ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันจันทร์, 19 พฤศจิกายน 2555 12:26
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป004
วิธีฟังธรรม
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
วิธีฟังธรรม ๓
อุปัทวะอันตรายของอาจารย์ ๖
อุปัทวะอันตรายของอันเตวาสิก ๗
อุปัทวะอันตรายของพรหมจารีย์ ๗
ผู้ปฏิบัติธรรม ๘
การปฏิบัติสุญญตาที่ถูกต้อง ๙
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๕/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๕/๒ ( File Tape 04 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
วิธีฟังธรรม
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ปัญญาในธรรมก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว
ต้องอาศัยมีจิตบริสุทธิ์ คือจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงจะได้ปัญญา
อันเป็นความรู้ความเห็นที่ถูกต้องแจ่มใส ในธรรมะที่เป็นสัจจะคือเป็นตัวความจริง
และจะต้องมีศีลเป็นภาคพื้น จึงจะได้ปัญญาในธรรม คือสัจจะที่เป็นตัวความจริง
แม้ตั้งแต่ในขั้นสัจจะสามัญ จนถึงในอริยสัจจ์
การปฏิบัติในสติปัฏฐาน
ก็เป็นการปฏิบัติทำจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรมทุกข้อทุกบท
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือจะต้องมีสุญญตาคือความว่าง
จากกิเลสและกองทุกข์ไปโดยลำดับ ตั้งแต่ในขั้นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมปฏิบัติในพุทธศาสนา
เป็นขั้นศีล ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา เพื่อวิมุติดังกล่าว
และก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการทรงสอนให้ปฏิบัติในสุญญตาวิหารนั้นเอง
วิธีฟังธรรม
และยังได้ทรงสั่งสอนถึงวิธีฟังธรรมของพระองค์
ดังที่ได้ตรัสสอนไว้ในท้ายพระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตานี้มีความว่า
ท่านทั้งหลายอย่าได้ติดตามผูกพันเราตถาคต เพื่อที่จะได้ฟังธรรมในแง่ของพระสูตรเป็นต้น
ซึ่งเป็นทางปริยัติ คือเพื่อที่จะได้ทรงจำทำความเข้าใจเท่านั้น
เพราะว่าการฟังมุ่งเพียงที่จะจดจำทำความเข้าใจ บรรดาสาวกทั้งหลายก็ย่อมจะได้ฟัง
ได้จดจำ ได้ทำความเข้าใจกันมาแล้ว
ฉะนั้น หากว่าจะติดตามผูกพันพระองค์เพื่อฟังธรรม
ก็ให้ฟังเพื่อที่จะได้เป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด
เพื่อที่จะให้เป็นที่เที่ยวไปของใจอย่างสบาย คือปล่อยใจให้เที่ยวไปในธรรมที่ฟังอย่างสบายๆ
เพื่อที่จะได้บังเกิดความหน่ายความสิ้นติดใจยินดี เพื่อดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อที่จะดับกิเลส หรือถอนตัณหาออกจากจิต
ขอให้มุ่งฟังธรรมเพื่อผลดังกล่าว
และเมื่อมุ่งฟังธรรมเพื่อผลดังกล่าวนี้
ก็ไม่ต้องกังวลในอันที่จะจดจำถ้อยคำสำนวนของธรรมะที่ฟัง
ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งใจจดจำหัวข้อของธรรมต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นการฟังทางปริยัติเท่านั้น
เพราะว่าการฟังเพื่อมุ่งทางปริยัติมุ่งจดจำถ้อยคำสำนวน
จดจำถึงลักษณะของธรรมะที่แสดงเป็นร้อยแก้วบ้าง เป็นร้อยกรองบ้าง
และเป็นลักษณะอื่นๆ ซึ่งจะเป็นภาระต้องกำหนดจดจำศัพท์แสงถ้อยคำสำนวนต่างๆ
จะเป็นบางคำบางประโยค หรือจะเป็นทั้งตอนๆก็ตาม
และเมื่อมุ่งอย่างนี้ ก็จะเป็นภาระที่จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง จึงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
และแม้ว่าจะจำได้ จะเข้าใจ จำได้เป็นตอนๆ
จำได้เป็นหมวดเป็นหมู่ของธรรมที่สั่งสอน เป็นร้อยแก้วบ้าง เป็นร้อยกรองบ้าง
สวดได้พูดทบทวนได้ ถ้าเพียงเท่านี้ก็ได้ผลเพียงเป็นแค่จำๆ เป็นทางปริยัติเท่านั้น
ไม่ได้ผลในทางขัดเกลากิเลส ไม่ได้ผลในด้านเป็นที่เที่ยวไปของใจอย่างสบาย
เพราะว่าใจเที่ยวไปไม่สบาย เกี่ยวกับจะต้องจดจำ จะต้องแบก จะต้องหาม บทตอน วรรค
หรือประเภทของธรรมะที่แสดงนั้นๆ ก็เรียกว่าใจท่องเที่ยวไปไม่สบาย หนัก
คือฟังธรรมแล้วหนัก ไม่เบาไม่โปร่ง ไม่คล่องใจ ไม่แจ่มใส
และไม่ได้เกิดความหน่าย ความสิ้นติดใจยินดี ความดับกิเลส ดับทุกข์อย่างไร
เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนไม่ให้ผูกพันพระองค์ ติดตามพระองค์
เพื่อจะฟังธรรมเพียงในทางปริยัติดังกล่าวนั้น แต่ว่าให้มุ่งเพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลสในจิตใจ
ธรรมะที่ทรงแสดงทุกข้อทุกบท จะเป็นร้อยแก้วก็ตาม ร้อยกรองก็ตาม
จะเป็นลักษณะของถ้อยคำอย่างไรก็ตาม ก็มุ่งเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อฟังก็นำเข้ามาขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด
ไม่เพิ่มกิเลสให้แก่จิตใจเพราะฟังธรรม
แม้ว่าบางคำบางประโยคจะฟังไม่รู้เรื่อง
เพราะมีศัพท์ มีแสง มีถ้อยคำ มีสำนวน ที่ไม่เข้าใจ
หรือว่าบางคราวจิตใจเองไม่ตั้งเพื่อที่จะฟัง ฟุ้งซ่านไปเสียในเรื่องอื่น
กระแสของธรรมที่ฟังก็ขาดตอนไป เมื่อเป็นดั่งนี้ก็แล้วไป ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
หรือว่าที่จิตใจไม่ตั้งเพื่อจะฟัง กระแสของธรรมขาดไปบ้าง ก็ขาดไป
ก็กลับมาตั้งใจฟังต่อไป เอาแต่ที่เข้าใจ
และที่เข้าใจนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่าจะเข้าใจเพื่อจะจำ
แต่เข้าใจเพื่อที่จะได้เอามาใส่ใจขัดเกลาใจ เอาเพียงเท่านี้ก็ใช้ได้
เพราะว่า ธรรมะที่ต้องขาดกระแสไปบางตอน เพราะไม่เข้าใจ
หรือเพราะว่าใจไม่ตั้งที่จะฟังก็ตาม ก็แล้วไป
เพราะว่าแม้ธรรมะที่ตั้งใจฟังและที่รู้เรื่อง
ก็เพียงพอที่จะนำเข้ามาใส่ใจปฏิบัติขัดเกลาได้ คอยดับความไม่พอใจ
ดับอารมณ์ที่เป็นนิวรณ์ที่เข้ามา หรือที่ดึงใจออกไป
ให้ใจตั้งสงบ ได้ฟังธรรมะที่เข้าใจสักคำเดียวสักประโยคเดียว เช่นสติปัฏฐานเข้าใจ
ว่าให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม คือดับความยินดีดับความยินร้าย
