- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 05 มกราคม 2556 09:19
- เขียนโดย Astro Neemo
พระถังซำจั๋ง
37.40
ในวันนี้ขอเสนอชีวประวัติของนักธุดงส์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง พระถังซำจั๋ง ที่ชาวไทยรู้จักกันดี พระถังซำจั๋งส่วนมากรู้เชื่อว่าส่วนมากเคยดูหนัง พระถังซำจั๋งนั้นมีตัวจริง แต่เรื่องราวในนิยายที่นำมาสร้างหนังเป็นเรื่องแต่ง เรื่องไซอิ๋วที่เราเอามาแปลกันนะ เป็นเรื่องแต่งขึ้นสำหรับเล่นงิ้ว ที่ว่าพระถังซำจั๋งมีลูกศิษย์ 3 คน มีเห็งเจียคนหนึ่งเป็นลิง โป๊ยก่ายคนหนึ่งเป็นหมู แล้วซัวเจ็งคนหนึ่ง สามคนนี้เป็นตัวบุคคลาธิษฐาน อุปมากับกิเลส เห็งเจียเป็นตัวโทสะ โป๊ยก่ายเป็นตัวราคะ เพราะแกเจอพวกปีศาจผู้หญิงไม่ได้ เช่นปีศาจนางแมงมุม โป๊ยก่ายเป็นหลง กินจุ นอนมากเป็นตัวราคะกินไม่รู้อิ่ม เสพกามไม่รู้พอ เหมือนโป๊ยก่ายเหมือนหมูกินรู้อิ่ม ครั้นเมื่อเสพแล้วก็เอาแต่จะหลับนี่เป็นตัวราคะ หน้าตาเป็นหมูท้องพองพลุ้ง ท่านเห็งเจียเป็นจ้าวโทสะ เอะอะก็จะฆ่าจะตีปีศาจ ตัวเห็งเจียโกรธเก่ง แต่ลักษณะเห็งเจียโกรธง่ายหายเร็ว พระยูไลในเรื่องไซอิ๋วทรงขังเห็งเจียไว้ในถ้ำ แล้วก็มีฮู้วิเศษยันต์ปิดเอาไว้ พยากรณ์ว่าถ้าเมื่อไรพระถังซำจั๋งไปประเทศไซทีผ่านมาว่าคาถาบทหนึ่งแล้วก็ ฮู้ก็ขาด คือยันต์ขาดออกมาแล้วละก็ เห็งเจียก็พ้นจากการทรมานกักขังในถ้ำได้ เห็งเจียถูกขังอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายหมื่นปี เฝ้ารอพระถังซำจั๋ง จนกระทั่งพระถังซำจั๋งเดินทางผ่านมาประเทศไซที ประเทศไซทีคือประเทศอินเดียนั่นเอง คือประเทศตะวันตกผ่านมา
พระถังซำจั๋งตามประวัติเล่าว่าเป็นพระเนื้อหอม ใครกินเนื้อพระถังซำจั๋งจะมีอายุยืนตั้งหมื่นปี มีฤทธิ์ ปีศาจทั้งหลายจึงชอบตามจับพระองค์นี้มากินนัก ปลอมเป็นต่างๆมาล่อมาหลอก พระถังซำจั๋งท่านผ่านมา เห็งเจียท่านก็ร้องให้ช่วย เมื่อท่านเลิกยันต์แล้ว เห็งเจียก็อาละวาดอวดดี ท่านก็มีคาถาว่ากำกับ ว่าคาถากำกับแล้วเห็งเจียปวดหัวทุกที อาละวาด มุทะลุ พระอาจารย์ก็ว่าคาถา ก็ปราบเห็งเจียอยู่มือ อันนี้ก็เป็นธรรมาธิษฐานเล่าบอกว่า พระถังซำจั๋งว่าคาถาเปรียบเหมือนระลึกถึงธรรมะ เวลาเกิดโทสะแล้ว หากใจเราหยุดชะงักระลึกถึงธรรม โทสะก็ต้องพ่ายแพ้ไป อันนี้ผู้แต่งไซอิ๋วต้องการแต่งเป็นรูปบุคคลาธิษฐาน แต่ความจริงออกมาเป็นธรรมาธิษฐาน
ซัวเจ๋งเป็นตัวโมหะ เดิมเป็นปีศาจร้าย แต่ถูกเห้งเจียปราบ แล้วเห้งเจียพาให้มาสวามิภักดิ์ ถวายตัวให้กับพระถังซำจั๋งเป็นลูกศิษย์ ซัวเจ้งเป็นตัวโมหะเป็นคนที่ทำอะไรซึมๆ ไม่มุทะลุตึงตัง เป็นลักษณะของคนเจ้าโมหะ มีลักษณะน้ำนิ่งไหลลึก พิษสงซัวเจ้งมีรอบตัวแต่นานๆแสดงที ไม่แสดงบ่อยๆเหมือนอย่างกับเห้งเจีย พอดีวางลูกศิษย์ของพระถังซำจั๋งสามตัว คือตัวกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ เขาเอามาเขียนเป็นรูปบุคคลาธิษฐานให้เห็นหน้า ไอ้ตัวปีศาจต่างๆ ปีศาจแมงมุมบ้าง ปีศาจกระบือบ้าง ปีศาจแรตบ้าง พวกกิเลส มารทั้งหลายที่มาคอยขัดขวางการเดินทางของพระถังซำจั๋งไม่ให้ไปประเทศไซทีสำเร็จ เรื่องนี้เป็นเรื่องไซอิ๋วสำหรับแต่งให้ผู้ใหญ่อ่านสนุก เด็กอ่านเพลิน และงิ้วเอาไปเล่นได้ แต่ความจริงไม่มีเรื่องจริงอย่างนั้นหรอก ไม่มีเรื่องฤทธิ์เดชมากมายอย่างนั้นหรอก นั้นเป็นเรื่องนิยาย ข้อเท็จจริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระถังซำจั๋งมีตัวจริง มีชีวประวัติที่น่าทึ่งจริง ท่านมีชีวิตอยู่ในสมัย พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ หรือที่เรียกว่าลี้ซีบิน อันเป็นกษัตริย์องค์ที่สามของราชวงศ์ถัง เป็นมหาราชองค์หนึ่ง ได้แผ่จักรวรรดิออกไป ทิศตะวันออกจดเกาหลี ทิศตะวันตกจดทะเลสาบแคสเบียน ทิศเหนือจดรัสเซีย(เวลานั้นรัสเซียยังไม่เกิด) จดไซบีเรีย ทิศใต้ ตีได้ญวน จำปา เขมรเป็นเมืองขึ้น มหาจักรวรรดิถังอันยิ่งใหญ่แผ่ไปหมดทั้งจตุทิศ
ท่านถังซำจั๋งองค์นี้ เกิดในสกุลแซ่ตั๊ง บิดาเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย มีพี่น้องเป็นชายด้วยกัน 2 คน พี่ชายบวชเป็นพระเป็นเปรียญอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในนครลกเอี๋ยน ส่วนน้องชายคือตัวท่านถังซำจั๋ง ชื่อเหี้ยนจังตั้งแต่เล็กก็ศึกษาปรัชญาขงจื้อ ตามแบบกุลบุตรจีนที่ดี บิดาตั้งใจจะให้รับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อบรมสั่งสอนในลัทธิขงจี้อเรื่อยมา พออายุ 7 ขวบ คัมภีร์ขงจื้อท่องด้วยปากเปล่าได้หมด ว่าปากเปล่าได้หมด ว่าได้คล่อง แต่ว่าบิดาได้ตายเสีย กำพร้าบิดาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เหลือแต่แม่ ตอนท่านอายุ 10 ขวบ กำพร้าแม่อีก พี่ชายเอาไปเลี้ยงไว้ในวัด พออายุ 12 ท่านก็บวชเป็นเณร เมื่อบวชเป็นเณรแล้วก็ศึกษาพระธรรมวินัย มีความรอบรู้แตกฉานเป็นธรรมกถึกอายุ 14 มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศ ใครก็นิมนต์ไปเทศน์ ตอนอายุ 14 รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกตั้งแต่นั้นมา เมื่ออายุครบอุปสมบทแล้ว ก็อุปสมบทเป็นนาคหลวง พระเจ้าถังไท่จงโปรดให้บวชนาคหลวงขึ้นในราชธานี
เมื่อบวชเสร็จเดินทางไปเทศนาสั่งสอน ทั้งจีนเหนือ จีนใต้ ทั่ว 18 มณฑลในเมืองจีน ก็เห็นว่าพระธรรมวินัยที่แปลๆกันมาแต่ก่อนนี้ยังมีบกพร่องอยู่นะ เพราะว่าท่านผู้แปลเป็นพระชาวอินเดียมาแปลเป็นจีนแล้วก็รู้ภาษาจีนไม่ลึกซึ้งพอ ก็คงจะมีอะไรคลาดเคลื่อน ท่านก็ตั้งอธิษฐานใจว่าในชีวิตนี้ จะต้องเดินทางไปศึกษาถึงอินเดียด้วยตัวเอง ไปถึงต้นตอเลย จึงชักชวนบรรดาเพื่อนฝูงมิตรสหาย สหธรรมิกว่า เราจะไปอินเดียกัน ชักชวนได้ 20 กว่าคนด้วยกัน ตกลงว่าจะไปอินเดียกันแน่ละไม่กลัวอุปสรรคละ จะไปกัน จะไปทางบกเข้าทะเลทรายโกบีกัน พอตกลงกันมั่นคงก็พอดีเกิดพระราชโองการ ออกกฎหมายขึ้นมาใหม่ฉบับหนึ่ง เวลานั้นจีนกำลังทำศึกกับพวกเตอรกีในทะเลทรายเตอรกี พระเจ้าถังไทจงก็ออกเป็นกฎหมายว่า ห้ามคนในออกคนนอกเข้า ห้ามไม่ให้คนในประเทศเดินทางไปทางตะวันตก คนนอกไม่ให้เข้ามา เมื่อเป็นกฎหมายแล้วบรรดาสหธรรมิกก็ท้อแท้ใจว่าคงเห็นจะไปไม่ได้เสียแล้ว ก็เลิกล้มความตั้งใจ มีแต่ท่านเฮี้ยนจังคนเดียว บอกว่าเราได้อธิษฐานเปล่งวาจาออกไปแล้ว ระรักษาสัตย์ แม้ว่าถึงชีวิตก็ยอม แต่การไปต้องลักลอบไปนะเป็นการผิดกฎหมายแล้วนี่
