ปรารถนาหลุดพ้นจากโรคที่ใหญ่ยิ่ง บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นพึงถือศีลที่ประกอบด้วยศีลอุโบสถอันประเสริฐทั้งแปดเป็นเวลาเจ็ดวันเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยไข้ การทำการสักการะบูชาพระภิกษุสงฆ์ตามกำลังด้วยอุปกรณ์เครื่องอุปโภคทั้งหลายทั้งปวงและอาหารเครื่องดื่มทั้งหลาย พึงระลึกถึงพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นสามครั้งในเวลากลางวัน และสามครั้งในเวลากลางคืน พึงท่องพระสูตรนี้เป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน พึงจุดประทีปขึ้นสี่สิบเก้าดวง พระปฏิมาเจ็ดองค์พึงได้รับการสร้างขึ้น ประทีปเจ็ดดวงพึงได้รับการจุดขึ้นประจำแต่ละองค์ทั้งเจ็ดองค์ พึงประทีปแต่ละดวงให้มีขนาดเท่ากับล้อเกวียน หากว่าแสงสว่างไม่ลดน้อยลงในวันที่สามสิบเก้า ขอให้รู้ว่าสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ธงห้าสีพึงได้รับการสร้างขึ้นจำนวนมากกว่าสี่สิบเก้า

นอกจากนี้ ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ หากความหายนะหรืออุปสรรคทั้งหลายจะพึงยังเกิดขึ้นแก่พระราชาทั้งหลายเหล่าใด ผู้ทรงประกอบพิธีมูรธาภิเษกให้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีความหายนะจากโรค หรือความหายนะจากกองทัพขจองตนเองหรือความหายนะจากกองทัพของผู้อื่น หรือความหายนะจากกดวงดาวนักษัตร หรือความหายนะจากจันทรุปราคาและสุริยุปราคา หรือความหายนะจากลมและฝนที่ไม่ถูกต้องตามฤดูกาล หรือความหายนะจาก ความแห้งแล้งได้บังเกิดขึ้น ความไม่เป็นมงคลหรือโรคภัยที่ผ่านเข้ามา หรือความวิบัติได้บังเกิดขึ้น พระราชาพระองค์นั้นผู้ทรงประกอบพิธีมูรธาภิเษกให้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ จะต้องทรงมีความเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย และจะต้องทรงปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายที่ถูกจองจำอยู่ และการบูชาพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น ควรได้รับการปฏิบัติตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ในกาลนั้นความอุดมสมบูรณ์และความสงบสุขจะบังเกิดมีขึ้นในอาณาจักรนั้น ด้วยกุศลมูลนี้ของพระราชาพระองค์นั้น ผู้ทรงประกอบพิธีมูรธาภิเษกให้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ และด้วยปูรวปณิธานที่พิเศษและยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น ความอุดมสมบูรณ์ของลมและฝนจะเป็นไปตามฤดูกาล และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรย่อมเป็นผู้ปราศจากโรคภัย ประสบแต่ความสุข ท่วมท้นด้วยความปราโมทย์ และในอาณาจักนั้น ยักษ์ รากษส ภูตปีศาจชั่วร้ายทั้งหลายย่อมไม่ทำร้ายสัตว์ทั้งหลาย นิมิตเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่ปรากฏให้เห็น และพระราชาพระองค์นั้น ผู้ทรงประกอบพิธีมูรธาภิเษกให้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ จะทรงเป็นผู้มีอายุ วรรณะ กำลัง ปราศจากโรคภัย ทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนขึ้น

ครั้งนั้น พระอานนท์ ผู้มีอายุได้กล่าวกับพระโพธิสัตว์ตราณมุกตะว่า ดูก่อน กุลบุตร อายุที่สูญสิ้นแล้วจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร พระโพธิสัตว์ตราณมุกตะกล่าวว่าดูก่อนท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ท่านคงได้ยินทางส่วนของพระตถาคตแล้วมิใช่หรือว่าการตายที่ไม่ถูกต้องตามเวลาทั้งหลายมีอยู่ การต่อสู้ความตายของพวกเขาทั้งหลายกล่าวถึงการใช้ยาและมนต์คาถา สัตว์ทั้งหลายก็ยังคงเป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคอยู่ และโรคที่ไม่สนใจจะรักษาพยาบาล ที่ไม่หนักหนา หรือแม้ว่าแพทย์ทั้งหลายได้ทำการรักษาแล้ว นี่คือการตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับแรก การตายด้วยราชทัณฑ์ของบุคคลใดเป็นการตายไม่ถูกต้องตามเวาลาลำดับที่สอง การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่สาม คือบุคคลทั้งหลายเหล่าใดมึนเมาท่องเที่ยวไปด้วยความประมาท คนทั้งหลายย่อมแย่งชิงเอาพลังชีวิตของเขาทั้งหลายเหล่านั้นไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่สี่ คือบุคคลทั้งหลายเหล่าใดตายด้วยการเผาของไฟ ไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่ห้า บุคคลทั้งหลายเหล่าใดตายด้วยน้ำ ไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่หกบุคคลทั้งหลายเหล่าใดเดินทางไปในท่ามกลางสิงห์เสือ สัตว์ป่าที่โหดร้ายแล้วสร้างที่พักอาศัยอยู่และถูกฆ่าตาย ไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่เจ็ด บุคคลทั้งหลายเหล่าใดตกลงจากภูเขา ไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่แปด บุคคลทั้งหลายเหล่าใดตายด้วยการใช้พิษ กาโขรท เวตาล ไป การตายไม่ถูกต้องตามเวลาลำดับที่เก้า บุคคลทั้งหลายเหล่าใดผู้ทุกข์ทรมานด้วยความหิวและกระหาย ผู้ไม่ได้รับอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ทุกข์ทรมานตายไป พระตถาคตได้แสดงการตายไม่ถูกต้องตามเวลาโดยย่อทั้งหลายเหล่านี้ และการตายไม่ถูกต้อตามเวลาทั้งหลายเหล่าอื่นๆมีอยู่ประมาณมิไต้

ครั้งนั้น ณ ที่นั่น ในการประชุม มหายักษ์เสนาบดีสิบสองตนได้มาร่วมประชุม กล่าวคือ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่ากิมภีระ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าวัชระ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าเมขิละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าอันติละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าอนิละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าสัณฐิละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าอินทละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าปายิละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่ามหาละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าจิทาละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าเจานธุละ มหายักษเสนาบดีตนที่ชื่อว่าวิกละ มหายักษเสนาบดีทั้งสิบสองตนเหล่านี้ ผู้มีบริวารติดตามมาด้วยแต่ละตนได้กราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคพร้อมกันว่า พวกข้าพเจ้าได้ยินพระนามของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น แล้วด้วยพุทธานุภาพของพระผู้มีพระภาค ภัยจากหนทางชั่วร้ายของพวกข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มีอีกแล้ว

พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นพร้อมกับพวกข้าพเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ขอถึงพระธรรมว่าเป็นสรณะ ขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต พวกข้าพเจ้าจะกระทำความรารถนาเพื่อความสุขสงบ ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บุคคลใดเผยแผ่พระสูตรนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทหรือบ้านที่อยู่ในป่าหรือบุคคลใดยึดถือพระนามพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น และทำการสักการะบูชา ตราบนั้นพวกข้าพเจ้าจะปกป้อง จะดูแลรักษาสัตว์(บุคคล) นั้น และปลดปล่อยสัตว์(บุคคล) นั้นจากสิ่งไม่เป็นมงคลทั้งปวง พวกข้าพเจ้าจะกระทำให้ความหวังของพวกเขาทั้งหลายประสบผลบริบูรณ์ ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสรรเสริญมหายักษ์เสนาบดีทั้งหลายเหล่านั้น ว่า ดีแล้ว ดีแล้ว มหายักษ์เสนาบดีทั้งหลาย ที่ว่าท่านกระทำความกตัญญูต่อพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลายที่ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้น

ครั้งนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้ทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค ธรรมบรรยายนี้มีชื่อว่าอะไร และข้าพระองค์พึงยึดถือธรรมนี้อย่างไร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า เธอยงยึดถือว่า ธรรมบรรยานนี้เป็นปูรวปณิธานที่วิเศษและยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคพระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะ ผู้เป็นพระตถาคตพระองค์นั้นและจงยึดถือว่า ธรรมบรรยานี้เป็นประณิธานของมหายักษ์เสนาบดีทั้งสิบสองตน

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสิ่งนี้แล้ว พระมัญชุศรีผู้มีใจเคลื่นไปพร้อมด้วยความสุข ผู้เป็นกุมารอยู่เสมอ พระอานนท์ผู้มีอายุ พระโพธิสัตว์ตราณมุกตะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มหาสาวกทั้งหลาย พระราชา อำมาตย์พราหมณ์ คหบดี บริษัททั้งปวง พร้อมด้วยเทวดา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์และสัตว์โลก ก็พากันปิติยินดียิ่งในถ้อยคำของพระผู้มีพระภาค

พระสูตรมหายานชื่อว่า พระไภษัชยคุรุไวทูรยประภะราชะผู้ประเสริฐ

คาถาไภษัชยคุรุประภะราชะ สันสกฤต

นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุไวทูรย ปฺรภราชย ตถาคตาย อรหเต สมฺยกสํพุทธาย ตทฺยถา โอมฺ ไภษชฺย ไภษชฺย ไภษชฺเย สมุทฺคเต สฺวาหา

คาถาไภษัชยคุรุประภะราชะ ภาษาจีน

南無薄伽伐帝o鞞殺社o窶嚕薜琉璃o跋喇婆o喝囉闍也o怛他

นำมอ ปอแค ฟาตีo ปีซาแซo ลิวลู เผก ลิวลีo  ปอลาพอo ฮอลาแซแยo ตันทอ

揭多也o阿囉喝帝o三藐三勃陀耶o怛姪他o唵o鞞殺逝鞞殺逝o

กิต ตอแยo  ออลา ฮอตีoซำเมียวซำ ปูทอแยo  ตันจิตทอo  งันoปีซา ซือปีซาซือo

鞞剎社o三沒揭帝娑訶oo

ปีซาแซo ซำมุก  กิตตี ซอฮอo


 