ก็คอยดับความยินดีดับความยินร้าย ทำใจให้สงบ สงบเข้ามาในภายใน
นำเอาสติมาตั้งอยู่ในใจ นำเอาขันติมาตั้งอยู่ในใจ นำเอาเมตตามาตั้งอยู่ในใจ คอยขัดเกลาใจ
เพราะว่าสตินั้นก็ตรงกันข้ามกับความหลงลืม หลงลืมสติ ก็คอยตั้งสติอย่าให้หลงลืม
และไม่ต้องหลงลืมในเรื่องอะไร ก็หลงลืมในเรื่องของกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
เช่นในปัจจุบันก็กำลังฟังธรรม ก็อย่าหลงการฟัง คอยตั้งจิตรับฟัง ก็จะต้องรู้จักธรรมะที่ฟัง
น้อยหรือมาก ก็นำเอาธรรมะที่ฟังนั้นมา ดังท่านว่าสติ ก็คอยทำสติอย่าให้หลงสติ
กำลังฟังธรรมอยู่ก็อย่าให้หลงธรรมที่ฟัง ให้สติตั้งฟัง
และท่านว่าเมตตาดับโทสะพยาบาท
ก็เอามาดับโทสะพยาบาทในใจ กรุณาดับวิหิงสา ก็นำเข้ามาดับวิหิงสาในใจ
กำลังคิดจะเบียดเบียนใครอย่างไรก็ดับเสีย หยุดเสีย
มุทิตาดับริษยา กำลังริษยาอะไรใคร ก็ดับริษยาเสีย
อุเบกขาดับราคะ ปฏิฆะ ยินดียินร้าย ก็ดับยินดียินร้ายเสีย วางเสีย
นำเข้ามาขัดเกลาใจดั่งนี้
นี่แหละเป็นการที่ฟังธรรมเพื่อที่จะขัดเกลา
และก็ปล่อยให้ใจเที่ยวไปตามสบายในธรรมที่ฟัง
และวิธีที่จะให้ใจเที่ยวไปตามสบายในธรรมที่ฟังนั้นก็ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ไม่ต้องไปกังวลในถ้อยคำในสำนวนที่ไม่เข้าใจ
ไม่ต้องไปกังวลในกระแสธรรมที่ขาดตอนไปบ้าง เพราะว่าใจไม่ตั้งจะฟัง
เอาแต่ที่ฟังเข้าใจ และพยายามที่จะประคองใจให้ตั้งฟัง
ไม่ต้องไปเป็นภาระจะต้องจดจำถ้อยคำ จะต้องไปโกรธศัพท์แสงที่ฟังไม่เข้าใจ
เอาที่เข้าใจและที่ฟังได้ก็เพียงพอแล้ว คอยขัดเกลาใจ
และปล่อยใจให้ฟังอย่างสบายๆ เที่ยวไปอย่างสบายๆ ไม่ให้เป็นทุกข์เพราะฟัง
ให้ฟังสบาย ให้ใจเที่ยวไปสบาย แล้วก็คอยขัดเกลาใจอยู่ดังกล่าวมาแล้ว ก็ยิ่งสบายขึ้น
เพราะว่าใจที่ขัดเกลาไปนั้นจะเป็นใจที่เกษมที่ปลอดโปร่งยิ่งขึ้นทุกที ก็จะสบายขึ้นทุกที
และฟังธรรมที่ส่งเข้ามาสู่ใจก็ล้วนแต่เป็นเครื่องขัดเกลาทั้งนั้น ก็ยิ่งจะสบายมากขึ้น
ส่งใจไปตามสบาย ไม่ให้เป็นภาระในการฟัง
ดั่งนี้ เรียกว่าให้ธรรมะที่ฟังนั้นเป็นที่เที่ยวไปของใจอย่างสบาย
แล้วก็ให้เป็นไปเพื่อที่จะหน่าย หน่ายในสิ่งที่ติดที่ยินดีอันเป็นตัวกิเลส อันเป็นตัวก่อทุกข์
ให้จิตผ่อนคลายความติดใจยินดีในสิ่งที่ไม่ควรติดใจยินดีทั้งหลาย
ให้ดับกิเลสและกองทุกข์ในใจลงไปได้
นี้เป็นใจความที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนให้ฟังธรรมอย่างนี้
เป็นวิธีฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
อุปัทวะอันตรายของอาจารย์
และได้ตรัสแสดงถึงอุปัทวะอันตรายของบุคคลผู้เป็นอาจารย์
อุปัทวะอันตรายของบุคคลผู้เป็นอันเตวาสิกคือของศิษย์
อุปัทวะอันตรายของบุคคลผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติประเสริฐ
โดยที่ได้ตรัสชี้แจงว่า
อาจารย์บางพวกมุ่งปฏิบัติธรรมะเพื่อดับกิเลสก็เข้าป่า ตั้งใจปฏิบัติต่างๆ