ท่านก็เดินทางมาถึงเมืองชายแดน เมืองตุนหวงที่ว่ามีถ้ำ 5000ถ้ำนี่แหละ เป็นเมืองชายแดนติดกับทะเลทราย พอมาถึงถ้ำเมืองตุนหวงท่านก็เที่ยวถามไถ่ว่าจะมีใครรับจ้างนำท่านเข้าทะเลทรายโกบีบ้าง ไม่มีใครกล้ารับอาสา เขากลัวกันทั้งนั้น เขาว่า ท่านไปองค์เดียวไม่ได้หรอก พ่อค้ากองคาราวานเข้ามากันตั้งเป็นร้อยๆ เขายังไปตายกันในทะเลทรายเลย ท่านองค์เดียวกันคนนำทางอีกคน 2 คน 2ชีวิต มีหรือจะรอดได้ อย่าไปเลยตายเปล่า อย่าไปให้มันลำบากเลย ท่านก็นิ่ง
วันหนึ่ง มีโป๊แก่คนหนึ่งจูงม้าผอมๆสีแดงมาหาท่าน บอกว่าจะขายมาให้ท่าน ท่านบอกว่าม้าตัวนี้ผอมๆ โป๊แก่บอกว่า ท่านอย่าดูถูกนะ ม้าของผมตัวนี้ผมอาศัยขี่ข้ามทะเลทรายโกบีมา 7 เที่ยวแล้วนะ มันคุ้นเคยภูมิประเทศนะท่านนะ ท่านเหี้ยนจังก็ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อาตมาซื้อ ขอซื้อจะอาศัยขี่ข้ามทะเลทราย ก็ซื้อกับโป๊แก่คนนี้ วันนั้นพอดีมีหมอดูคนหนึ่งเป็นหมอดูเสี่ยงลูกเต๋า มาพักในวัด ท่านก็ลองบอกเออหมอลองเสี่ยงทายสิว่าอาตมาจะไปอินเดียสำเร็จไหม หมอก็เสี่ยงทาย บอกว่าสำเร็จแน่ รับลองเป็นศุภนิมิตดีสำเร็จ
คืนนั้นท่านได้ตั้งอธิษฐานกับพระประธานในโบสถ์ บอกว่าอาตมาภาพตั้งจิตอธิษฐานไว้ หมายมุ่งจะไปอินเดียเมืองฌาน ต้องการจะศึกษาพระธรรมวินัยของพระศาสดาด้วยตัวเอง แล้วนำกลับมาเผยแพร่ให้เป็นหิตานุหิประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติ ขอให้พระรัตนตรัยได้แสดงนิมิตให้ปรากฏว่าจะไปได้สำเร็จ พอหลับไปก็เกิดนิมิตฝันว่า ตัวท่านลงไปในทะเลแห่งหนึ่งน้ำทะเลเต็มทะเลมีคลื่น มีพวกปลาร้ายว่ายเวียนวนอยู่ไปมา ในกลางใจกลางทะเลมีภูเขาลูกหนึ่งบนนั้นมีปราสาท มีแสงสว่าง เป็นแส้ อยู่บนปราสาทนั้น ไอ้ความอยากจะไปก็อยากจะไปใจจะขาด แต่หาเรือไปก็ไม่มี ในที่สุดก็ตัดใจ เอาละยอมตายก้าวพรวดลงในน้ำเลย พอก้าวลงในน้ำก็เกิดดอกบัวหินขึ้นมารับ ทุกฝีก้าวกระทั่งถึงภูเขาลูกนั้น ท่านก็สะดุ้งตื่นดีใจ เพราะว่าที่นิมิตฝันอย่างนี้เป็นศุภนิมิตแล้ว ต้องไปอินเดียสำเร็จแน่แล้ว
วันต่อมาท่านก็เตรียมอาหาร อาหารที่เตรียมไปก็มีพวก ข้าวตู แล้วก็มีน้ำ น้ำเพื่ออาศัยกินในทะเลทราย ไปเยือกใหญ่ๆ ใส่ถุง ถุงที่ทำด้วยหนังสัตว์ แล้วขี่ม้าสีแดงตัวนี้ไป ออกเดินทางไปได้ประมาณสักสองสามชั่วโมง เจอหนุ่มคนหนึ่ง มาบอกว่าอาจารย์ครับผมจะขอไปด้วย ผมรับอาสา คืนนั้นหนุ่มอาสาคนนี้ อาการผิดสังเกตมันลุกขึ้นมาจากที่ ถอดอาวุธออกมาจากตัววิ่งตรงมาหาท่าน นึกว่าจะมาจี้ท่านแล้ว พอมาเข้าใกล้ตัวท่านเอาแต่นอนนิ่งไว้ นึกว่ามันเข้าใกล้ตัวเป็นได้สู้กันละ พอเข้าใกล้ตัวมันกับถอย แล้วก็คลานกลับไปที่นอนตามเดิม ท่านก็ไม่หลับ เอาผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นมาสวดมนต์ให้มันได้ยิน ภาวนาถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกวนอิม ภาวนาถึงท่าน ไอ้หนุ่มคนนี้รุ่งเช้าก็บอกว่าอาจารย์ผมไปกับท่านไม่ได้แล้ว ผมยังมีลูกมีเมียอยู่
ไฟต์36
พูดถึงประวัติของพระเถระองค์สำคัญในประวัตสาศตร์พุทธศาสนาของจีน คือพระสมณะเหี้ยนจัง พูดได้ครึ่งตอน วันนี้จะได้ดำเนินอานิสงส์สืบต่อไปจากคราวที่พูดแล้วนะครับ คือท่านสมณะเหี้ยนจัง เมื่อใช้ชีวิตที่ท่านมาอินเดียเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยตามสำนักคณาจารย์ต่างๆ ปรากฏว่าเกียรติประวัติของท่านนอกจากจะเป็นที่ เชิดชูในหมู่ชาวพุทธในอินเดียในครั้งกระนั้นแล้ว แม้แต่พระมหากษัตริย์ต่างนครก็ยังแย่งกันเป็นโยมอุปฐากของท่าน โยมอุปฐากของท่านคนสำคัญก็คือ พระจักรพรรดิศีลาทิตยะ หรือเรียกกันว่าพระเจ้าหรรษวรรธน กษัตริย์แห่งแคว้นกะนาว ซึ่งเป็นมหาราชาในอินเดียที่มีบุญญาธิการมาก แผ่อนุภาพไปทั่วทั้งอินเดียปักษ์เหนือ ปักษ์ใต้ ตะวันออก ตะวันตก อีกองค์หนึงคือพระเจ้ากุมารราชา กษัตริย์ แห่งแคว้นอัสสัม ในเบงกอลปัจจุบันนี้ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ต่างพากันแย่งเป็นโยมอุปฐากของท่านเหี้ยนจัง ถึงกันพระเจ้ากุมารราชาท้าทายพระเจ้าศีลาทิตย์ว่า ถ้าพระองค์จะแย่งสมณะจีนรูปนี้จากข้าพระองค์แล้ว พระองค์ก็จงแย่งศีรษะของข้าพระองค์ไปเสียก่อน พระเจ้าศีลาทิตย์ได้ฟังเช่นนั้นก็เกรี้ยวกราด บอกว่า เอาละถ้าเช่นนั้นเราปรารถนาจะดูเศียรของพระเจ้ากุมารราชาเสียก่อน พระเจ้ากุมารราชาพอถูกพระเจ้าศีลาทิตย์ที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่าขู่เช่นนี้ ก็มีความตกพระทัย เลยต้องยินยอมส่งท่านสมณะเหี้ยนจังให้มาเฝ้าพระเจ้าศีลาทิตย์ เมื่อพระเจ้าศีลาทิตย์ได้มีโอกาสฟังธรรมจากท่านสมณะเหี้ยนจังแล้ว ก็เกิดศรัทธาปะสาทะดื่มด่ำถึงกับวิงวอนว่า ขอให้ท่านอย่ากลับไปเมืองจีนจงอยู่เป็นบุญเขตของโยมที่อินเดียเถอะ แต่ท่านสมณะเหี้ยนก็ไม่ติดในลาภสักการะ ได้ถวายพระพรไปว่า มหาบพิธ อาตมาภาพได้อุทิศชีวิตก็เพื่อจะศึกษาพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้าในแดนพุทธภูมิ เมื่อศึกษาจนแล้วก็จะได้นำสิ่งที่ศึกษาไปเป็นหิตานุหิประโยชน์ แก่สรรพสัตว์ผู้อยู่ในห้วงของอวิชชาในประเทศจีนโพ้น เพราะฉะนั้นมหาบพิธอย่าได้ขัดขวางกุศลเจตนา ของอาตมาภาพเลย ในที่สุดกษัตริย์ทั้ง 18 นครก็พากันพลัดเปลี่ยนกันเป็นโยมอุปฐากของพระจีนรูปนี้ นี่นับว่าในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาไม่เคยมีพระเถระรูปไหน ที่ได้รับเกียรติสูงอย่างท่านเหี้ยนจังรูปนี้เลย ที่มีกษัตริย์ถึง 18 ประเทศ หรือ 18 แคว้น แย่งกันเป็นโยมอุปฐากท่าน อย่างนี้ไม่เคยปรากฏเลย อย่างมาก็เพียงองค์สององค์เท่านั้นเอง หรืออย่างมากก็เพียงแต่ว่าเป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของกษัตริย์ในถิ่นของตัวเท่านั้นเอง แต่นี่ท่านเป็นพระต่างชาติต่างประเทศเดินทางมาในอินเดีย แล้วก็ได้รับการยกย่องจากชนชั้นปกครองของอินเดียขนาดนี้ เป็นครุประการอันยิ่งยอด