อวตังสกคัณฑวยูหสูตร

สมันตรภัทรจริยาปณิธานปริวรรต

สมหวัง  สรัสจรรยาวัฒน์ พรรธน์  วีระพละ แปลและเรียบเรียง

คำปรารมภ์

                สมันตรภัทรจริยาปณิธานปริวรรตจากอวตังสกคัณฑวยูหสูตร นั้นนับเป็นพระสูตรสำคัญในฝ่ายพระพุทธศาสนามหายานโดยในอดีตถือเป็นวัตรปฏิบัติที่จักต้องสาธยายพระสูตรนี้ แม้ในการประกอบพิธีกรรมหรือพุทธประเพณีส่วนใหญ่ก็มักอ้างอิงถึง โดยเฉพาะก็ในการถวายพุทธบูชา และสนการศึกษาพระธรรม ทั้งนี้ เพื่อขอพึ่งบารมีพระสันตรภัทรโพธิสัตว์ ผู้ทรงปณิธานและจริยาวัตรอันประเสริฐ

                สืบเนื่องถึงปัจจุบัน พระสูตรนี้จักหาผู้ที่มีศรัทธาสาธยายได้น้อยลงทุกที เนื่องด้วยเป็นพระสูตรที่ค่อนข้างยาว และใช้ภาษาที่ลุ่มลึกยากแก่การสวดท่อง แม้จะยังมีการพิมพ์เผยแพร่อยู่บ้าง ก็เห็นจะเป็นแต่ในวงแคบ มิได้กว้างขวางเช่นพระสูตรอื่นอย่างสุขาวดีสูตร หรือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร นอกจากนี้ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ แม้จะปรากฎพระนามเป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญในฝ่ายมหายาน แต่ก็ไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชนทั่วไป เป็นเหตุให้พระสูตรที่กล่าวถึงพระมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ไม่เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง คงมีการสวดสาธยายกันในหมู่พุทธศาสนิกกลุ่มน้อย และมีแต่จะน้อยลงทุกวัน

                ในชั้นต้น ผู้แปลและผู้เรียบเรียงได้เคยสวดท่องพระสูตรนี้มาบ้าง แต่ก็เป็นไปตามรูปแบบพิธีกรรมโดยไม่ทราบความหมายอันลึกซึ้งแห่งพระสูตร ตั้งใจแต่เพียงว่า สักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสได้ศึกษาเนื้อความแห่งพระสูตรในภาคภาษาไทยบ้าง จนเมื่อต้นปีพุทธศักราช 2540 ผู้เรียบเรียงได้มีโอกาสจารึกแสวงบุญไปยังพุทธสถาน ณ เขาง้อไป๊ (เออเหมยซาน) มณฑลเสฉวน ประเทศจีน อันเป็นที่สถิตแห่งพระสมัตรภัทรโพธิสัตว์ โดยติดตามไปพร้อมกับพระอาจารย์หลวงจีนธรรมรัตจีนประจักษ์(เย็นซิม) เจ้าอาวาสวัดเทพพุทธาราม จ.ชลบุรี ณ ที่นั้นเชื่อกันว่าเป็นธรรมมณฑลอันพระสมันตภัทรโพธิสัตว์แสดงธรรมแด่พระสุธนกุมารโพธิสัตว์ อันเป็นที่มาของพระสูตรนี้ จึงได้อธิษฐานขอพระให้ทรงแผ่พระบารมีเกื้อหนุนให้ความปรารถนาครั้งนี้บรรลุผล ครั้นเดินทางกลับมาแล้ว จึงได้ปรารภเรื่องนี้กับผู้แปล ซึ่งก็ได้ปวารณาตัวที่จะช่วยแปลจากภาคภาษาจีนเป็นภาษาไทย โดยในช่วงแรกมีอุปสรรคค่อนข้างมาก เนื่องเพราะภาษาจีนที่ใช้นั้นลุ่มลึก ต้องอาศัยการอธิบายตีความจากอรรถกถาภาษาจีนบ้าง จากการไต่ถามบ้าง จึงช่วยให้การแปลในชั้นแรกลุล่วงลง จากนั้นจึงเรียบเรียงและขัดเกลาสำนวนภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง

                ในความปรารถนาเริ่มแรก หมายเพียงแค่จะพิมพ์แจกจ่ายในหมู่มิตรสหายที่สนใจเท่านั้น แต่มีญาติธรรมหลายท่านเห็นว่าน่าจะได้เผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจในวงกว้าง โดยปรารภในวาระแสดงมุทิตาเนื่องในโอกาสคล้าววันเกิดของพระอาจารย์เย็นซิม เพื่อเป็นอาจาริยบูชาโดยส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ คุณธำรง ปัทมภาส แห่งศูนย์ไทยธิเบต ได้ช่วยจัดการด้านการพิมพ์เป็นรูปเล่มดังที่ปรากฏอยู่นี้ โดยมุ่งหมายเพื่อที่จะให้เป็นการเผยแพร่พระสูตรของฝ่ายมหายานในภาคศึกษาไทย ให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและผู้ใฝ่รู้ ได้ใช้ศึกษาค้นคว้า อันเป็นการยังพระธรรมแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าในสืบไปตราบนาน

                การถ่ายทอดพระสูตรนี้ออกสู่ภาคภาษาไทยเป็นเรื่องยากยิ่ง เนื่องด้วยความลึกซึ้งโดยอรรถของตัวพระสูตรประการหนึ่ง และด้วยความชำนาญและพื้นฐานความรู้ของผู้แปลและเรียบเรียงเป็นอีกประการหนึ่ง โดยหลายตอนที่ต้องอาศัยการสรุปความเนื่องเพราะมิอาจถ่ายทอดได้ตามพยัญชนะ ดังนั้น จึงไม่สามารถถ่ายทอดพระสูตรนี้ออกมาได้โดยสมบูรณ์ถ้วนทุกพยัญชนะได้ด้วยเหตุดังกล่าว แต่ก็พยายามรักษาอรรถและคงเนื้อความให้ถูกต้องตามต้นฉบับเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้

                คงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยไปกระมังว่า พระสูตรนี้ที่สำเร็จลงได้ก็ด้วยวิริยะพยายามอย่างยิ่งของผู้แปล ซึ่งถือเป็นตัวจักรสำคัญในการถ่ายทอดเป็นภาคภาษาไทย นอกจากนี้ ทั้งผู้แปลและผู้เรียบเรียงก็ใคร่ขอขอบคุณท่านอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่กรุณาอนุเคราะห์เขียนคำนำให้ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ฉันสุมาลย์ กบิลสิงห์(ษัฏเสน)ที่กรุณาตรวจทานภาษาให้งดงามสละสลวยยิ่งขึ้น ท่านอาจารย์ปีเตอร์ สกิลลิ่ง ที่กรุณาตรวจทานความถูกต้องด้านเนื้อหาให้อีกครั้ง จึงขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

                ขอพุทธานุภาพแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระผู้แม้จักดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม หากยังทรงปรากฏพระธรรมกายอยู่เป็นอัศจรรย์ อีกทั้งพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ ผู้ทรงปณิธานและจริยาวัตรอันประเสริฐ และพระโพธิสัตว์ผู้การุณย์ทั้งปวง ขอทรงเกื้อหนุนสรรพสัตว์ในทศทิศ ให้ประกอบด้วยโพธิจิตและภูมิปัญญา ให้ได้มั่นคงในทศปณิธานอันพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงสำแดง และตามเสด็จสู่มหาโพธิสัตว์มรรคนั้น ให้บรรลุถึงพุทธภาวะอันบริสุทธิ์ยิ่งโดยทั่วกันเทอญ

สมหวัง  จรัสจรรยาวัฒน์ ผู้แปล

พรรธน์  วีระพละ ผู้เรียบเรียง

 

สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต

อวตังสกคัณฑวยูหสูตร

                เมื่อนั้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ได้สดับพระธรรมเทศนาอันพระผู้มีพระภาคทรงสำแดงงดงามแล้ว บังเกิดความปิติชื่นชมในพระผู้มีพระภาคและพระธรรม จึงได้ตรัสคาถาสดุดีพระพุทธบารมีแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าและตรัสแก่พระโพธิสัตว์ทั้งปวง พระสุธนกุมาร พระอริยสาวกทั้งปวง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามเณร ซึ่งได้สดับพระธรรมเทศนาอยู่ ณ ที่นั้น

                (ณ ที่นั้น ผู้ที่ได้สดับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์มีมากมายมิอาจประมาณได้ มีปัญญาแตกต่างกันไป แต่ในที่นี้พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงตรัสแก่พระสุธนกุมารด้วยเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลมและมีบุญญาธิการมาก)

                พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงตรัสว่า ดูกร ท่านผู้เจริญ พุทธบารมีแห่งพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายยิ่งนัก หากว่าพระพุทธเจ้าในทศทิศตรัสสรรเสริญพระพุทธเจ้าองค์อื่นแต่ละองค์ต่อกันไป ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายประดุจละอองเกษตรอันมิอาจประมาณได้ เหลือที่จะพรรณนา หากผู้ใดตั้งปณิธานจักบำเพ็ญบารมีตามเสด็จพระพุทธองค์แล้ว พึงตั้งปณิธานและปฏิบัติดังนี้

ปณิธานข้อที่ 1 เคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง

ปณิธานข้อที่ 2 สรรเสริญพระตถาคตทั้งปวง

ปณิธานข้อที่ 3 ถวายบูชาแด่พระตถาคตทุกพระองค์

ปณิธานข้อที่ 4 ขมาอกุศลกรรมทั้งปวง

ปณิธานข้อที่  5 อนุโมทนากุศลทั้งหลาย

ปณิธานข้อที่ 6 ทูลอารธนาให้ทรงแสดงพระธรรม

ปณิธานข้อที่ 7 อารธนาให้ประทับอยู่ในโลกต่อไป

ปณิธานข้อที่ 8 ขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบ

ปณิธานข้อที่ 9 ขออนุโลมตามสรรพสัตว์

ปณิธานข้อที่ 10 ขออุทิศกุศลทั้งมวลแก่สรรพสัตว์

                พระสุธนกุมารได้ทูลถามขึ้นว่าพระมหาอริยะจักพึงปฏิบัติอย่างไรตามมหาปณิธานทั้ง 10 ประการนั้น

                พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงอธิบายว่า พึงเคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง การเคารพบูชาพระพุทธเจ้านั้นจะต้องเป็นการเคารพบูชา อันประกอบด้วยกาย วาจา และใจ (อันแน่วแน่และบริสุทธิ์เปี่ยมด้วยความตั้งใจ) ที่สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าที่พึงเคารพบูชานั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล (เกิดสติปัญญาของมนุษย์จักประมาณได้) ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต อาศัยปณิธานแห่งข้าพเจ้า (พระสันตภัทร) ข้าพเจ้าเชื่อโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ประดุจดังพระพุทธเจ้าทั้งปวงเสด็จมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอภิวาทบูชาด้วย กาย วาจา ใจที่แน่วแน่ บริสุทธิ์ และจักเคารพบูชาเช่นนี้ตลอดไป ในแต่ละพุทธเกษตรอันมีจำนวนมากมายประมาณมิได้ จักปรากฏกายของข้าพเจ้าขึ้นในทุกสถาน และทุกกายจักอภิวาทบูชาพระพุทธเจ้าอันมีจำนวนประมาณมิได้เช่นกัน หากโลกแห่งความว่างเปล่ามีขอบเขตเมื่อใด การบูชาของข้าพเจ้าก็จักสิ้นสุด แต่หากโลกแห่งความว่างนั้นไว้ซึ่งขอบเขต การบูชาพระพุทธเจ้าก็ยักไม่มีวันสิ้นสุด หากโลกของสรรพสัตว์ กรรมของสรรพสัตว์มีที่สิ้นสุด การบูชาของข้าพเจ้าก็จักสิ้นสุด หากว่าโลกของสรรพสัตว์ กรรมของสรรพสัตว์ และทุกข์ของสรรพสัตว์ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น การบูชาของข้าพเจ้าก็จักไม่มีวันสิ้นสุด ข้าพเจ้าจักเคารพบูชาสืบไปไม่หยุดหย่อน ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างไม่อ่อนล้า ไม่เบื่อยหน่าย

                กุลบุตร การถวายสรรเสริญพระพุทธเจ้านั้น (สรรเสริญการบำเพ็ญบารมี พระพุทธคุณ พระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์) ในดลกแห่งความวางเปล่าแห่งนี้ (ครอบคลุมทั้งจักรวาล) บนผืนแผ่นดินในทศทิศตลอดทั้งสามภพ มีพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายมหาศาลประดุจดังฝุ่นธุลีและในแต่ละพุทธเกษตรจะมีพระโพธิสัตว์ประดุจดั่งท้องทะเลรายล้อมอยู่ (จำนวนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีมากมายมหาศาลเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึงได้ อีกทั้งสรรพสัตว์ล้วนมีอกุศลกรรมขวางกั้นมิให้ได้เห็นพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัจธรรม)

                ข้าพเจ้าเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นน (พระพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงเห็นถึงตำนวนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ อันมิอาจประมาณได้ เกินปัญญาของสรรพสัตว์จะหยั่งรู้ได้)

                คำสรรเสริญพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสรรเสริญอัน (ประดุจ)ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระสุรัสวดี* (*พระสุรัสวดีเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นที่6 ในสวรรค์ทั้ง 28 ชั้นฟ้า มีพระโอษฐ์ที่ตรัสแต่สิ่งดีงาม แต่ละเสียงที่พระองค์ตรัสไพเราะยิ่งนัก ต้องใช้เครื่องดนตรีนับร้อยนับพันชิ้นจึงจะบังเกิดเสียงนั้นได้*) อันสามารถเปล่งเสียงอันไพเราะได้นับไม่ถ้วนสรรเสริญพระพุทธคุณ พระพุทธบารมี การสรรเสริญนั้นไม่มีหยุดหย่อน ในโลกธาตุทั้งหลายก็ไม่มีที่ใดที่ไม่สามารถสรรเสริญพระพุทธเจ้าได้ การถวายสรรเสริญพระพุทธเจ้าจะไม่มีวันหยุดหย่อน

                กุลบุตร การบำเพ็ญเพื่อถวายสักการะบูชาแด่พระพุทธเจ้า(ในโลกแห่งความว่างเปล่า มีพระพุทธเจ้าอยู่มากมาย) โดยอาศัยบารมีมหาปณิธานแห่งสมันตภัทร ข้าพเจ้าเชื่อโดยปราศจากข้อกังขา ในการถวายบูชาพระพุทธเจ้านั้นต้องเลือกสิ่งที่ดีเลิศที่สุด งดงามที่สุดบริสุทธิ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ดนตรี ฉัตร แพรพรรณ มาลา เครื่องสุคนธ์ ธูป ผงจันทร์ แต่ละอย่างต้องดีเลิศที่สุด และมีจำนวนมากมายมหาศาลประดุจเขาพระสุเมรุ ประดุจเมฆในท้องฟ้า เพื่อเป็นการถวายบูชาพระพุทธเจ้าซึ่งมีจำนวนมหาศาลในทศทิศตลอดทั้งสามภพบูชาด้วยประทีปสารพัด ประทีปน้ำมันเนย ประทีปน้ำมันหอม ประทีปน้ำมันธรรมดาจำนวนมหาศาล มีจำนวนมากมายประดุจเขาพระสุเมรุน้ำมันมากมายประดุจน้ำในมหาสมุทร การบูชาดังกล่าวข้างต้นจะบูชาพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา (การบูชาดังกล่าวนั้นมนุษย์สามัญไม่อาจทำได้มีเพียงพระมหาโพธิสัตว์ทรงบารมี ทรงอานุภาพ ทรงพละ จึงจะทรงสามารถกรทำได้ถึงปานนั้น สรรพสัตว์จงอย่ามีข้อกังขาเลย)

                กุลบุตรทั้งปวง การถวายบูชาด้วยพระธรรมคำสั่งสอนคือการปฏิบัตินั้นเลิศที่สุด การปฏิบัตินั้นมีอยู่ 7 ประการคือ

                1 การบำเพ็ญเพียรตามคำสอน

                2 เมื่อปฏิบัติตามคำสอนก็จะบังเกิดกุศลและบารมี และใช้กุศลและบารมีนี้โปรดสรรพสัตว์เพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์

                3 จงมีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ที่ต้องเผชิญความทุกข์ โดยการ ยอมรับ ช่วยเหลือ สั่งสอน

                4 ยอมรับทุกข์แทนสรรพสัตว์ ถือเป็นการเสียสละ มีเมตตาธรม

                5 บำเพ็ญเพียรโดยไม่ย่อท้อ

                6 ยังกิจแห่งพระโพธิสัตว์ให้สมบูรณ์ (กระทำตนเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์อยู่เป็นนิตย์)

                7 ยังโพธิจิตให้สมบูรณ์ หมั่นบำเพ็ญเพียร อาศัยโพธิจิตนี้ สรรพสัตว์จึงจักเข้าสู่พุทธภูมิได้

                ทั้ง 7 ประการนี้คือการปฏิบัติ เพื่อถวายเปนพุทธบูชา

                กุลบุตรทั้งหลาย การบูชาด้วยอามิสบูชาถึงแม้จะได้กุศลมากมาย หากแต่เทียบมี่ได้เลยกับการบูชาด้วยการปฏิบัติ อามิสบูชานั้นเทียบได้เพียง 1 ใน 100 ใน 1,000 เท่ากับฝุ่นละอองในโลกเท่านนั้นเอง เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ด้วยเพราะพระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงเคารพพระสัทธรรม พระธรรมเป็นมรรคสู่พุทธภูมิ พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงดำเนินตามมรรคแห่งพระธรรมนั้น ดังนั้น หากสรรพสัตว์ปฏิบัติตามพระธรรมก็จะบรรลุพุทธภูมิ หากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายปฏิบัติตามพระธรรมถวาย

เป็นพุทธบูชาแล้ว บรรลุมรรคผลก็นับเป็นพุทธบูชาอย่างหนึ่ง ดังนั้น การบูชาจึงนับเป็นการบูชาที่แท้จริง การบูชาที่เป็นมหากุศลทั้งด้วยอามิสและกระปฏิบัติจะบูชาสืบไปไม่มีหยุดหย่อน

                กุลบุตรทั้งปวง การขอขมาอกุศลกรรมทั้งปวงนั้น (การสำนึกในอกุศลกรรมที่ได้กระทำลงไป ระวังมิให้กระทำซ้ำอีก สรรพสัว์ทั้งปวงตกอยู่ในความทุกข์ เป็นเหตุให้ก่ออกุศลกรรม ผลแห่งกรรมนั้นก่อให้สรรพสัตว์ได้รับทุกข์ สืบไปเป็ฯวัฏจักรเช่นนี้ การขอขมากรรมจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการไม่ก่ออกุศลกรรม) พระโพธิสัตว์พึงระลึกว่า อดีตกาลที่ล่วงมา ข้าพเจ้าได้กระทำอกุศลกรรมมากมายด้วยโลภ โกรธ และหลง อันมิอาจประมาณได้ (อันเป็นเหตุแห่งการก่ออกุศลกรรม) หากผลแห่งอกุศลกรรมนั้นจักปรากฏจริงแล้ว โลกแห่งความว่างเปล่านี้ก็มิอาจรองรับอกุศลกรรมนั้นไว้ได้

                (พระสมันตภัทรเคยก่ออกุศลกรรมมามากมาย) บัดนี้ ข้าพเจ้าได้กำจัดทุกข์ กรรม และผลของกรรมได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้แสดงอารบัติขอขมากรรมทั้งปวง ชำระซึ่งความโลภ โกรธ หลง ความทุกข์ กรรมและผลกรรมจักไม่มีแก่ข้าพเจ้าและจักละอกุศลกรรมนั้นเสีย จักเพียรสร้างกุศลกรรมทั้งปวงสืบไป บัดนี้ข้าพเจ้าขอขมาอกุศลกรรมทั้งปวง (เป็นการตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจักละอกุศลกรรมทั้งปวง) ตลอดไปไม่มีหยุดหย่อน

                กุลบุตรทั้งปวง การอนุโลมกุศลทั้งปวงนั้น เพื่อเป้าหมายแห่งการสั่งสมมหากุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ เริ่มจากการตั้งจิตที่แน่วแน่ หากเพียรบำเพ็ญตน และเลยแล้วซึ่งตนเอง หลงลืมซึ่งตนเอง แม้กาลจะผ่านมานานนักมิอาจประมาณได้ด้วยกัลป์ ในแต่ละกัลป์ได้สละ ชีวิต ตา มือ เท้า มิอาจประมาณได้ การบำเพ็ญถึงบารมีต่างๆ ได้เข้าสู่โพธิสัตว์ภูมิ บรรลุมรรคผล บรรลุอนุตรสัมามาสัมโพธิญาณ บรรลุนิพพาน บรรลุถึงธรรมธาตุทั้งปวง ข้าพเจ้าขอแสดงมุทิตาจิต และอนุโมทนาด้วย

                ทุกโลกธาตุในทศทิศ สรรพสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ ทั้ง 4 กำเนิด กุศลกรรมทั้งปวง แม้จะเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วยในทศทิศ ตลอดจนทั้งสามภพ พระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ข้าพเจ้าขออนุโมทนากุศลด้วย พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญบารมีด้วยความยากลำบากเพื่อบรรลุถึงโพธิญาณมหากุศลอันใหญ่หลวงนี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วย