ท่านเหี้ยนจังได้ ใช้การศึกษาในอินเดียประมาณ 15 ปี แล้วก็ได้เดินทางกลับประเทศจีน โดยถือเอาเส้นทางผ่านทางเตอรกีสถาน ไม่ได้เดินอ้อมวกเหมือนอย่างมาเที่ยวแรก ในเที่ยวนี้เนื่องจากบรรดาพระมหากษัตริย์จากอินเดีย ได้ช่วยกันบวชเณร ช่วยกันส่งพวกมหาดเล็ก กับพวกลูกศิษย์ให้เป็นสัตยการกถวายความสะดวก กับท่าน เพราะฉะนั้นท่านก็ได้รับความสะดวกไปทุกหนทุกแห่ง ไปถึงถิ่นใดแคว้นใดได้รับการต้อนรับเสมอพระมหากษัตริย์ อันเจ้าบ้านผ่านเมืองในท้องถิ่นนั้นจะต้องออกมาต้อนรับเป็นทางราชการไปทุกหนทุกแห่งไป จวบจนกระทั่ง 2 ปีให้หลัง การเดินทางของท่านก็บรรลุเข้าชายเขตประเทศจีน ท่านเหี้ยนจังก็ดำริว่า เมื่อ 15 ปีก่อนโน้น เราลักลอบข้อบัญญัติของประเทศ ที่ห้ามไม่ให้คนในออก คนนอกเข้า บัดนี้เราก็มีความผิดของเรา ถ้ากระไรเราจะต้องทำหนังสือทูลขอขมาโทษกับพระเจ้าอยู่หัวเสียหน่อย ท่านเหี้ยนจังก็ร่างหนังสือทูลขอขมาโทษขึ้นว่า บังอาจล่วงล้ำกฎบัญญัติของบ้านเมือง ข้ามแดนมาเล่าเรียนในอินเดีย ถวายกับจักรพรรดิจีนที่นครโลยาง ซึ่งเวลานั้นคือหลีซีบิ๋น อันเป็นต่ำแหน่งจักรพรรดิเป็นพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้พอได้อ่านสมณะสาน์สของท่านเหี้ยนจังเข้าเท่านั้นก็เกิดปีติขนพองสยองเกล้า บอกว่า ท่านเหี้ยนจังนี้เป็นอัจฉริยะบุรุษแล้วเพราะคนปกติธรรมดาใครเลยที่จะสามารถ ไปโดดเดี่ยวตัวคนเดียวข้ามทะเลทราย ซึ่งเบื้องบนไม่มีสัตว์มีปีก เบื้องล่างไม่มีสัตว์เลื้อยคลานได้ ก็ท่านผู้นี้เท่านั้นเองแหละที่สามารถฟันผ่าอุปสรรค ไปถึงแดนพุทธภูมิเป็นผลสำเร็จ มิหน่ำซ้ำยังนำเกียรติประวัติของประเทศชาติไปเผยแพร่ยังดินแดนต่างประเทศจนกระทั่งได้รับยกย่อง เป็นพระเถระอันเยี่ยมยอดในอินเดีย กระทั่งบรรดาชาวพุทธในอินเดียได้ถวายเกียรตินามท่านว่า มหายานเทวะ คือท่านมหายานเทพ คือเป็นเทวดาของมหายาน เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวจีนเจ้าของชาติที่ท่านอยู่นี้ ถ้าไม่ต้อนรับท่านเอิกเกริกเป็นมโหฬาริกแล้วก็จะขายหน้าชาวต่างประเทศเขา พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้พระเจ้าอาของพระองค์ท่าน ไปเป็นผู้แทนต่างพระองค์นำกองขบวนเกียรติยศทหารสองหมื่นคน ไปรับท่านเหี้ยนจังที่ชายแดน แล้วให้แห่แหนมาทุกหัวเมือง มีพระราชสาน์สตอบไปว่า เรื่องความผิดแต่ก่อนๆนั้น พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้คิดเป็นความผิดเลย เพราะการกระทำของท่านเหี้ยนจังเป็นการกระทำประกาศเกียรติคุณของชาติของศาสนา ยากที่จะหาบุคคลที่มีจิตใจอย่างท่านทำได้ เพราะฉะนั้นนิมนต์ให้กลับมาไวๆ ถ้าหากว่ามีพระอินเดียรูปใดๆที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกแล้ว ให้นิมนต์มาด้วย เพื่อที่จะมาช่วยกันแปลพระธรรมวินัยออกสู่ภาษาจีน ท่านสมณะเหี้ยนจังซึ่งเมื่อ 15 -16ปีก่อนโพ้น ไปในฐานะหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ครั้นมา ณ บัดนี้มาในท่ามกลางกองเกียรติยศอันมโหฬาริก ในวันที่ท่านมาถึงนครหลวง พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกต้อนรับ บนมุขพลับพลาตั้งโต๊ะธูปเทียนเงินทอง ตั้งโต๊ะบูชาต้อนรับท่าน แล้วก็ออกราชโองการให้ทุกครัวเรือนราษฎรตั้งโต๊ะบูชาที่หน้าประตูบ้านของตัวทุกหนทุกแห่งไป เอาดอกไม้โรยตามถนนเป็นเครื่องสักการะท่าน แห่แหนท่านเหี้ยนจังเข้ามาในราชธานี แล้วก็นิมนต์ให้ท่านไปพักอยู่ในวัด ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่โดยเฉพาะ วัดนี้เป็นวัดซึ่งมกุฎราชกุมารองค์รัชทายาทอุทิศวังเดิมสร้างเป็นวัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พระราชชนนีพันปีหลวง ให้ชื่อว่าวัดไต้ชื่ออิมยี่ แปลว่าวัดมหาการุณคุณาราม แล้วก็นิมนต์ท่านเหี้ยนจังไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสร้างใหม่แห่งนี้ เวลาที่ท่านเหี้ยนจังได้เฝ้าหน้าพระที่นั่ง พระเจ้าถังไท่จงต้องการจะลองใจท่าน หรือมีวัตถุประสงค์เช่นใดก็เหลือที่จะเดาละ พระเจ้าถังไท่จงรับสั่งว่า พระอาจารย์เป็นผู้ที่มีความรู้รอบตัวมาก มีความเฉลียวฉลาด เพราะฉะนั้นโยมคิดอยากจะนิมนต์ให้สึกสาราเพศเสีย ออกมารับราชการช่วยกันทะนุบำรุงประเทศชาติ ในเพศฆราวาสต่อไป โยมจะแต่งตั้งให้เป็นอัครเสนาบดี ท่านเหี้ยนจังได้สดับเช่นนั้น ท่านก็นิ่งขรึมอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถวายพระพรว่า มหาบพิธ อาตมาภาพบวชเป็นเพศสมณะวิสัยตั้งแต่เยาว์วัย เรื่องการโลกีย์ วิชาโลกีย์ก็ศึกษาเป็นส่วนน้อย เพราะฉะนั้นให้อาตมาภาพฉลองพระเดชพระคุณของมหาบพิธในเพศสมณะต่อไปเถอะ อย่าให้ต้องมาฉลองพระเดชพระคุณในเพศฆราวาสเลย เพราะว่าฆราวาสที่เขาทรงวิชาความรู้ยิ่งกว่าอาตมาภาพมีเยอะ ท่านตอบอย่างนี้ พระเจ้าถังไท่จงก็รู้สึกชื่นชอบในพระทัยว่า พระนี่เป็นพระจริง เป็นพระแท้ พระองค์นี้ไม่ติดลาภ ไม่ติดสักการะ แม้แต่เอาสักการะมาล่อ เอาลาภยศเงินทองมาล่อก็ไม่ติด จะตั้งให้เป็นอัครเสนาบดีเลย แม้แต่จะตั้งให้เป็นสังฆราชก็ยังไม่รับเลย ซึ่งเหตุการณ์ที่แล้วๆมาเป็นเครื่องบ่งในตัวทีเดียว ก็เลยโปรดปรานท่านเหี้ยนจังมาก แม้แต่จะเสด็จไปเรื่องรบทัพจับศึกก็ขอให้นิมนต์ท่านเหี้ยนจังไปในกองทัพด้วยจะได้คุยธรรมะกัน ท่านเหี้ยนจังบอกไม่ได้ถวายพระพร พระวินัยห้ามไว้ ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ไปดูทหารเขารบกัน เพราะฉะนั้นอย่าให้อาตมาภาพต้องอาบัติด้วยข้อนี้เลย พระเจ้าถังไท่จงก็เลยอัดอั้นตันพระทัย แต่ก็มั่นมีพระราชสาน์ส มาถึงท่านเหี้ยนจังอยู่เนืองๆ แม้เวลาที่เสด็จไปราชการศึกก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ตลอดในชีวิตบั้นปลายของท่านเหี้ยนจังตั้งแต่อายุ 40เศษ-60เศษ อันเป็นวัยมรณภาพของท่าน ตลอดระยะปัจฉิมวัยท่านอุทิศกาลเวลาทั้งหมด ในการแปลตำรับตำราในพระศาสนา จากภาษาสันสกฤตออกเป็นภาษาจีน ผลงานที่ท่านทำนั้นคือแปลคัมภีร์ในพุทธศาสนาเป็นจำนวน 74 ประกรณ์ คิดเป็นจำนวนผูกลานประมาณพันกว่าผูก นี่เป็นผลงานอมตะที่ท่านฝากไว้ในวรรณคดีพุทธศาสนา ท่านแบ่งเวลาของท่านอย่างนี้ คืนหนึ่งนอนเพียง 4 ชั่วโมง แล้วก็รุ่งเช้า ห้าโมงตีห้า ตอนเช้าท่านลุกขึ้นสวดมนต์ สวดเสร็จแล้วก็เตรียมงานสำหรับแปลในตอนสาย ว่าวันนี้จะแปลหน้าไหนถึงหน้าไหน ตั้งแต่ลานผูกไหนถึงผูกไหน ท่านเตรียมอ่านสันสกฤตไว้ก่อน ที่ไหนมีศัพท์ที่เป็นปัญหาท่านก็จะได้ค้นคว้าหาคำแปลไว้เรียบร้อย พอตอนสายก็เริ่มลงมือแปล มีคณะกรรมการร่วมด้วย ที่พระเจ้าแผ่นดินแต่งตั้ง เรียกว่าคณะราชบัณฑิตมีทั้งพระทั้งคฤหัสถ์ ที่รู้ภาษาสันสกฤตดี รู้อักษรศาสตร์จีนดีมาเป็นผู้ช่วยท่าน ท่านอาจารย์เหี้ยนจังในฐานะท่านก็กางใบลานออก แล้วก็แปลปากเปล่าเป็นภาษาจีน ตามองสันสกฤต ปากก็แปลเป็นจีน แล้วก็มีเสขานุการคอยบันทึกคำแปลท่านไว้ เสร็จแล้วก็ส่งให้คณะกรรมการทางสำเนียงภาษาจีนชำระตรวจความให้สำเนียงสละสลวย ถูกต้องตามสำเนียงจีน แล้วให้ท่านชำระอีกทีกับต้นฉบับ คณะกรรมการที่ร่วมงานกับท่านนั้นมีประมาณ 20กว่าท่านด้วยกัน เป็นคฤหัสถ์ครึ่งหนึ่ง เป็นภิกษุสงฆ์ครึ่งหนึ่งที่มีความรู้ในพระไตรปิฎก ท่านทำอย่างนี้ กระทั่งถึงตอนเพล ฉันเพลเสร็จแล้วท่านก็สอนพระ มีพระจากสำนักต่างๆมาเรียนปริยัติกับท่าน มาไตร่ถามข้อสงสัยกับท่าน กระทั่งถึงเย็น เย็นท่านก็ทำวัตรสวดมนต์เย็น เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนค่ำ ท่านก็เทศนากับพวกคฤหัสถ์มีพวกคฤหัสถ์มารับธรรมโอวาสจากท่านต่างๆ พอตอนค่ำราวๆสัก 2 ทุ่มพวกคฤหัสถ์กลับกันแล้วท่านก็ให้กรรมฐานแก่บรรดาพระลูกศิษย์ แล้วก็ถ้าองค์ใดยังมีปัญหาคั่งค้างในการศึกษารอบเช้าก็นำปัญหาเหล่านี้มาถามท่าน กระทั่งถึงสองยามเที่ยงคืนจึงมีโอกาสจำวัด เป็นอย่างนี้เป็นกิจวัตรประจำจนกระทั่งอายุของท่านเข้าปีที่64 ปีนั้นท่านอาพาธ อาพาธเพื่อเกิดจากโรคที่ตอนท่านข้ามภูเขาหิมาลัยจะมาอินเดียเป็นโรคเรื้อรังมา ตอนนั้นก็ยังไม่ปรากฏพิษสงอะไรเพราะยังอยู่ในวัยหนุ่ม กำลังกายก็ยังกำยำอยู่ มาถึงตอนนี้ชราภาพแล้ว ไอ้โรคเก่าที่ตอนเข้าภูเขาน้ำแข็งก็กำเริบขึ้นมา ท่านก็เลยเห็นว่าจะหมดวาระของตัวจะใกล้มาแล้ว ท่านก็เลยลาพักงานแปลไว้ก่อน บรรดาลูกศิษย์ก็วิงวอนขอร้องบอกว่ายังมีพระสูตรอีกสูตรหนึ่งคือรัตนภูตาสูตร สูตรนี้มีปริเฉทมากเหลือเกิน เป็นคัมภีร์ลานตั้งร้อยกว่าผูก นิมนต์ท่านอาจารย์แปลคัมภีร์นี้ให้เสร็จเถิดครับ เพราะว่าถ้าไม่แปลแล้วใครเล่าจะเป็นคนแปลต่อไป ท่านพิจารณาตั้งร้อยกว่าผูกลานก็ บอกลูกศิษย์ไปว่าเห็นจะไม่ไหวแล้ว ชีวิตของฉันมันไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว ยิ่งงานแปลสูตรนี้เป็นสูตรใหญ่ตั้งร้อยกว่าผูก ถ้าแปลคั่งค้างไว้ สู้อย่าแปลดีกว่า ท่านก็ไม่ได้จับงานแปลอันนี้ต่อไป ท่านเลิกจับงานแปลก่อนหน้าท่านมรณภาพเพียง 4 เดือน ปิดหนังสือแล้วก็ตั้งหน้าทำจิตใจภาวนาต่อไป เอาประโยชน์ส่วนตัวละตอนนี้ ภาวนาเพื่อตัวเองต่อไป ชำระขัดเกลาบำเพ็ญสมาธิภาวนาเรื่อยไปทีเดียว ตอนนี้ กระทั่งลมเจ็บลุกไม่ขึ้น ท่านก็เรียกลูกศิษย์ที่เป็นอุปฐากมาสั่งบอกว่าถ้าฉันตายแล้ว อย่าทำศพฉันเอิกเกริกนะ ฉันเป็นพระ เอาเสื่อเก่าๆที่ฉันนอนศพอยู่นี้ ห่อศพฉันไปฝังเสียก็พอ ไม่ต้องไปเรี่ยไรเงินทองชาวบ้านมาทำศพฉันเอิกเกริก เปลื้องแรงงานเปลื้องเงินทองชาวบ้านเปล่าๆ เอาเงินทองของชาวบ้านเหล่านั้นมาพิมพ์ตำรับตำราในพระศาสนาเผยแพร่ดีกว่า ฉันดีใจถ้าทำอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นงานศพของฉันอย่างทำอะไรเอิกเกริกเลย ให้ทำตามอย่างศพของบรรพชิตแท้ๆ เอาเสื่อเก่าขาดๆห่อแล้วฝังก็แล้วกัน สั่งไว้อย่างนี้ เสร็จแล้วก็ให้ลูกศิษย์กางบัญชี บัญชีว่าในชีวิตของท่านได้แปลปกรณ์ในพุทธศาสนาไว้กี่ปกรณ์ ในชีวิตของท่านนี้ได้สร้างพระบทอุทิศแก่พระศาสนากี่แผ่น กี่รูป กี่ผืน แล้วก็ในชีวิตของท่านได้หล่อพระประธาน หล่อพระพุทธรูปแล้วกี่องค์ พออ่านจบท่านอนุโมทนา แล้วก็ท่านแผ่ส่วนให้กับสรรพสัตว์ว่า ผลบุญที่ข้าพเจ้าเหี้ยนจังทำนี้ของแผ่ให้แก่สัตว์ทั้งหลายด้วย แล้วขอเป็นพละหลักปัจจัยให้ข้าพเจ้าเหี้ยนจังเมื่อดับจิตจากทุกข์นี้แล้ว ก็ขอให้ได้ไปเฝ้าพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ในที่สุด ข้าพเจ้าเหี้ยนจังยังมีปัญหาธรรมอีกหลายข้อที่จะต้องไปทูลถามพระศรีอริยะเมตตรัยในดุสิต ให้เป็นที่แจ่มกระจ่าง เพราะฉะนั้นจึงสู่จุด หมายจะเฝ้าพระองค์ในที่สุดเถอะ อธิษฐานเช่นนี้แล้วก็ไม่พูดอื่นอีกเลย นอนตะแคงขวาอย่างปางปรินิพพาน สีหไสยาสน์ แล้วก็ภาวนาพระนามพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ กระทั่งวาระสุดท้ายดับอัสสาสะ ปัสสาสะด้วยกิริยาอาการอันสงบ พอข่าวท่านเหี้ยนจังดับขันธ์ทราบไปถึงพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวองค์นี้เป็นองค์ใหม่ องค์รัชทายาทขึ้นเสวยราชสมบัติ ชื่อว่าพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ พระเจ้าถังเกาจงพอรู้ข่าวมรณภาพก็ทรงพระกรรแสงในท่ามกลางขุนนางบอกว่า รัตนดวงหนึ่งของประเทศได้แตกเสียแล้ว ให้หยุดราชการสามวันเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน ตอนนี้ลูกศิษย์ก็มาเข้าเฝ้าบอกว่าท่านสั่งไว้ ให้ทำศพเงียบๆ เอาเสื่อที่ท่านนอนนี้แหละห่อศพท่านไปฝัง พระเจ้าอยู่หัวบอกไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่สมกับพระที่ฉันนับถือนะสิ ไม่ยอมทำตามคำสั่งท่านอาจารย์เหี้ยนจังละ ท่านสั่งก็ส่วนของท่าน แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน จะต้องทำเอิกเกริกให้สมเกียรติให้ได้ เพราะฉะนั้นศพต้องเป็นงานหลวง งานหลวง หลวงออกทั้งนั้น แห่แหน ในวันที่จะทำพิธีฝังศพท่านนะ มีประชาชนมาในงาน