                ข้าพเจ้าจักขออนุโมทนากุศลเช่นนี้สืบไปไม่หยุดหย่อน

                กุลบุตร การขับเคลื่อนพระธรรมจักร (การทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงพระสัทธรรม ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้ทรงแสดงพระธรรม สรรพสัตว์จึงสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นอิสระจากสังสารวัฏอันยาวไกล ดังนั้น ผู้ที่ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงพระธรรมนั้นจึงมีอานิสงส์ยิ่งนัก)

                ด้วยกาย วาจา ใจ ข้าพเจ้าตั้งจิตทูลเชิญขอพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรม เพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง (กาย:คุกเข่า นมัสการ วาจา:สรรเสริญ ทูลเชิญ  ใจ:ด้วยใจบริสุทธิ์ แน่วแน่ ไม่ย่อท้อ) ข้าพเจ้จักทูลอาราธนาขอทรงแสดงธรรมเช่นนี้สืบไปไม่มีหยุดหย่อน กุลบุตรทูลอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ต่อไป ในโลกแห่งความว่างเปล่านี้ ทั่วทศทิศตลอดจนสามภพ ที่มีพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายกำลังจะเสด็จเข้าสู่นิพพานตลอดจนพระโพธิสัตว์ พระสาวกและผู้ทรงปัญญาทั้งปวง ข้าพเจ้าขอทูลเชิญ ข้าพเจ้าขออารธนา อย่าเพิ่งเข้าสู่นิพพาน ขอจงประทับอยู่ในโลกนี้ เพื่อประโยชน์สุขแด่สรรพสัตว์

                ข้าพเจ้าทูลอาราธนา ขอพระพุทธเจ้าทั้งปวงประทับอยู่ในโลกนี้ ต่อไป ข้าพเจ้าจักทูลอาราธนาเช่นนี้สืบไปไม่มีหยุดหย่อน

                กุลบุตร การศึกษาพระธรรมให้เจนจบ บำเพ็ญบารมีตามรอยพระพุทธบาท (พระพุทธทรงศึกษา บำเพ็ญเพียรจนบรรลุโพธิณาณ สรรพสัตว์ทั้งปวงจึงสมควรเจริญรอยตามรอยพระพุทธบาทเพื่อพ้นจากวัฏสงสาร จากทุกข์ทั้งปวง

                ดั่งในสหัสโลกธาตุนี้ พระไวโรจนพุทธเจ้าทรงตั้งจิต มีวิริยะบารมีในการบำเพ็ญเพียรอย่างไม่ท้อถอย ทรงบริจาคทานด้วยพระชนม์ชีพจนประมาณมิได้ ทรงใช้ผิวพระกายแทนกระดาษ ใช้พระอัฐิแทนพู่กัน ใช้พระโลหิตแทนน้ำหมึก จารพระธรรม ซึ่งมีมากมายประดุจเขาพระสุเมรุเหตุว่าพระธรรมนั้นสำคัญยิ่งนัก จึงมีทรงคำนึงถึงพระชนม์  ประสาอะไรกับ ราชบัลลังก์ ราชอาณาจักร ราชวัง ราชอุทยาน และสมบัติต่างๆ

                ข้าพเจ้าขอดำเนินตามรอยพระพุทธบาท ที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงใดก็มิได้ทรงย่อท้อ จนบรรลุถึงโพธิญาณใต้พระศรีมหาโพธิ ทรงเปี่ยมด้วยพุธบารมสีเป็นอเนกอนันต์ ทรงนิรมาณพระกายได้นับไม่ถ้วน ทรงปรากฏพระกายเป็นพระตถาคองค์ใดก็ได้ ทรงปรากฏพระกายได้ในทุกสถาน ในโพธิสัตว์สันนิบาตใดก็ย่อมได้ หรือท่ามกลางพระสาวกทั้งปวง พระปัจเจกพุทธิเจ้า พระราชาทั้งหลาย พระบรมวงศานุวงศ์ พราหมณ์ กุลบดี เทพ พญานาค มนุษย์ และอมนุษย์ พระองค์ทรงเปล่งสุรสีหนาทแห่งความสำเร็จในมรรคผล ประดุจฟ้าคำรณ เมื่อผู้ใดได้สดับก็รู้สึกชื่นชมยินดี ตั้งจิตมุ่งตรงต่อพระนิพพาน

                ข้าพเจ้าจึงขอบำเพ็ญบารมี ศึกษาพระธรรมให้เจนจบดั่งพระพุทธองค์ สืบไปไม่มีหยุดหย่อน

                กุลบุตร การอนุโลมตามสรรพสัตว์ (สรรพสัตว์นั้นมีนิสัย จริต ต่างกันไป พระพุทธเจ้าทรงมหากรุณาที่จะโปรดสรรพสัตว์ ทรงมีกุศโลบาย โปรดสรรพสัตว์ให้เหมาะสมกับอุปนิสัย)

                ในโลกแห่งความเปล่า ตลอดจนทั้งสิบทิศ มีสรรพสัตว์มากมาย ที่บังเกิดจากไข่ เกิดเป็นตัว เกิดในน้ำ เกิดจากการจำแลงกาย เกิดจากมหาภูต 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) พวกที่พึ่งอากาศ พึงแมกไม้ในการเกิดกายมีวรรณะ ลักษณะ หน้าตา อายุขัย เผ่าพันธุ์ นาม จิตใจ ความกระจ่าง การแสวงหาความสุข พฤติกรรม ความเกรงขาม ความพึงใจในแพรพรรณ  อาหารต่างๆกันไป ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ในเมือง ในพระราชวังตลอดจนพวกที่อาศัยอยู่ในเทวโลก บาดาล ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ ที่ไร้ขา ทวิบาท จตุบาท ทั้งมีสี ทั้งไร้สี ทั้งที่ไร้ความคิด ทั้งที่มีความคิดสรรพสัตว์ทั้งปวง ข้าพเจ้าจักยอมอนุโลม ข้าพเจ้าจักปฏิบัติต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดุจดังข้าพเจ้าปฏิบัติต่อ บิดามารดา อาจารย์ พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า เมื่อพบผู้ป่วย ข้าพเจ้าจักเป็นแพทย์ เมื่อพบผู้หลงทาง ข้าพเจ้าจักเป็นมัคคุเทศก์คอยนำทาง เมื่อพบผู้หลงอยู่ในความมืด ข้าพเจ้าจักเป็นดังประทีปส่องทาง เมื่อพบผู้ยากจน ข้าพเจ้าจักสละทรัพย์ให้ ดั่งพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง

                เธอสำคัญไฉน? หากพระโพธิสัตว์สามารถยอมอนุโลมเพื่อสรรพสัตว์ ก็ประดุจดั่งการถวายบูชาพระพุทธเจ้า หากสรรพสัตว์เคารพโพธิกิจอันงดงามนี้ ก็ประดุจดังการถวายบูชาแด่พระพุทธเจ้า

                เธอสำคัญไฉน? เหตุว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวง มีพระทัยอันเปี่ยมด้วยเมตตาแก่ปวงสรรพสัตว์อันหลงเวียนว่ายอยู่ในทุกข์ ด้วยเหตหุที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเมตตา อันนำไปสู่การบังเกิดโพธิจิต อาศัยโพธิจิตนี้ พระพุทธเจ้าทั้งปวงจึงบรรลุมรรคผล (พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาโพธิญาณ ก็เพื่อโปรดสรรพสัตว์)

                เปรียบประดุจในผืนแผ่นดินอันอุดมไปด้วยกรวดและทราย มีไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หากรากได้สัมผัสถึง น้ำ กิ่ง ใบ และผล ก็จะงอกงามดีฉันใด ในสังสารวัฏแห่งนี้ โพธิจิตก็ประดุจดังต้นไม้ใหญ่

                สรรพสัตว์ทั้งหลายก็คือรากของต้นไม้ พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ก็คือผล อาศัยทิพยวารีแห่งมหาเมตตากรุณาหลั่งรดลงเหนือสรรพสัตว์ ก็จะบรรลุถึงพระปัญญาอันล้ำเลิศแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง

                สรรพสัตว์ทั้งหลายก็คือรากของต้นไม้ พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ก็คือผล อาศัยทิพยวารีแหงมหาเมตตากรุณาหลั่งรดลงเหนือสรรพสัตว์ ก็จะบรรลุถึงพระปัญญาอันล้ำเลิศแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง

                เพราะเหตุไฉนเล่า? หากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเปี่ยมด้วยเมตตา โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ก็ย่อมบรรลุสู่พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (เป็นโพธิกิจอันต้องบำเพ็ญ)

                ด้วยเหตุนี้โพธิจึงเป็นของสรรพสัตว์ หากไม่มีสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะไม่สำเร็จมรรคผล เข้าสู่พุทธภูมิ

                กุลบุตร เธอทั้งหลายพึงมนสิการโดยแยบคายดังนั้น จงปฏิบัติอนุโลมสรรพสัตว์ด้วยความเสมอภาค จึงจะบรรลุเมตตาจิตโดยสมบูรณ์อาศัยเมตตาจิตนี้ จงอนุโลมตามสรรพสัตว์ทั้งปวง จึงจะเป็นการบรรลุผลอันไพบูลย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา

                พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงอนุโลมตามสรรพสัตว์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจักอนุโลมตามสรรพสัตว์เช่นนี้สืบไป ไม่หยุดหย่อน

                กุลบุตร การอุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์จากปฐมปณิธานคือการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลายจนบรรลุถึงปณิธานแห่งการอนุโลมตามสรรพสัตว์กุศลทั้งปวงอันข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ขออุทิศแด่สรรพสัตว์ทั้งปวง

                ขอสรรพสัตว์ทั้งปวงจงประสบสันติ ปราศจากโรคภัย หากสรรพสัตว์เหล่าใดหลงผิดไปสู่ทางอธรรม ขอจงกลับใจ ขอสรพสัตว์ที่สั่งสมบุญจงบรรลุมรรคผลในเร็ววัน ขอกุศลนี้จงปิดทางแห่งอกุศลทั้งปวง จงเป็นปัจจัยไปสู่พระนิพพาน หากสรรพสัตว์สั่งสมอกุศลกรรมไว้ ต้องรับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าขอแบกรับทุกข์นั้นแทน ขอสรรพสัตว์ทั้งปวงจงหลุดพ้นจากทุกข์ บรรลุสู่โพธิญาณอันประเสริฐ

                พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงบำเพ็ญมีประมาณเช่นนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศกุศลทั้งปวงแด่สรรพสัตว์สืบไปเช่นนี้ไม่มีเปลี่ยนแปร

                กุลบุตร นี้คือมหาทศปณิธานแห่งพระสันตภัทร อันเป็นปณิธานที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ หากพระโพธิสัตว์สามารถปฏิบัติตามมหาปณิธานนี้ได้ย่อมสามารถช่วยโปรดสรรพสัตว์ให้บรรลุถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณสามารถปฏิบัติมหาปณิธานแห่งพระสมันภัทรได้โดยสมบูรณ์ กุลบุตรเจ้าทั้งหลายพึงมนสิกาโดยแยบคายเถิด หากมีกุลบุตร กุลธิดา ในพุทธเกษตรอันมีจำนวนมิอาจประมาณนำรัตนมณีอันมีค่าทั้ง 7 สิ่ง เช่นทอง เงิน ไพฑูรย์ แก้วผลึก บุษราคัม ทับทิม พลอยแดง หรือสิ่งมีค่าทั้งปวงอันเป็นที่ปรารถนาแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ออกบริจาคแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายถวายเป็นพุทธบูชาแต่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งปวง ถวายทานและกระทำบูชาเช่นนี้นับกัลป์ มิให้ขาด ย่อมบังเกิดกุศลยิ่งนัก หากผู้ใดเพียงได้สดับมหาปณิธานนี้ ย่อมบังเกิดอานิสงส์มากมายยิ่งกว่าการบริจาคทานเบื้องต้นยิ่งนัก เป็นร้อยพันเท่าทวีขึ้น หากผู้ใดมีจิตศรัทธาในมหาปณิธานนี้ ได้กระทำสาธยายจารึกหรือคัดลอกพระสูตรนี้ ก็สามารถหลุดพ้นจากอนันตริยกรรมทั้ง 5 ปราศจากโรคาพาธทั้งปวง ทุกข์ภัยทั้งหลายอกุศลกรรมทั้งหลายที่สั่งสมมา ปีศาจ อสูร รากษส กุมภัณฑ์ อันดุร้าย กระหายเลือด ภูตผีและเทวมาร ก็จักหลีกหนีไป หากมีจิตปรารถนาจักจดจำ ปฏิบัติ เข้าใจ ปกป้องรักษาพระสูตรนี้ ได้กระทำบูชาสาธยายมหาปณิธานนี้ ย่อมเป็นอิสระจากอุปสรรคทั้งหลายในโลกนี้ดุจพระจันทร์บนฟากฟ้า ที่เป็นอิสระจากเมฆหมอกราคี พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงสรรเสริญ ว่ามนุษย์ทั้งหลายพึงเคารพบูชา สรรพสัตว์ทั้งหลายถึงเคารพบูชา จักบังเกิดเป็นมนุษย์เปี่ยมด้วยบารมีประดุจดั่งพระสมันตภัทรบรรลุโพธิญาณตามเสด็จพระสมัตภัทร มีกายอันวิสุทธิ์ปรากฏมหาปุริสลักษณธทั้ง 32 ประการ หากบังเกิดเป็นมนุษย์ จักบังเกิดเป็นผู้เปี่ยมศักดิ์ บังเกิดในตระกกูลสูงส่ง อาจทำลายสิ่งชั่วร้ายอกุศลทั้งปวง จักห่างไกลจากมิตรอันเป็นทุรชน สารมารถสยบพวกเดียรถีร์ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ประดุจพระยาราชสีห์ ผู้อาจสยบสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้ได้รับการเคารพบูชาจากสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อใกล้กาลมรณะ แม้เหล่าญาติมิตรสหายจักละทิ้งไป อำนาจทั้งปวงจักพินาศไป ข้าบริพารทั้งหลาย ช้าง ม้า ราชรถ ทรัพย์สินมีค่าทั้งหลายต่างพินาศไป ปราศจากผู้อยู่เคียงข้าง ทว่า พระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ผู้ทรงปณิธานจักไม่ละทิ้งเขา พระองค์จะเสด็จมาประทับอยู่เบื้องหน้าผู้นั้น เสด็จนำสู่สุขาวดีพุทธเกษตร ได้นมัสการพระอมิตาภพุทธเจ้า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสมัตภัทรโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์  พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระสิริสง่างาม เปี่ยมด้วยพระบารมีอันบริบูรณ์ประทับอยู่แทบบาท (พระอมิตาภพุทธเจ้า) ผู้นั้นจักบังเกิดในปทุมชาติ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากพระตถาคตเจ้าแล้ว จักดำเนินผ่านโลก  อันนับไม่ถ้วนนับด้วยกัลป์อาศัยอานุภาพแห่งปัญญาบารมี เกื้อกูลสรรพสัตว์ ได้บรรลุถึงโพธิญาณสยบมารทั้งหลาย ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เคลื่อนกงล้อพระธรรมจักร โปรดสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งปวงให้บังเกิดโพธิจิต สั่งสอนสรรพสัตว์โดยมหากุศโลบาย ตลอดถึงกัลป์ในอนาคตกาล ก็จักทำประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์ กุลบุตร หากสรรพสัตว์ได้สดับ และบังเกิดศรัทธาในมหาปณิธานนี้ บำเพ็ญและสาธยายประกาศแด่ชนทั้งมวล จกบังเกิดกุศลจนมิอาจประมาณได้ เกินสติปัญญาสรรพสัตว์จะหยั่งรู้ เว้นแต่อาศัยพุทธปัญญาแห่งพระตถาคตเจ้าจึงอาจหยั่งรู้ กุลบุตรทั้งปวงเมื่อได้สดับพระมหาปณิธานนี้แล้ว จงอย่าบังเกิดข้อกังขา พึงน้อมรับ สาธยายแลนำไปปฏิบัติ คัดลอกประกาศแสรรพสัตว์ทั่วไป เมื่อมีการสาธยายและปฏิบัติตามมหาปณิธานนี้ จักบรรลุถึงโพธิญาณ บังเกิดอานิสงส์มิอาจประมาณสามารถโปรดสรรพสัตว์ให้ก้าวพ้นสังสารวัฏ ไปบังเกิดในสุขาวดีภพ นมัสการพระอมิตาภพุทธเจ้าผู้ทรงการุณย์

                เมื่อนั้น พระสันตภัทรมหาโพธิสัตว์ตรัสพระคาถาอันเป็นสารัตถุแห่งพระสูตรนี้ ดังนี้

            ข้าพเจ้าขอเคารพบูชาพระพุทธเจ้าอันมีประมาณมิได้ ผู้ทรงสถิตอยู่ในพุทธเกษตรทั่วทั้งทศทิศ อาศัยกาย วาจา ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยอานุภาพ บารมีแห่งมหาปณิธานอันพระสมัตภัทรปฏิบัติบริบูรณ์ ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในทศทิศ มีอุปมาดั่งละอองเกษตร ได้ถวายสักการะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ (คาถา 4 บาท)

            พระพุทธเจ้านั้นมีมากมายมิอาจประมาณได้อุปมาดั่งละอองเกษตรแต่ละพระองค์ประทับอยู่ ณ มหาสันนิบาต อันมีพระโพธิสัตว์ประทับห้อมล้อมอยู่ ประดุจดังโลกแห่งพระธรรมอันไร้ขอบเขต พึงรำลึกถึงพระพุทธเจ้าอันมีประมาณมิได้และโลกแห่งพระธรรม พระตถาคตเจ้าแต่ละพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงได้ประดุจคลื่นทะเล ในแต่ละเสียงล้วนประกาศสรรเสริญพระพุทธคุณอันแม้กล่าวสรรเสริญสืบไปจนสิ้นกัลป์ก็ยังมิอาจสรรเสริญได้หมดสิ้น จงสรรเสริญพระพุทธคุณและพระบารมีแห่งพระพุทธองค์  (คาถา 4 บาท)

            มวลบุปผชาติที่งดงามที่สุด สังคีตต่างๆ เครื่องสุคนธ์ ฉัตร เครื่องบูชาทั้งหลายที่เลิศที่สุด ข้าพเจ้าขอถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยจีวรแพรพรรณ เครื่องสุคนธ์บูชาทั้งหลาย ประทีป อันเป็นเลิศที่สุด ข้าพเจ้าขอถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยจิตอันน้อมนมัสการและเชื่อมั่นข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในไตรภพเป็นสรณะ อาศัยอานุภาพมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทร ข้าพเจ้าขอถวายพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์  (คาถา 4 บาท)

            อกุศลกรรมทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าสั่งนสมมาด้วย กาย วาจา ใจอกุศลกรรมล้วนกำเนิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง บัดนี้ข้าพเจ้าสำนึกแล้วขอตั้งจิตขมากรรม  (คาถา 2 บาท)

            สรรพสัตว์ทั้งหวงในทศทิศ ที่กำลังบำเพ็ญเพียรศึกษา ทั้งที่สำเร็จแล้ว คลอดทั้งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขออนุโทนากุศลด้วย  (คาถา 2 บาท)

            พระอริยะทั้งปวงอันบรรลุแล้ว ทั้งพระอริยะที่บรรลุโพธิญาณนานนักแล้ว พระอริยะทั้งปวง อันประดุจแสงประทีปส่องสว่าง ณ พิภพนี้ ข้าพเจ้าขอทูลเชิญขอทรงเลื่อนพระธรรมจักรเถิด  (คาถา 2 บาท)

            พระพุทธเจ้าทั้งปวงผู้ทรงกำลังเสด็จสู่พระนิพพาน ข้าพเจ้าขอทูลอาราธนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ขอพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประทับในโลกนี้ต่อไป เพื่อโปรดสรรพสัตว์ เพื่อเกื้อหนุนมวลสรรพสัตว์  (คาถา 2 บาท)

            อานิสงส์ทั้งปวงอันเนื่องด้วย การเคารพบูชา การถวายสรรเสริญการถวายอามิสบูชาแต่พระพุทธเจ้า ตลอดจนกุศลแห่งการทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าทั้งปวง ให้ทรงประทับในโลกนี้ต่อไป จากการทูลอาราธนาให้แสดงพระธรรม จากการอนุโมทนากุศล จากการขอขมากรรม กุศลทั้งสิ้นเหล่านี้ ขออุทิศแด่มวลสรรพสัตว์และพุทธวิถี (คาถา 2 บาท)