สองล้านคน ท่านทั้งหลายมีไหม เคนเนดี้ตาย ไม่มีคนถึง สองล้านในงานเลย ประธานาธิบดีเคนเนดี้นะ อย่างเก่งเขาว่าประมาณหกแสนเท่านั้นเองงานแห่ศพเคนเนดี้นะ ประชาชนในประเทศอเมริกาต่างๆมาในงานศพเคนเนดี้ หกแสนเศษ มหาตมะคานธีถูกเขายิงตายที่อินเดียเมื่อหลายปีมาแล้ว อินเดียมีพลเมืองมาก มีคนมาในงานศพมหาตมะคานธีล้านเศษ นี่ก็ว่ามากที่สุดในประวัติชาติแล้ว แต่ยังไม่เป็นประวัติการณ์เหนือท่านเหี้ยนจัง ดูที่ประชาชนมาในงาฝังศพท่าน สองล้านเศษ นี่แหละเป็นเกียรติประวัติที่ไม่มีพระเถระรูปใดในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นมหายานหรือเถรวาทที่จะมีมากเท่าอย่างท่านเหี้ยนจังองค์นี้แล้ว ดังนั้นท่านเป็นอัจฉริยะจริง เป็นมหาบุรุษรัฐจริงๆองค์นี้ 15.41 เป็นธรรมเสนาบดีจริงๆองค์นี้ เกียรติยศ เกียรติประวัติต่างๆพร้อมพรั่งหมด ไม่ฝังไว้ที่นอกพระนครก่อสถูปฝังศพท่านเอาไว้ คนมาในงาน 2 ล้านเศษ เฉพาะพระสงฆ์สามเณรมากระทั่งวัดไม่พอพักต้องไปกางกลดอยู่กลางสนามเป็นจำนวนตั้งหมื่นๆ พระเณรมาในงานเป็นหมื่นๆ ต้องกางกลดอยู่กลางสนาม วัดในพระนครไม่พอให้พัก ต้องกางกลดกลางสนามอยู่กัน มาในงานท่านอย่างนี้ นี่ก็แสดงว่าท่านอาจารย์เหี้ยนจังองค์นี้ ได้ทำให้พระไตรปิฎกฉบับจีนของมหายาน อุดมสมบูรณ์ด้วยอรรถพยัญชนะ พร้อมท่านเองรู้ภาษาสันสกฤตแตกฉาน พูดได้ เทศน์ได้ เขียนได้ จึงเป็นการที่ว่าคัมภีร์ที่ท่านแปลจากต้นฉบับเดิมนะจะต้องเป็นฉบับที่มีสำนวนถูกต้อง โดยอรรถโดยพยัญชนะแน่นอน ผลงานอันนี้ทำให้เกิดการปฏิรูปพุทธศาสนาในประเทศจีน ท่านได้เป็นผู้ก่อกำเนิดนิกายพุทธศาสนานิกายหนึ่งในประเทศจีน นิกายนั้นคือนิกายธรรมลักษณะ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิกายโยคาจารย์ในประเทศจีน อันเป็นยุคทองในพุทธศาสนาในสมัยราชวงศ์ถังนะครับ
ต่อจากสมัยท่านเหี้ยนจังก็ยังมีนักธรรมจาริกจีนอีกรูปหนึ่งชื่อว่าท่านสมณะอี้จิงเป็นคนสมัยหลังท่านเหี้ยนจังประมาณ 60 กว่าปี ท่านรูปนี้ได้เดินทางไปอินเดียเหมือนกัน โดยการเดินทางของท่านนะทั้งไปทั้งกลับไปทางเรือ ท่านลงเรือที่เมืองกวางตุ้งแล้วก็แล่นเรียบไปตามฝั่งแหลมอินโดจีนผ่านประเทศญวน ประเทศเขมร ประเทศจามปา แล้วมาผ่านอ่าวไทย ผ่านภูเขาสามร้อยยอดที่ประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็เลยไปขึ้นที่เมืองเคดะไทรบุรี ที่สหรัฐมาเลเซีย เสร็จแล้วก็เดิมข้ามแหลมมาลายูไปลง ฝั่งโน้น ลงเรือต่อเดินช่องแคบมาลากา อ้อมเวบขึ้นฝั่งที่ประเทศอินเดีย ที่เมืองตามพาริคติอันเป็นเมืองท่า ในฝั่งตะวันออกของแหลมเบงกอล เมื่อขึ้นไปที่อินเดียแล้วจึงได้ท่องเที่ยวในประเทศอินเดียรวมหมดทั้งไปทั้งกลับทางเรือ 28 ปีด้วยกัน มาพักที่เกาะสุมาตรา 4 ปี แล้วก็กลับไปเมืองจีน เมื่อกลับไปเมืองจีนไปทำงานแปลคัมภีร์แต่ว่าองค์นี้หนักไปทางวินัย ทางเหี้ยนจังแปลหนักไปทางอภิธรรม ท่านเป็นพระนักศึกษาอภิธรรม แต่ท่านอี้จิงเป็นพระศึกษาทางวินัยแปลวินัยไว้มาก แปลวินัยปิฎกของนิกายสรวาสติวาทจบ หมดทุกทานวารจบหมดเลยวินัยปิฎก มาสมบูรณ์ในสมัยท่านอี้จิง จากภาษาสันสกฤตแปลเป็นจีนจบหมด วินัยปิฎกของจีนสมบูรณ์ในสมัยท่านพระจีนรูปนี้ ท่านพระจีนรูปนี้ท่านอายุยืนกว่าท่านเหี้ยนจัง ท่านตายเมื่ออายุแปดสิบกว่า ชราภาพมากแล้ว แล้วก็ท่านก็มีโยมอุปฐากที่ดี คือจักรพรรดินี ในประเทศจีนครั้งนั้นเรียกว่า จักรพรรดิบูเช็กเทียนฮ่องเต้ เป็นผู้หญิงขึ้นครองเมือง พระนางบูเช็กเทียนเป็นโยมอุปฐากท่าน ส่งเสริมการแปลพระไตรปิฎกกับท่าน กระทั่งจบสมบูรณ์ นี่ท่านอี้จิงนะครับ ท่านก็ทิ้งผลงานเอาไว้ คือบันทึกพุทธประเทศในแถบถิ่นทะเลใต้ หนังสือเล่มนี้บันทึกความเป็นไปในแคว้นทราวดีของเราด้วย เวลานั้นที่ท่านผ่านเมืองไทยนะ เป็นแคว้นทราวดี ท่านผ่านนครปฐมด้วยนะ แวะนครปฐมด้วยท่านอี้จิงอะ มาขึ้นที่นครปฐมด้วย แล้วก็เดินบกลงไปด้วยผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ภูเขาสามร้อยยอดด้วย ท่านพูดถึงภูเขาสามร้อยยอดว่าเป็นไงเป็นไง ถูกต้องถูกประการเหมือนเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ ยุคนั้นเป็นยุคอาณาจักรทราวดีมีนครปฐมเป็นเมืองหลวง นี่เป็นยุคทองพุทธศาสนาในสมัยวงศ์ถัง
ในสมัยวงศ์ถังนี่เองที่พุทธศาสนาได้แพร่เข้าไปในประเทศเกาหลี กับ ญี่ปุ่น สองประเทศนี้ คือมีอุบาสกคนหนึ่ง กับพระจีนเดินทางธุดงส์ไปประเทศเกาหลีแล้วก็ไปสั่งสอนพุทธศาสนาแก่ชาวเกาหลี แล้วชาวเกาหลีก็เลื่อมใสมาเรียนในเมืองจีน มาบวชที่เมืองจีน เสร็จแล้วก็เอาสมณะวงศ์ไปตั้งขึ้น ที่เกาหลี เมืองโปอูร เมืองปองยางบ้างในครั้งกระโน้น เวลานั้นยังไม่เรียกว่าเมืองปองยางหรอก เป็นเรื่องที่ว่ารับพระสุเชไปสอนศาสนาในประเทศเกาหลี ไม่ช้าเกาหลีทั้งประเทศก็กลายเป็นเมืองพุทธศาสนา
จากเกาหลี จักรพรรดิที่ครองประเทศเกาหลีก็ส่งพุทธรูป พระธรรมคัมภีร์ ส่งไปให้จักรพรรดิประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินที่รับพุทธศาสนาชื่อว่าจักรพรรดิจินเรอิ รับพุทธศาสนาไปจากเมืองเกาหลี แล้วก็ต่อมา ทางญี่ปุ่นก็ส่งนักศึกษามาเรียนพุทธศาสนาโดยตรงจากเมืองจีน มาถวายตัวกันพระจีนเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก พอจบแล้วก็รับเอาวรรณคดีจีน ศิลปกรรมของจีนไปเผยแพร่ในญี่ปุ่น ตกลงว่าเกาหลีกับญี่ปุ่นที่มีความเจริญพ้นจากความเป็นคนป่าคนเถื่อนได้ก็เพราะอิทธิพลพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพุทธศาสนาแผ่เข้าไปญี่ปุ่นไม่มีหนังสือใช้ หนังสือญี่ปุ่นมีกำเนิดขึ้นจากตัวอักขระสันกฤตแม่บท กะ ขะ คะ ฆะ งะ ด้วยอิทธิพลพุทธศาสนาแผ่เข้าไปเรียกว่าตัวหิราคานา ตัวหิราคานาของญี่ปุ่นก็ไปเอามาจากอิทธิพลของภาษาสันสกฤตจากพุทธคัมภีร์ไป ตัวหนังสือญี่ปุ่นก็ใช้หนังสือจีน อันนี้ก็เพราะอิทธิพลพุทธศาสนา เพราะว่าพระญี่ปุ่นนี่แหละเป็นผู้ให้กำเนิดวรรณคดีของญี่ปุ่น เป็นผู้ให้กำเนิดอัขระวิธีของญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นนั้นไม่มีศิลปะใดๆทั้งสิ้น