            ข้าพเจ้าขอศึกษาตามพระตถาคต บำเพ็ญเพียรตามพระสมันตภัทร ถวายเป็นพุทธบูชาแต่พระตถาคตในตรีกาล ผู้ทรงสถิตในทศทิศ ขอพระพุทธทั้งปวงผู้กำลังจะเสด็จมาในอนาคต ได้ตรัสรู้ บรรลุมรรคผลโดยสมบูรณ์ ข้าพเจ้าขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบทั่วทั้งไตรภพ เพื่อจักได้บรรลุโพธิญาณในเร็ววัน  (คาถา 4 บาท)

            ในพุทธเกษตรทั้งทศทิศนี้ กว้างใหญ่ไพศาลนัก บริสุทธิ์และสง่างามมีมหาพุทธสันนิบาตได้พระศรีมหาโพธิสรรพสัตว์ทั้งสิบทิศตั้งจิตปรารถนาพระนิพพาน หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ดำเนินในวิถีอันถูกต้องเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งปวง (คาถา 4 บาท)

            ข้าพเจ้าตั้งปณิธานบำเพ็ญเพื่อบรรลุโพธิญาณ ขอตั้งปณิธานสืบไปทุกภพทุกชาติ ให้ได้ออกบวชสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ได้รับรักษาสิกขาบทอย่างไม่ท้อถอยไม่ละเมิดสิกขา ไม่ด่างพร้อย ขอให้สรรพเสียงทั้งปวง จักเป็นเสียงของ เทพ พญานาค อสุรกาย ยักษ์ มนุษย์ และอมนุษย์ จงเป็นเสียงประกาศพระธรรม  (คาถา 4 บาท)

            พึงมีมานะบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุถึงบารมีอันบริสุทธิ์ พึงรำลึกโพธิจิตอยู่เป็นนิตย์ จงละเว้นจากบาปมลทินทั้งหลาย พึงยังกุศลทั้งปวงให้ถึงพร้อม จงบรรลุถึงพระนิพพาน หากว่าจักไปบังเกิดในอสุรภพหรือเวียนว่ายในวัฏสงสาร ขอจงหลุดพ้น ดั่งปทุมชาติที่บังเกิดในน้ำแต่ไม่เปียกน้ำ ดั่งสุริยันจันทราซึ่งมิได้หยุดอยู่ในนภา  (คาถา 4 บาท)

            กำจัดทุกข์ทั้งปวงในอบายภูมิ ประสาทสันติแต่สรรพสัตว์ แม้จักต้องกระทำเช่นนี้ไปสักกี่กัลป์ ก็จักกระทำต่อไปเพื่อประโยชน์แด่มวลสรรพสัตว์ ข้าพเจ้าจักอนุโลมเพื่อสรรพสัตว์ จักบำเพ็ญเพียรตามมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทร สืบไปทุกกัลป์ เพื่อบรรลุถึงพระมหาโพธิญาณ  (คาถา 4 บาท)

            สรรพชีวิตทั้งปวงที่บำเพ็ญเพียรเช่นข้าพเจ้า ไม่ว่าจักเป็นผู้ใดจากภพใด ขอจงมาประชุม ณ มหาสันนิบาตแห่งนี้ ขอสรรพสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรจงประกอบด้วยกาย วาจา ใจ อันแน่วแน่และบริสุทธิ์ ที่พร้อมจักบำเพ็ญไปพร้อมกัน วิชชาใดอันทรงประโยชน์ ขอจงสั่งสอนแก่ข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจักสามารถบำเพ็ญตามมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรต่อไปขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงได้บำเพ็ญเพียรร่วมกัน ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงเปี่ยมด้วยจิตอันเบิกบาน ปีติชื่นชมร่วมกัน  (คาถา 4 บาท)

            ขอให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นพระพุทธเจ้าทั้งปวง ขอให้ข้าพเจ้าได้ถวายบูชาอภิวาทสืบไปไม่มีสิ้นสุด ข้าพเจ้าจักดำเนินตามพระรรมอันพระพุทธเจ้าทั้งปวงตรัสไว้ดีแล้ว ขอพระพุทธเจ้าทั้งปวงเปล่งพุทธรัศมีชี้นำมรรคาแห่งโพธิจิต ให้ข้าพเจ้าได้ดำเนินตามมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรสืบไปชั่วกาล  (คาถา 4 บาท)

            ไม่ว่าข้าพเจ้าจักไปอุบัติในภพใด ในสภาวะเช่นใด จักขอบำเพ็ญกุศลสืบไป ขอบรรลุถึงสมาธิ ปัญญา มหาอุบายและหลุดพ้นจากสังสารวัฏในสหโลกธาตุอันประดุจละอองเกษตร อันมีพระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมชี้ทางแห่งโพธิจิต

            พุทธเกษตรทั้งปวงในทศทิศอันมิอาจประมาณในแต่ละพุทธเกษตรต้องผ่านทั้งสามภพ ข้าพเจ้าขอบำเพ็ญเพียรสืบไปทั้งในพุทธเกษตรใดหรือภพใดๆพุทธวจนะแห่งพระตถาคตทั้งปวงล้วนวิสุทธิ์ประกาศก้องไปทั่วสารทิศ สรรพสัตว์ทั้งปวงสามารถเข้าใจในพุทธวจนะอันไพเราะยิ่งนักนั้นได้โดยทั่วกัน พระพุทธเจ้าทั้งไตรภพทรงแสดงพระธรรม ไม่มีที่ใดในสกลจักรวาลนี้ที่จักมิได้สดับพระธรรมนั้น ด้วยอำนาจแห่งมหาปัญญาข้าพเจ้าสามารถบรรลุได้ (คาถา 6 บาท)

            ข้าพเจ้าสามารถบรรลุถึงอนาคตภูมิใดก็ย่อมได้ กัลป์ทั้งหลายทั้งที่ล่วงมาแล้ว ในปัจจุบันและในอนาคต ข้าพเจ้าสามารถบรรลุถึงได้ดั่งจิตปรารถนา ข้าพเจ้าสามารถเห็นพระพุทธเจ้าในตรีภพได้ หากเพียงตั้งจิต ข้าพเจ้าสามารถไปเยือนพุทธเกษตร ได้สัมผัสการวิวัฒน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ได้เห็นการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ได้เห็นอานุภาพอันเกื้อกูลการบรรลุมรรคผลได้  (คาถา 4 บาท)

            แม้เพียงปลายขนนก ก็อาจรองรับพุทธเกษตรมิอาจประมาณได้จากทั้งสามภพ เมื่อมีขนนกมากมาย (ฉันใด) พุทธเกษตรจักย่อมมีมากมายมิอาจประมาณไปด้วย ข้าพเจ้าจักขอไปสู่ในทุกพุทธเกษตรด้วยความศรัทธา สะอาดบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าทั้งปวสงเป็นดังประทีปส่องทางแด่สรรพสัตว์ เมื่อทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อปลุกสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ตื่นขึ้น และเมื่อพระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงยังพุทธกิจในพุทธเกษตรบริบูรณ์แล้วจักเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน ข้าพเจ้าจักอยู่แทบพระบาทพระตถาคตทั้งหลายเพื่อปฏิบัติบำเพ็ญ (คาถา 4 บาท)

            พุทธานุภาพอันเป็นอจินไตยปรากฏเป็นสมันตะ อานุภาพแห่งมหายานปรากฏในทุกสถาน ผู้เปี่ยมด้วยมหาปัญญานั้นเปี่ยมด้วยกุศลมากมายยิ่งนัก ผู้แสดงเดชเดชานุภาพอันน่าเกรงขามเปี่ยมด้วยบารมีเกื้อกูลสรรพสัตว์ด้วยมหาเมตตากรุณา มหากุศลอันใหญ่หลวงสืบเนื่องจากจิตอันบริสุทธิ์ การไม่ยึดมั่นผูกพัน ละวาง นั้นคือปัญญาอันล้ำเลิศพลังแห่งสมาธิ ปัญญา อุบาย และกุศล เป็นปัจจัยเกื้อหนุนโพธิญาณ ยังกิจกุศลทั้งปวงด้วยจิตบริสุทธิ์ ปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งหลาย ชำระอกุศลทั้งมวล เพื่อบรรลุถึงมหาปณิธานตามเสด็จพระสันตภัทรโพธิสัตว์ (คาถา 6 บาท)

            อาศัยอานุภาพนี้ อาจกระทำให้พุทธเกษตรทั้งหลายอันมิอาจประมาณ(ประดุจน้ำในมหาสมุทร) สง่างามและบริสุทธิ์ ปลดเปลื้องสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกขเวทนา ผู้มีปัญญาย่อมสมารถจำแนกพระธรรมได้โดยพิสดาร (แยกย่อยแต่ละสาขา) ย่อมสามารถเข้าถึงพระธรรมอันล้ำลึกได้ สามารถยังกิจทั้งปวงโดยบริสุทธิ์ สามารถบรรลุถึงมหาปณิธานทั้งปวงได้  (คาถา 6 บาท)

            ข้าพเจ้าขออยู่แทบพระบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถวายอุปัฐากถวายพุทธบูชาบำเพ็ญเพียร อยู่เป็นเนืองนิตย์สืบ พระพุทธเจ้าทั้งปวงในสามภพ (ทรงสรรเสริญ) มหาปณิธานในการปฏิบัติโพธิมรรคนั้นประเสริฐที่สุด ข้าพเจ้าจักบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุถึงมรรคผล ถวายเป็นพุทธบูชา จักตามเสด็จพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ เพื่อบรรลุถึงพุทธภาวะในจิตข้าพเจ้า (คาถา 6 บาท)

            พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงมีผู้สืบทอดพระธรรมอันเป็นเลิศคือ พระสมันตภัทร บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายกุศลทั้งปวงเป็นบูชาแด่พระสมันตภัทร ขอให้ ปัญญา บารมี จริยวัตรของข้าพเจ้าจงดำเนินตามพระองค์ ขอกายวาจาใจ จงสะอาดบริสุทธิ์ จิรยาวัตรทั้งปวง ทั้งพุทธเกษตรทั้งหลายจงสะอาด บริสุทธิ์ ปัญญาอันล้ำเลิศนั้นก็คือ พระปัญญาแห่งพระสมันตภัทร ขอข้าพเจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรตามเสด็จพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์  (คาถา 4 บาท)

            ช้าพเจ้าขอตามเสด็จพระสมันตภัทรและพระมัญชุศรีโพธิส้ตว์ด้วยใจอันบริสุทธิ์ โพธิสัตว์แห่งทั้งสองพระองค์นั้นมิอาจประมาณได้อาจดำเนินไปโดยเป็นนิรันดร์ปราศจากความเบื่อหน่ายและเมื่อยล้า (หากว่า)  การบำเพ็ญเพียรของข้าพเจ้าปราศจากขอบเขต บังเกิดมหากุศลมิอาจประมาณ ขอถวายไว้แด่การบำเพ็ญทั้งปวง (แห่งพระองค์ทั้งสอง) ข้าพเจ้าตระหนักถึงพลานุภาพ (แห่งพระองค์) อย่างถ่องแท้ พระมหาปัญญาแห่งพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ อีกทั้งจริยาวัตรแห่งพระสมันตภัทรโพธิสัตว์นั้นประเสริฐ มิอาจประมาณได้ บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายกุศลทั้งปวงเป็นบูชาแด่พระมัญชุศรี และพระสมันตพภัทร ขอตามเสด็จพระมาหโพธิสัตว์ทั้งสอง  (คาถา 6 บาท)

            พระพุทธเจ้าในไตรภพ ล้วนทรงสรรเสริญมหาปณิธานอันประเสริฐยิ่งนัก บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายบุญกุศลทั้งปวง (เป็นพุทธบูชาแด่พระองค์) เพื่อข้าพเจ้าจักสามารถยังจริยาวัตรอันประเสริฐได้ดั่งพระสมันตพภัทรมหาโพธิสัตว์

            เมื่อข้าพเจ้าจักถึงกาลมรณะ ขออุปสรรคทั้งปวงจงปลาสนาการไปขอให้ได้แลเห็นพระอมิตาภพุทธเจ้า ขอให้ได้ไปบังเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตรและเมื่อข้าพเจ้าได้ไปบังเกิดในวิสุทธิภูมินั้นแล้ว ขอบรรลุถึงหมาปณิธานนี้โดยบริบูรณ์ เพื่อยังประโยชน์แด่สรรพสัตว์ทั้งปวง ณ มหาปทุมสันนิบาติแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้านั้นบริสุทธิ์ งดงาม เมื่อข้าพเจ้าได้ไปอุบัติในปทุมทิพยสถานอันประเสริฐนั้นแล้ว ได้ประจักษ์ถึงพุธรัศมีอันมีอาจประมาณได้ด้วยตาของข้าพเจ้าเอง เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าพระโลเกศวร และได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว สามารถบรรลุถึงพุทธภูมิ นิรมาณกายได้นับไม่ถ้วนทรงปัญญาอันยิ่งใหญ่ไพศาลทั้งทศทิศ (เพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ (คาถา 8 บาท)

            ตลอดจนโลกแห่งความว่างเปล่านี้หมดสิ้นลง ตลอดจนสรรพสัตว์ และบ่วงกรรมหมดสิ้นลง เมื่อสรรพสิ่งหมดสิ้นลง แต่มหาปณิธานอันข้าพเจ้าตั้งมั่นแล้วจักไม่มีสูญสิ้น (คาถา 2 บาท)

            ภพทั้งปวงในทศทิศอันมิอาจประมาณได้ มีรัตนมณีอันมีค่ามหาศาลถวายเป็นพุทธบูชา ประสงทสิ่งอันสันติแก่ทวยเทพและมวลมนุษย์ผ่านไปนับกัลป์จนมิอาจคำนวณได้ หากมีผู้ใดตั้งปณิธานดังนี้ เมื่อได้สดับแล้วบังเกิดศรัทธาเชื่อมั่น บำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุถึงโพธิญาณ ณ จักบังเกิดอานิสงส์เป้นอเนกอนันต์ (คาถา 4 บาท)

            ละเว้นจากอกุศลกรรมทั้งหลาย พ้นจากเหล่าอธรรมทั้งปวงชั่วนิรันดร์ได้ชื่นชมพระสิริแห่งพระตถาคตเจ้าอันปราศจากขอบเขตในเร็ววันนี้คือ มหาปณิธานอันยิ่งใหญ่แห่งพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ (คาถา 2 บาท)

            กุลบุตรอันสั่งสมกุศลย่อมมีอายุขัยยืนยาว ได้กลับมาบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ได้บรรลุมรรคผลในเร็ววัน ได้ตามเสด็จพระมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ (คาถา 2 บาท)

ในอดีตด้วยเหตุเพราะปราศจากปัญญา จึงได้ก่ออกุศลกรรมทั้ง 5 อันจักต้องเสวยผลกรรมนั้นตลอดไป หากได้สาธยายมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ ทุกขเวทนาทั้งหลายจักสูญสิ้นไปในพริบตา (คาถา 2 บาท)

ไม่ว่าชาติกำเนิดจะแตกต่างกันเพียงใด รูป เสียงวรรณะ จะต่างกันพียงใด แต่ปัญญานั้นบริบูรณ์ เหล่ามาร อกุศลกรรมทั้งหลายมิอาจให้ร้าย ทำลายได้ ควรแก่การรับการบูชาจากทั้งไตรภพ (คาถา 2 บาท)

ประทับทรงสมาธิอยู่เบื้องใต้พระศรีมหาโพธิ สยบหมู่กิเลสมารทั้งหลาย บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เคลื่อนพระธรรมจักรโปรดสรรพสัตว์ทั้งปวง  (คาถา 2 บาท)

หากมีกุลบุตรใดอ่าน สาธยาย สรรเสริญ มหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ ย่อมบังเกิดมหากุศลมีพระตถาคตเจ้าเท่านั้นทรงอาจประมาณได้ จักได้บรรลุถึงพุทธยานอันสูงสุด(คาถา 2 บาท)

หากมีกุลบุตรใดกระทำสาธยายมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ แม้เพียงเล็กน้อย ย่อมบรรลุถึงโพธิญาณได้ ปณิธานทั้งหลายไม่ว่าน้อยใหญ่ย่อมบรรลุผลได้ นำไปสู่ปณิธานแห่งสรรพสัตว์อันมีจิตวิสุทธิ์และผ่องใส (คาถา 2 บาท)

ด้วยมหาจริยาวัตรแห่งพระสมันตพภัทรโพธิสัตว์ อันเปี่ยมด้วยมหากุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล ข้าพเจ้า ขออุทิศกุศลนั้นแด่สรรพสัตว์ ขอสรรพสัตว์ที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏจงบรรลุถึงพุทธภมิโยทั่วกัน (คาถา 2 บาท)

                            เมื่อพระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์ ตรัสคาถานี้เฉพาะพระพักตร์พระตถาคตเจ้าบริบูรณ์แล้พระสุธนกุมารรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก พระโพธิสัตว์ทั้งปวงต่างปิติโสมนัส พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสรรเสริญสัมโมทนียกถา สาธุ สาธุ

                เมื่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสต่อพระอริยะ และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายถึงพระธรรม อันเป็นเครื่องเปลื้องทุกข์ซึ่งทรงค่ายิ่งนักเกินพรรณนา พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ทรงเป็นองค์แทนแห่งพระมหาโพธิสัตว์ทั้งปวงและพระอรหันตขีณาสพผู้ละกิเลสแล้ว 6,000 รูป พระเมตไตรยโพธิสัตว์ทรงเป็นองค์แทนแห่งพระโพธิสัตว์ในภัทรกัลป์ปัจจุบันกาลนี้ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงเป็นองค์แทนแห่งโพธิสัตว์ที่จักตรัสรู้ในอนาคตกาล อันทรงควรสถานะแห่งการอภิเษก พระมหาโพธิสัตว์ทั้งปวงจากโลกธาตุทั่วทั้งทศทิศที่มาชุมนุม ณ มหาสันนิบาต และพระอริยะอันเสด็จมาจากพุทธเกษตรทั้งหลายพระสารีบุตรเถรเจ้าทรงเป็นองค์แทนแห่งพระสาวก เทพยดา มนุษย์ พญานาค ยักษ์ อสุรกาย แลอมนุษย์

                สรรพสัตว์ทั้งหลายเมื่อได้สดับพระธรรมอันพระตถาคตเจ้าตรัสแล้วล้วนปิติชื่นชมโสมนัสยิ่งนัก ล้วนบังเกิดศรัทธาโดยบริสุทธิ์ และน้อมรับไปสนองพระพุทโธวาท

ภาคผนวก

                1 อวตํสกสูตร หรือ พุทธาวตํสกมหาไพบูลยสูตร ที่ฝ่ายมหายานถือว่าพระพุทธองค์เทศนาแก่ปวงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ชั้นสูงมีพระมัญชุศรี พระสมันตภัทร ฯลฯ เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ แต่ในระยะกาลระหว่างพุทธปรินิพพานแล้ว 500 ปี พระสูตรอันลึกซึ้งยังมีถึงกาลอันจะแพร่หลายต่อมา เมื่อถึงยุคท่านอัศวโฆษได้เขียนหลักธรรมในพระสูตรนี้ออกเผยแพร่ในนามมหายานศรัทโธปาทศาสตร์ สืบมาอีกนาคารชุนได้ไปเมืองพญานาคศึกษารพระสูตรนี้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในนาคมณเฑียร นาคารชุนได้ท่องพระสูตรนั้นจนจำได้คล่องแคล่ว จึงได้กลับขึ้นมายังมนุษยโลก แล้วจารพระสูตรนี้ลงสู่คัมภีร์ อวตํสกสูตร จึงได้แพร่หลายในมนุษยโลกกล่าวกันว่าพระสูตรนี้มี 3ฉบับๆที่แพร่หลายนั้นเป็นฉบับเล็ก ประกอบด้วยโศลกถึงหนึ่งแสนโศลกแบ่งเป็น 48 ปริวรรต ฉบับกลางว่ามีถึง 1,098,800 โศลก แบ่งเป็น 1,200ปริวรรต ส่วนฉบับใหญ่นั้นว่ามีโศลกอันคถานับมิได้ ราวพุทธศตวรรษที่ 9 พุทธภัทรได้แปลพระสูตรนี้ ออกสู่พากย์จีน ต่อมาในแผ่นดินถัง ศึกษานันทะได้แปลอีกฉบับหนึ่ง ถือกันว่าเป็นฉบับสมบูรณ์ ตั้งแต่พระสูตรนี้ถูกแปลออกมาเป็นจีนพากย์ ก็ถูกอุปนิสัย่ของชาวจีนมาก มีผู้ศึกษากันแพร่หลาย ในราวพุทธศตวรรษที่ 10-11 คณะจารย์จีนชื่อ โต่วสุง ได้เขียนนิพนธ์เรื่อง ”ฮวบก่ายกวง” (ธรรมธาตุวิปัสสนาและ ”โหงวก่าจีกวง” (ปัญจศาสน์สมถวิปัสสนา)และสถาปนารากฐานของนิกายฮัวเงี้ยมขึ้นต่อมาคณาจารย์ฮวงจั๋งหรือ เฮี่ยงซิ้วได้เขียนอรรถกถาหลักธรรมใน อวตํสกสูตร นิกายฮัวเงี้ยมจึงเจริญรุ่งเรือง บางทีนิกายนี้ก็ชื่อว่าเฮี่ยชิ้วจงตามนามของคณาจารย์เฮี่ยงชิ้วนิกายนี้มีอิทธิพลคู่เครียงกับนิกายเทียนไท้มาตลอด(คัดจากปรัชญามหายานโดยเสถียร โพธินันทะ)

                2 อวตํสกสูตร มหายานถือว่าเป็นสูตรที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเองเป็นเวลา3สัปดาห์ ในขณะที่พระองค์เข้าสมาธิหรืออยู่ในภาพธรรมกาย อวตํสกสูตร นี้ต้นฉบับแปลที่สมบูรณ์มีอยู่ 2 ฉบับ คือ

                                2.1 ฉบับที่แปลโดย ท่านพุทธภัทร เป็นหนังสือ 60 เล่ม แปลในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ในระหว่างปีพ.ศ. 961-1063

                                2.2 ฉบับแปลของท่านศึกษานันทะ ซึ่งได้ทำการแปลในสมัยราชวงศ์ถัง ในระหว่างปี พ.ศ. 961-1242 เป๋นหนังสือ 80 เล่มจบ ในกาลต่อมา คือในปีพ.ศ.