เคราะห์ดีที่รับพุทธศาสนาเข้าไปก็มีการสร้างวัด วัดนี่เป็นบ่อเกิดศิลปะ เลยกลายเป็นว่าอิทธิพลพุทธศาสนานี่แหละที่ชุปให้ชาติเกาหลีกาบชาติญี่ปุ่น พ้นจากความเป็นชาติป่าชาติเถื่อนกลายเป็นชาติศิวิไลมีอารยะธรรมสูง วัฒนธรรมสูงทั้งจิตใจทั้งวัตถุ อันนี้เป็นบุญคุณของศาสนาพุทธที่มีต่อ 2 ชนชาตินี้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว แต่ว่าพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นนั้น เพิ่งจะมาเป็นศาสนาประจำชาติในสมัยศตวรรษที่ 13 หลังพุทธปรินิพพาน ผู้ที่ทำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติญี่ปุ่นนั้น เป็นมกุฎราชกุมารชื่อว่า เจ้าชายโชโตกุไคชิ เจ้าชายโชโตกุไคชินี่แหละได้รับสมญาจากชาวญี่ปุ่นว่าเป็นอโศกมหาราชแห่งญี่ปุ่น เพราะพระองค์ท่านได้สร้างรัฐธรรมนูญรัฐบัญญัติโดยเอาหลักธรรมพุทธศาสนามาประยุกต์ สร้างรัฐบัญญัติขึ้นปกครองประชาชาติได้รับความร่มเย็นสันติสุข แล้วพระองค์ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้นเป็นปฐมในประเทศญี่ปุ่น ได้สร้างวัดพุทธศาสนาที่เมืองนาราไว้หลายวัด เช่นวัด เชนไดกิ ในเมืองนารา วัดเหล่านี้ปัจจุบันยังรักษาอยู่ เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่รวมทั้งตัวพระอุโบสถตัววิหาร ซึ่งสร้างด้วยเครื่องไม้ยังอยู่เดิมหมดทุกอย่าง ถ้าใครเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ถ้าไปเที่ยวเมืองนาราแล้วจะเห็นอิทธิพลของพุทธศาสนา ในสมัยยุคนารา ซึ่งเป็นเมืองหลวงญี่ปุ่นในครั้งกระโน้นได้รับฉายาว่า เมืองหลวงแห่งพุทธวิหารหนึ่งพัน เพราะมีวัดพุทธศาสนาสร้างขึ้นในเมืองนาราแห่งนี้ถึง 1000 วัดด้วยกันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาในเกาะญี่ปุ่น
ต่อมามีคณาจารย์ชาวญี่ปุ่นแล้วหลายรูปที่สามารถศึกษาพระไตรปิฎกแตกฉานแล้ว ตั้งเป็นนิกายขึ้นมาเป็นเอกเทศ ต่างจากนิกายที่รับจากประเทศจีน คือนิกายพุทธศาสนาในเมืองญี่ปุ่นปัจจุบันนี้มีนิกายใหญ่อยู่ 13 นิกาย แล้วต่างละนิกายยังมีอนุสาขาแยกออกไปอีกรวมหมดประมาณ 70 กว่านิกายมั่ง ในญี่ปุ่นนี้นิกายใหญ่ นิกายเล็ก นิกายน้อย เบ็ดเสร็จรวมแล้ว 70 กว่านิกาย แต่ที่เป็นนิกายใหญ่แท้ๆมี 13 นิกาย ในจำนวน 13 นิกายนี้รับไปจากจีนตั้งเกือบครึ่ง ที่เกิดขึ้นในเมืองญี่ปุ่นเองแท้ๆก็มีนิกายนิชิเรน นิกายที่รับไปจากจีนก็มีนิกายปูชา นิกายโอบากู นิกายตันรอน นิกายหิคุ นิกายซูโยโด นิกายเซ็น นิกายเทนได นิกายฮอดโด แล้วก็มีนิกายนี นิกายเหล่านี้บางนิกายก็มีประวัติอย่างน่าประทับใจ ยกตัวอย่างในศตวรรษที่ 13 มีพระญี่ปุ่น 2 รูป เดินทางมาประเทศจีน เพื่อจะศึกษาพุทธศาสนาจากเมืองจีน ชาวจีนถืออินเดียเป็นแดนพุทธภูมิสำหรับตนไปศึกษาฉันใด ชาวญี่ปุ่นก็ถือเมืองจีนเป็นแดนสาธยาภูมิฉันนั้น ต่อพากันมาข้ามน้ำข้ามทะเลมาโดยยากไปเรือแตกจนตายกลางมหาสมุทรแปซิฟิกก็ตั้งเยอะแยะ แต่ท่านก็ยอมตายเพื่อเป็นสาธนาธี ต้องการจะเอาความรู้ไปเผยแพร่กับเพื่อนร่วมชาติ ก็มีพระญี่ปุ่น 2 รูปเดินทางมาคนละลำติดตามทูตญี่ปุ่นมาด้วย องค์หนึ่งชื่อว่า เดนโยไดจิ อีกองค์หนึ่งชื่อฟูกาย 2 องค์มาถึงก็มาศึกษานิกายมันตรยาน นิกายขลัง นิกายเวทมนต์อาคม นิกายขลังจากเมืองจีนนิกายหนึ่ง ท่านเดนโยไดจิมาศึกษานิกายเทียนไทจากเมืองจีน แล้วก็พาเอาหลักธรรมของนิกายนี้ไปตั้งเองในญี่ปุ่น ไปเลือกชัยภูมิสถานตั้งอยู่ในภูเขาสูงให้ชื่อว่า นิกายเทนไดตามชื่อภูเขาในเมืองจีน ท่านเดนโด ท่านฟูกายนี่แหละได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชจากจักรพรรดิญี่ปุ่นให้เป็น โกโมไดจิ ส่วนท่านเดนจิโอนั้นได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิให้เป็นเดนจิโอไดจิ สั่งสอนพุทธศาสนาในเมืองญี่ปุ่น นี่เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศาสนาอย่างใหญ่หลวง
ต่อมาในราวศตวรรษที่ 18 ราวๆสมัยสุโขทัยของเรา ก็มีพระญี่ปุ่นอีกรูปหนึ่ง ท่านตั้งนิกายใหม่ นิกายนี้ให้ชื่อว่านิกายนิจิเรน นิกายนี้เคารพพระธรรมมากที่สุด เคารพพระธรรมมากยิ่งกว่าพระพุทธกับพระสงฆ์ พระธรรมที่นิกายนี้เคารพมาเป็นพระสูตรสูตรหนึ่ง ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตร แปลง่ายๆว่าพระสูตรดอกบัวขาว สูตรนี้ถือว่าเป็นพุทธวจนะชั้นเยี่ยมยอด ที่พระพุทธเจ้าได้แสดงอย่างหมดเปลือก ธรรมะชนิดหมดเปลือก แสดงในพระสูตรนี้ ท่านนิจิเรนโชนิน ได้ถือการบูชาพระสูตรนี้เป็นคำขวัญว่าสาวกในนิกายนี้จะต้องเปล่งคำนมัสการชื่อพระสูตรนี้ เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า นำโมนะโย โฮเคงเคียวตีเย ถ้าเป็นสันสกฤตก็ว่า นะมะ สัทธรรมปุณฑรีกย สูตรยะ ข้อความนอบน้อมจงมีแด่สัทธรรมปุณฑรีกสูตรเถิด เปล่งคำนี้เพื่อบูชา ใครภาวนามากเท่าไร บุญแรงมากเท่านั้น แล้วข้อปฏิบัติในนิกายก็เอาพระสูตรนี้เป็นบรรทัดฐาน ไม่เอาเรื่องวินัย เรื่องอภิธรรม ไม่เอาหมด อภิธรรม วินัย ตัดหมด เอาพระสูตรนี้สูตรเดียวพอ ในปฏิบัติตามพระสูตรนี้สูตรเดียวก็รอดพ้น วิมุตติได้ แล้วเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าเร็วยิ่งขึ้น พวกสาวกในนิกายนี้ถือว่าท่านนิจิเรนไม่ใช่คนธรรมดามาเกิด แต่เป็นพระโพธิสัตว์ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ ในครั้งพุทธกาลชื่อว่า พระวิสุทฐาโพธิสัตว์ มาอวตารแบ่งภาคเป็นพระญี่ปุ่นชื่อว่าท่านนิจิเรน ชื่อได้ยกย่องสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนัก และท่านก็โจมตีนิกายอื่น หาว่านิกายนี้ไม่ดี นิกายโน้นเลว ด่านิกายอื่นตะพึดตะพือ บ้างก็เห็นว่าไม่ได้การตั้งนิกายใหม่แล้วไปโจมตีนิกายอื่นทำไม ต่างคนต่างอยู่ก็เป็นนิกายในพุทธศาสนาด้วยกัน ทำไมมาทะเลาะกันในเรื่องนิกาย มีประโยชน์อะไร นิกายกายต่างๆก็ถ้าจะเปรียบเหมือนว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ มีลูกหลายๆคนแยกย้ายกันออกมา ลูกแต่ละคนก็ต้องการจะสร้างเกียรติประวัติให้แก่วงศ์สกุล ช่วยกันสร้าง มีอย่างหรือมาโจมตีเรื่องนิกาย ท่านนิจิเรนโจมตีนิกาย เชนเดโด หาว่าผู้ตั้งนิกายเชนเดโดเป็นสัตว์นรก เขียนในตำราว่าเป็นสัตว์นรก แล้วก็โจมตีท่านโกเดไดจิที่ตั้งนิกายขลังในญี่ปุ่น บอกว่าท่านโกเดไดจิเป็นพญามาร ด่าว่ามากๆเข้าก็เกิดเรื่อง ลูกศิษย์แต่ละนิกายมีตั้งเยอะแยะเขาก็ไม่พอใจ รัฐบาลก็ไม่พอใจการกระทำแบบนี้ เป็นการบ่อทำลายความสามัคคี ก็เลยออกหมายเนรเทศท่าน บอกว่าหยุดโจมตีเรื่องนิกาย ถ้าขืนโจมตีเอาเรื่องนิกายมาเสียดสี ด่าตนเองในศาสนาเดียวกันเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน เพราะว่าเป็นผู้บ่อนทำลายความสามัคคีของประเทศชาติ บ่อนทำลายศาสนา ในหยุดหรือไม่หยุด นิจิเรนบอกฉันไม่หยุด ท้าทายรัฐบาล ฉันจะโจมตีจนกว่านิกายของฉันตั้งได้นิกายเดียว นิกายอื่นฉิบหายช่างมันเพราะว่าเป็นนิกายที่ว่าไม่ใช่เป็นนิกายแท้ นิกายฉันเท่านั้นที่เป็นนิกายแท้ รัฐบาลก็ว่าใครว่านิกายของท่านเป็นนิกายแท้นิกายเดียว นิกายอื่นเป็นนิกายเก๊อย่างนั้นหรือ นิกายอื่นเขาก็มี พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัยเป็นหลักเหมือนกัน นับถือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เหมือนกัน ท่านเอาอะไรมาว่าเขาว่าเก๊ เขาว่าท่านเก๊บ้างท่านจะว่าอย่างไร นิจิเรนก็ไม่เชื่อ รัฐบาลก็ลงโทษเนรเทศไปอยู่เกาะร้าง ไปกักบริเวณอยู่เกาะร้าง จะได้หมดปัญหามายุให้รำตำให้รั่วกันเสียที นิจิเรนก็ถูกเนรเทศไปอยู่ในเกาะร้างพักหนึ่ง พอแก่ชราเข้ารัฐบาลก็นิรโทษกรรมให้กลับมาได้อีก แก่ก็แผ่ศาสนาของแก่ต่อไป แต่ก็เพลาเรื่องโจมตีนิกาย ความแก่ทำให้เพลาไป หรือคงจะรู้สำนึกแล้วว่าไม่ควรไปโจมตีกันเอง เป็นพุทธบุตรด้วยกัน ก็เพลามือไปไม่ทำละ นิกายนี้ก็ตั้งขึ้นได้ ท่านจะเห็นพระนิกายนี้ระหว่างสงครามครับ มาถึงเมืองไทยด้วย ผมก็เห็น ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กนักเรียนม.3อยู่ ผมเรียนที่บพิธพิมุข ระหว่างสงครามก็ย้ายโรงเรียนไปอยู่สวนกุหลาบ ไปอยู่สวนกุหลาบพักหนึ่ง ตอนเช้าๆเดินถือกระเป๋าไปโรงเรียนผ่านโรงไฟฟ้าวัดเลียบ เห็นมีพระญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง ถือกล่องลูกหนึ่ง ตีโปงๆๆเดินไปตามถนน พระญี่ปุ่นในเสื้อเชิ้ตขาวแล้วเอาพระเหลืองคล้อง แล้วตีปุงๆไปเรื่อย ตอนนั้นยังอ่านภาษาจีนไม่ออก ไม่รู้อะไร มาทีหลังถึงรู้ว่า พระที่ตีปุงๆนี้ ก็คือพระที่สังกัดนิจิเรน ท่านตีปุงๆในกล่องลูกนั้นเขียนว่า ข้อความนอบน้อมจงมีแด่สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ได้บุญแรง ไม่ภาวนาด้วยปากตีกล่องด้วย เพื่อจะปลุกใจให้คนตื่นตามาดูกันว่า ที่กล่องเขียนอะไร เมื่อเห็นแล้วก็จะอ๋อเป็นคำนอบน้อมพระสูตรเกิดความสนใจ เป็นการโฆษณานิกายโดยปริยาย นี่พระนิชิเรนหมุนเวียนอยู่นิกายนี้ มีอิทธิพลมากเสียด้วย นิกายกายนี้เวลานี้ มีสมาชิกสังกัดนิกายนี้ เข้าปรับปรุงใหม่แล้วเวลานี้ ประมาณสามล้านเศษในประเทศญี่ปุ่น ตั้งเป็นสมาคมเรียกว่า เจจะงักใจในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สมาคมเจจงักใจเผยแพร่พระสูตรในนิกายนิจิเรน เพื่อจะฟื้นฟูศีลธรรมเยาวชน มีเยาวชนมาเป็นสาวก มากมายเป็นล้านๆ แล้วหอบัญชาการของสมาคมนี้เป็นตึกสูงตั้งหลายชั้น มีทุนมหาศาล ส่งสาขาไปเผยแพร่ในแคนาดา ยุโรป สหรัฐอเมริกา และก็ยื่นเสนอจะมาเผยแพร่ในเมืองไทยผ่านกรมการศาสนา แต่ว่าทางกรมการศาสนาจะพิจารณาอย่างไรก็ไม่ทราบ เห็นเงียบๆไป นี่แหละนิจิเรนละ เขาเผยแพร่ว่า คติธรรมพุทธศาสนานิกายอื่นๆไม่สำคัญพระสูตรธรรมในสัทธรรมปุณฑริกะสูตร รวมทั้งของเถรวาทด้วย รวมทั้งมหายานนิกายอื่นๆด้วย ไม่สำคัญ ข้อสำคัญ หลักธรรมอันเป็นอันตมะที่แท้จริงของพระพุทธองค์นั้น อยู่ที่สูตรนี้สูตรเดียว ฉะนั้นคนจะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยพระสูตรธรรมสูตรนี้ ถึงจะพ้นทุกข์เด็ดขาด อาศัยคติธรรมในสูตรอื่นนิกายอื่นไม่เด็ดขาด เขาว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่านิกายนี้มาเผยแพร่ในเมืองไทยก็เห็นจะพิลึกนะครับ คงจะพึกอยู่ อาจจะมีการขัดแย้งกันก็ได้ เพราะว่าอดีตประวัติของนิกายนี้ก็รุนแรงอยู่แล้ว ชอบโจมตีต่างนิกายด้วยกันอยู่แล้ว เข้ามาในเมืองไทยอาจกระทบกระเทือนกับ นิกายเถรวาทของเราก็ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องของพุทธศาสนาในญี่ปุ่นมุมหนึ่ง แต่ว่าพุทธศาสนาในญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ในแง่รูปการศึกษา เจริญก้าวหน้าจนไม่มีชาวพุทธประเทศใดจะเทียบเท่าได้ ความเจริญในแง่ปริยัติศึกษา ไม่ใช่แง่ปฎิบัตินะ การศึกษาด้านคัมภีร์เขาเจริญมาก มีมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาตั้งขึ้นตั้ง 10 แห่ง ของเรามี 2 เขามี 10 แต่ว่ามหาวิทยาลัยของเขาไม่ใช่เหมือนอย่างของเราหรอก ของเราเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แท้ๆ คือมีพระเรียนทั้งหมดไม่มีฆราวาสมาปน ของเขานะ เรียนปนกับฆราวาสได้ แต่ความจริงเวลานี้ ญี่ปุ่นก็ไม่มีสังฆรัตนแล้ว ถ้าจะพูดไป ไม่มีสังฆรัตน มีแต่ทวิรัตนคือพระพุทธกับพระธรรม แล้วก็อีกรัตนหนึ่งหายไป เหลือแต่อุบาสกเท่านั้นเอง ที่รู้เรื่องพวกนี้บางคนอาจจะสงสัยว่า พระญี่ปุ่นเป็นปราชิกอย่างนั้นหรือ ทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีเมียได้ ที่นี้ไม่ใช่พระ ผู้เป็นต้นตอบัญญัติให้พระญี่ปุ่นมีเมียนะ คือท่านชินนิรานโชนิน ผู้มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรษที่20 คือประมาณ500ปีกว่ามาแล้ว ท่านชินนิรานโชนินผู้นี้ ท่านเป็นผู้นำให้พระมีเมีย วิถีที่ทำเป็นผุ้นำให้พระมีเมีย ก็คือว่า ท่านสึกเสียก่อน ไม่ได้มีเมียทั้งๆเป็นพระ สึกจากเพศสมณะก่อน คือพระจีนก็มีเมียไม่ได้นะ ถือพรหมจรรย์ห้ามเด็ดขาด เรื่องวินัยปราฏิโมกข์ก็เหมือนของเรา ผิดแต่เพียงจารีตบางประการเล็กๆน้อยๆเช่นเครื่องนุ่งห่ม เรื่องเสขิยะวัตรก็อาจจะบกพร่องไปบ้าง