1439-1440 ท่านปรัชญาได้เป็นผู้แปลอีกครั้งหนึ่ง ฉบับที่ท่านปรัชญาแปลเป็นหนังสือ 40 เล่ม หนังสือ 40 เล่มนี้รวมกับทศภูมิสูตร และสูตรอื่นๆ อีก จึงเป็นอวตํสกสูตร ฉบับสมบูรณ์

                ใจความสำคัญของพระสูตรนี้ก็คือ “เมื่อเราพิจารณาโศลกในแสงจิตภาพของพระไวโรจนพุทธ พุทธที่สูงสุดหรือธรรมกาย เราเห็นโลกเต็มไปด้วยความแจ่มใส เห็นโลกแห่งแสงบริสุทธิ์แท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นหนึ่ง หนึ่งนั้นคือสัจจะสูงสุด พุทธะ จิต สรรพสัตว์เป็นหนึ่ง

                อนึ่ง เป็นที่สังเกตว่า ผู้สั่งสอนในสูตรนี้มิใช่พระพุทธเจ้าหากแต่เป็นพระโพธิสัตว์กับเทวดา และในสูตรนี้เองยังได้อธิบายว่า เป็นการสั่งสอนตามเจตจำนงของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

                ส่วนในคัณฑวยูหสูตรนี้ เป็นสูตรที่บรรยายการจารึกแสวงหาโมกขะธรรมของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “สุธน” ซึ่งมีเรื่องอยู่ว่า

                สมัยหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ ณ เชตวนาราม ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ท่ามกลางหมหู่พระโพธิสัตว์ 500 ซึ่งมีพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นหัวหน้า พระโพธิสัตว์เหล่านั้นกำลังคอยฟังพระรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าอยู่ แต่พระพุทธเจ้าทรงเข้าสมาธิ พร้อมกับได้ทรงเนรมิตพระเชตวนารามให้ใหญ่โตอย่างหาขอบเขตมิได้ พระโพธิสัตว์จากสิบทิศได้พร้อมกันมาเฝ้าพระองค์ และได้แต่งโศลกสรรเสริญพระองค์ พระพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งรัศมีออกจากระหว่างขนตาพระองค์ ส่องสว่างเห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และสว่างทั้งสิบทิศ เป็นเหตุให้ดวงใจของพระโพธิสัตว์ทั้งมวลเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณา เพื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อสรรพสัตว์

                พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ จึงได้ท่องเที่ยวสั่งสอนประชาชนในที่ต่างๆ สมัยหนึ่ง ในขณะที่กำลังพักสั่งสอนประชาชนอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่ง ในแคว้นธัญยการะ มีเด็หนุ่มในตระกูลมั่งคั่งคนหนึ่งชื่อ “สุธน” นั่งฟังธรรมอยู่ในที่ชุมนุมนั้นด้วย สุธนนี้นั่งฟังด้วยความปรารถนาเพื่อศึกษา พระมัญชุศรีโพธิสัตว์จึงได้แนะนำแก่เขาว่า “ในการแสวงหาสัจธรรมนั้นเธอต้องแสวงหาเพื่อนที่แท้จริงคอยช่วยเหลือเธอ จงไปที่ภูเขาโยโฮ ประเทศโษรกุ ณ ที่นั้นเธอจะพบสครเมฆภิกษุ ท่านจะให้คำแนะนำที่ดีต่อเธอ”

                สุธนจึงได้เดินทางไปพบสครเมฆ ท่านได้สั่งสอนแก่เขาอย่างกว้างขวาง และแนะนำให้เขาไปหาเพื่อนคนอื่นๆ ต่อไปอีก โดยนัยนี้สุธนจึงได้เที่ยวไปหาสหายถึง 53 คน สุดท้ายได้ไปหาพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ อาศัยคำสั่งสอนของพระองค์ สุธนจึงได้บรรลุธรรมธาตุสัจจะสูงสุดเล่มสุดท้ายของคัณฑวยูหสูตร ได้กล่าวถึงคำปฏิญาณของสุธน และความปรารถนาของเขาในการที่ประสงค์ไปเกิดในสุขาวดีวยุหภพคำปฏิญาณของสุธนนั้นคือ

                1 ขอให้ได้สักการะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

                2 ขอให้ได้สรรเสริญพระตถาคต

                3 ขอให้ได้ถวายอุปัฐากแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์

                4 ขอขมาอกุศลกรรมในอดีต

                5 ขออนุโมทนากุศลกรรมทั้งปวง

                6 ขอมอาราธนา พระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงพระธรรม

                7 ขอทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงดำรงพระชนม์ต่อไป

                8 ขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบ

                9 ขออนุโลมตามสรรพสัตว์

                10 ขออุทิศกุศลทั้งปวงแก่สรรพสัตว์

                ทศภุมิสูตรนี้ ต้นฉบับยังเหลอถึงปัจจุบันมี 2 ฉบับ คือฉบับที่แปลโดยท่านธรรมรักษ์ ซึ่งแปลในปี พ.ศ. 840 กับฉบับของท่านกุมารชีพ ส่วนฉบับเดิมที่เป็นภาษาสันสกฤตนั้นมีอยู่ครบบริบูรณ์ ในสูตรนี้วัชรครรภะโพธิสัตว์ ได้บรรยายถึงข้อปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลบรรลุความเป็นโพธิสัตว์ ได้บรรยายถึงข้อปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลบรรลุความเป็นโพธิสัตว์ 10 ประการ

                1 ปฺมุทิตา                ชั้นนี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบารมีเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์

                2 วิมลา                   ชั้นนี้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี

3 ปรฺภากรี              ชั้นนี้พระโพธิสัตว์พิจารณาถึงสภาพอันแท้จริงของสิ่งทั้งหลาย แสวงหาธรรมเพื่อช่วยสัตว์ผู้ประสบทุกข์ โดยปฏิบัติขันติบารมีธรรม

4 อริสฺมติ                ชั้นนี้พระโพธิสัตว์ขจัดความคิดอันผิดๆให้หมดสิ้นไป บำเพ็ญวิริยะบารมี

5 สุทุรยฺชย              ชั้นนี้พระโพธิสัตว์มีความรู้สมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติธฺยานบารมีหรือสมาธิ

6 อภิมุกฺต                อั้นนี้พระโพธิสัตว์เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดในปฏิจจสมุปบาท เป็นชั้นแห่งปรัชญาหรือปัญญาบารมี

7 ทุรงฺคม                 ชั้นนี้พระโพธิสัตว์เกิดความชำนาญในอุบายวิธีต่างๆแห่งปัญญา

8 อจล                     ชั้นนี้พระโพธิสัตว์อยู่ในสภาพที่ไม่เกิดไม่ตาย เกิดในพระพุทธศาสนา ยังภูมิแห่งพุทธของตนให้บริสุทธิปฏิบัติปรินามบารมี

9 สาทฺมติ                ชั้นนี้พระโพธิสัตว์มีปรัชญาของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์เต็มที่ สามารถสั่งสอนธรรมและปลุกสัตว์ให้ตื่นขึ้นจากอวิชชา เป้นชั้นบำเพ็ญพลบารมี

10 ธรฺแมฆ              ชั้นนี้พระโพธิสัตว์บรรลุชั้นสุดท้าย พระโพธิสัตว์จะมีอำนาจและลักษณะของพระพุทธทุกประการเป็นชั้นที่บำเพ็ญบารมีธรรม

                                (คัดจาก พุทธศาสนามหายาน โดย อภิชัย โพธิประสิทธิ์ศาสตร์)

(3) นิกายฮั่วเงี้ยมได้จัดแบ่งการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าออกเป็น 3 กาละ คือ

                1 ปฐมกาล พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดง อวตํสกมหาไพบูลย์สูตร อันมีอรรถลึกซึ้งสุขุมยิ่งนัก โปรดผู้ที่มีอินทรีย์ เป็นมหายานส่วนเดียว ยุคนี้มีอุปมาเหมือนพระอาทิตย์ที่เริ่มขึ้นในอรุณสมัยย่อมส่องต้องยอดภูเขา

                2 มัธยมกาล พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้มีอินทรีย์ทั้ง 3 ยาน เพื่อให้บรรลุถึงพุทธภุมิโดยลำดับ คือทรงแสดงพระสูตรต่างๆของฝ่ายสาวกยาน ไวปูลยะปรัชญาปารมิตาอันเป็นของฝ่ายมหายานเป็นต้น

                3 ปัจฉิมกาล พระพุทธองค์ทรงสรุปหลักธรรมในยานทั้ง 3 เป็นยานเดียว จึงทรงแสดง สัทธรรมปุณฑริกสูตร มหาปรินิรวาณสูตร อุปมาเหมือนอาทิตย์อัสดงคต ย่อส่องแสงต้องยอดภูผาอีกวาระหนึง  (คัดจาก ปรัชญามหายาน โดยเสถียร โพธินันทะ)


 

นอร่าริมโปเชวิสัชชนา

ดาวน์โหลดตัวอักษร (ฟ้อนต์) ทิเบตทั้ง ๓ แบบ เพื่อความสมบูรณ์ในการชมเว็บ

actisan.ttf

adtibet.ttf

atibet.ttf


uptime alert service

website monitor

View My Stats