อาบัติขั้นทุกกฎ ก็อาจจะบกพร่องไปบ้าง แต่ตั้งแต่ ปฏิเทสสนียะขึ้นไปกระทั่งถึงปราชิก เขาจะรักษาไว้มั่นคง คงเส้นคงวา บกพร่องไม่ได้ พูดง่ายๆว่าครุกาบัติแล้วล่วงไม่ได้ ล่วงก็ผิด ไอ้ที่ล่วงบ้างก็ทุกกฎ ปาจิตตีย์ เป็นบางข้อไม่ใช่โลกวัชชะ ที่เป็นโลกวัชชะก็ล่วงไม่ได้ เหมือนกัน เช่นว่าเป็นพระจะไปสูบฝิ่นกินเหล้า นี่ไม่ได้เหมือนกัน ผิดทั้งอาบัติ เป็นทั้งอาบัติเป็นทั้งโลกวัชชะด้วย ตำหนิ ติเตียน แต่ถ้าหากว่า หนาวนักจะใส่เสื้อผ้าฆราวาสบ้างๆใส่หมวกบ้าง ใส่ถุงเท้าบ้าง อย่างนี้ไม่ห้าม ถึงแม้ในอาบัติจะปรับทุกกฎ แต่ก็ต้องอนุโลมตามดินฟ้าอากาศ ล่วงลุไปได้ แต่สำหรับท่านชินรานโชนินผู้นี้ ท่านสึกมามีครอบครัวเลย เพราะฉะนั้นจะไปปรับอาบัติปราชิกท่านไม่ได้ แต่การสึกของท่าน ท่านไม่ทิ้งวัด ท่านสึกในวัดและก็ตั้งครอบครัวในวัดของท่านนั่นเอง เลยกลายเป็นสมภารคฤหัสถ์ครองวัด แล้วลูกหลานท่านก็สืบสกุลเป็นเจ้าอาวาสในวัดนั้นเลย นี่เป็นต้นตอ พระนิกายอื่นๆก็เอาอย่าง เอนิกายนี่ทำแบบนี้ดีแห๋ เราทำบ้างสึกกันมา แต่เป็นสมภารในวัด แล้วก็มีลูกมีเมียมีครอบครัวในวัดสบายแฮไปเลย แต่นี้เลยทุกนิกายเอาอย่างเลยกลายเป็นมีเมียหมดเลย เพราะฉะนั้นสังฆรัตนในญี่ปุ่นจึงไม่มี เราไปตำหนิว่าเขาว่าเป็นปราชิกก็ไม่ได้ เขาสึกก่อนนิ เขาบวชอยู่เมื่อไร เขาสึกก่อนถึงมีเมีย ไม่ได้มีเมียทั้งๆเป็นพระนี่นา นี่แหละครับเป็นเหตุที่ว่าทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีเมีย เราจึงไม่ควรจะเรียกเขาว่าเป็นพระ คงจะเรียกเขาว่าอนุศาสนาจารย์ หรือนักพรต นักพรตมากกว่า เพราะเขาไม่ได้รับศีลอย่างภิกขุ ไม่ได้บวชจากยัติปฎิปธรรมวาจา การบวชของเขานั้นเป็นเพียง พุทธธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ แล้วก็รับศีลห้าเสร็จแล้ว พูดง่ายๆรับศีลอุบาสกแค่นี้เอง ข้อเบญจศีลนี่เอง แค่นี้เสร็จสรรพอุปสมบทแล้ว เร็วแบ็บเดียวก็เสร็จ ห้านาทีเสร็จเรียบร้อย แล้วก็ใส่เสื้อดำเครื่องหมายของเพศนักพรต เป็นอันว่าเรียบร้อยแล้ว นี่ว่าในเรื่องปฎิบัติเขาย่อหย่อนไป ในแง่การศึกษาแล้ว ชาวพุทธในญี่ปุ่นเขาคึกคักหลายตัวทันต่อเหตุการณ์มาก แต่ละนิกายมีทุนประจำนิกาย เป็นทุนส่วนกลาง ในจำนวน 13 นิกายนี้ แล้วก็เอาทุนส่วนกลางมาหมุน หมุนเงินเป็นดอกเบี้ย เอาดอกเบี้ยมาลงทุน สร้างโรงพยาบาลในนามพุทธศาสนา สร้างโรงสงเคราะห์เด็กอนาถาในนามพุทธศาสนา สร้างโรงเรียนอบรมเยาวชนที่กำพร้าอนาถาในนามพุทธศาสนา สร้างสำนักวิจัย ในนามพุทธศาสนา เขาทำเรื่องสังคมสงเคราะห์ เอามาหมุนเวียน เพราะฉะนั้นการศึกษาในญี่ปุ่นจึงก้าวหน้า ทำให้มีนักปราชญ์ ในญี่ปุ่นมีเยอะ ผลงานแปลพระไตรปิฎกก็เห็นได้ทีเดียว พระไตรปิฎกฉบับบาลี เขาก็แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นเสร็จบริบูรณ์แล้ว พระไตรปิฎกฉบับทิเบตเขาก็จัดการพิมพ์เสร็จบริบูรณ์แล้ว แล้วก็ยังพิมพ์พระไตรปิฎกตั้งหลายจบซ้ำแล้วซ้ำอีก ชำระแล้วชำระอีก เป็นเอ็นไซโคบีเดีย คือสารานุกรมในพุทธศาสนา เขาก็ชำระเสร็จบริบูรณ์แล้วพิมพ์ออกมาด้วย ตำรับตำราพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ตามร้านหนังสือทุกแห่งมีขายหมด ใครเขียนตำราพุทธศาสนาขึ้นแล้วอย่ากลัวว่าไส้จะแห้ง นักประพันธ์ในเมืองไทย อย่าว่าแต่เขียนหนังสือในพุทธศาสนาเลย เขียนนวนิยายยังถูกคนเยาะเย้ยว่าจะเป็นนักประพันธ์ไส้แห้ง แต่นักประพันธ์ในญี่ปุ่นไม่ไส้แห้ง อย่าว่าแต่นวนิยายแม้แต่เขียนเรื่องค้นคว้าทางพุทธศาสนาก็รวยได้ เขามีทุนสามารถซื้อลิขสิทธิ์ เป็นจำนวนเงินเป็นแสนๆต่อเล่ม เอาไปพิมพ์ เพราะอะไร เพราะพลเมืองญี่ปุ่นมีตั้งร้อยล้านกว่า การศึกษาเขาสูงมาก มีคนอ่านหนังสือออก 99% เพราะฉะนั้นเมื่อการศึกษาของสังคม วิวัฒนาการไปถึงจุดสูงอย่างนี้ คนก็สนใจในการอ่านงานวิจัยหรืองานอ่านปรัชญาต่างๆ อย่างหนังสือธรรมะในเมืองไทย พิมพ์ พันเล่มกว่าจะขายออก แทบแย่หลายปีกว่าจะออก กว่าจะขายหมด หนังสือธรรมะนะ แต่ในเมืองญี่ปุ่นเขาไม่พิมพ์พันเล่ม เขาพิมพ์ทีตั้ง แสนเล่ม ของเรานะพิมพ์พันเล่มก็แย่เต็มที กว่าจะขายออกให้หมดได้ บางทีต้องแค่นซื้อ ขอร้องให้ซื้อยังไม่อยากจะซื้อเลย นี่แสดงว่าระดับการศึกษาของเรายังสู้ญี่ปุ่นเขาไม่ได้ ญี่ปุ่นนวนิยายพิมพ์ทีเป็นล้านเล่ม หนังสือธรรมะพิมพ์ทีเป็นแสนเล่มแล้วขายพรึบหมด นี่แสดงว่าคนเขาสนใจ ในการอ่านในการค้นคว้ามาก นี่เป็นเรื่องในประเทศญี่ปุ่นครับ แล้วก็ชาวพุทธในประเทศญี่ปุ่นนี่แหละ ได้นำพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในอเมริกากับแคนาดา เวลานี้มีนักพุทธศาสนาในอเมริกา ที่ชาวญี่ปุ่นไปตั้งสำนักขึ้น ประมาณร้อยกว่าวัด ไม่น้อยเลย ศูนย์กลางพุทธศาสนาในอเมริกานั้นอยู่ที่ฮาวาย เมืองฮอนโนลูลู มีชาวพุทธอยู่ที ฮอนโนลูลูประมาณ หกแสนเศษ นับถือพุทธศาสนา แล้วก็มีวัดอยู่ที่ฮาวายหกสิบกว่าวัดด้วยกัน และอีกห้าสิบกว่าวัดอยู่กระจัดกระจายตาม เมืองชิคาโกบ้าง อเมริกาฝั่งแปซิฟิคบ้าง อเมริกาเป็นประเทศใหญ่ แม้จะมีวัดพุทธตั้งร้อยกว่าวัดก็ดูมันน้อย ความจริงตั้งร้อยกว่าวัดเชียว และผู้ทีไปเผยแพร่คือนักพรตชาวญี่ปุ่น ที่ใดมีชาวญี่ปุ่นไปตั้งทำเลหากิน ที่นั้นก็ส่งพระเข้าไปประจำ นิกายต่างส่งพระเข้าไปสอนศาสนา สมมุติคุณสังกัดนิกายคิม ผมสังกัดนิกายเซ็น ไปเป็นพ่อค้า ผมก็รายงานให้ต้นสังกัดทราบ ทางสำนักงานของนิกายนั้นๆก็ส่งพระของตัวไป ส่งทุนรอนไปสร้างโบสถ์เอาไว้ ประจำในทำเลที่คนญี่ปุ่นอยู่ ไปสอนศาสนา แล้วก็ส่งพระของตัวไป ต่อมาก็สอนกระทั่งพวกฝรั่งอเมริกาเข้ามานับถือด้วย เพราะฉะนั้นชาวพุทะฝ่ายมหายานเข้าสามารถเอาพุทธศาสนาไปฝังรากไว้แล้ว ในทวีปอเมริกา กับแคนาดาภาคเหนือของอเมริกา อันนี้เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจ ที่ชาวพุทธมหายานในญี่ปุ่นเขาทำขึ้น ในวันนี้ได้ประมวลประวัติย่อๆเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งจีน ทั้งเกาหลี ทั้งญี่ปุ่น ประมวลย่อๆจบเพียงเท่านี้ครับ