แต่ต่อมาเมื่อมีประชาชนทุกชาติชั้นวรรณะนับถือ และไปมาหาสู่มากขึ้นๆ
อาจารย์นั้นเองก็เลยกลายมาเป็นผู้ที่หมกมุ่นอยู่ด้วยบรรดาแขกเหรื่อที่มาหาเหล่านั้น
และก็ทำให้กิเลสที่ตั้งใจจะละกำเริบมากขึ้น กิเลสนั้นเองก็เลยฆ่าอาจารย์
ผู้ที่มุ่งปฏิบัตินั้นให้เสียไป ไม่ได้รับผลเป็นความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ได้
ดั่งนี้เรียกว่าอุปัทวะอันตรายของอาจารย์
อุปัทวะอันตรายของอันเตวาสิก
อุปัทวะอันตรายของอันเตวาสิกคือศิษย์นั้นเล่า ก็เช่นเดียวกัน
อันเตวาสิกคือศิษย์ของอาจารย์บางท่านก็เข้าป่าปฏิบัติธรรมะ เพื่อที่จะละกิเลสและกองทุกข์
ต่อมาก็มีประชาชนทุกชาติชั้นวรรณะนับถือไปมาหาสู่มากขึ้นๆ
บรรดาอันเตวาสิกคือศิษย์นั้นก็เลยหมกมุ่นอยู่กับบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย
กิเลสที่จะทำให้สงบก็กลับฟุ้งกำเริบมากขึ้น
กิเลสนั้นเองก็เลยฆ่าเอาอันเตวาสิก หรือศิษย์นั้นให้เสียไปอีก
ไม่สามารถที่จะปฏิบัติเพื่อบรรลุความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ได้
อุปัทวะอันตรายของพรหมจารีย์
อุปัทวะอันตรายของพรหมจารีย์ คือผู้ประพฤติประเสริฐ ผู้ประพฤติธรรม นั้นก็คือว่า
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก แม้จะมีประชาชนทุกชาติชั้นวรรณะไปมาหาสู่
(เริ่ม 5/2) ด้วยความเคารพนับถือยกย่องบูชาต่างๆ ก็ทำให้สาวกบางพวกนั้น
กลับมาหมกมุ่นอยู่ด้วยบรรดาผู้ที่ไปหา และในลาภผลในสักการะบูชาทั้งหลาย
ก็ก่อกิเลสให้บังเกิดขึ้น และกิเลสนั้นก็กลับทำลายสาวกเช่นนั้นให้เสียไปอีก
ทำให้ไม่ได้บรรลุความสิ้นทุกข์สิ้นกิเลสตามที่ต้องการ
และก็ตรัสเปรียบเทียบไว้ว่าใน ๓ จำพวกนี้
จำพวกหลังคือบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าเองที่แม้เข้าป่าแล้วก็กลับเสียไป
เพราะความเคารพบูชาของบรรดาประชาชนที่เข้าไปหา ทำให้กิเลสกำเริบ
จำพวกนี้มีโทษแรงกว่า
และก็ตรัสสอนต่อไปว่า ขออย่าให้บรรดาท่านทั้งหลายเรียกร้องพระองค์
โดยความเป็นศัตรู แต่ขอให้เรียกร้องพระองค์โดยความเป็นมิตร
ก็ตรัสอธิบายว่า ทำอย่างไรจึงเรียกว่าเรียกร้องพระองค์โดยความเป็นศัตรู
คือบรรดาผู้ที่ฟังธรรมของพระองค์ จะเป็นบรรพชิตก็ตาม จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม
ไม่ตั้งใจฟัง ส่งใจไปในที่อื่น และประพฤติตนออกนอกศาสนาคือคำสั่งสอนของพระองค์
ดั่งนี้ ทรงเรียกว่าเรียกร้องพระองค์โดยความเป็นศัตรู
ส่วนบรรดาสาวกทั้งหลายเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอน
ว่าข้อนี้เป็นไปเพื่อเกื้อกูล ข้อนี้เป็นไปเพื่อสุขเป็นต้น ก็ตั้งใจฟัง
ไม่ส่งใจออกไปนอกธรรมะที่ทรงแสดง และไม่ประพฤติตนออกนอกจากศาสนา
คือคำสั่งสอนของพระองค์ ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์
ดั่งนี้ เรียกว่าเรียกร้องพระองค์โดยความเป็นมิตร
และพระองค์ได้ตรัสต่อไปว่า พระองค์ไม่ทรงประคับประคองท่านทั้งหลาย
คือสาวกทั้งหลาย เหมือนอย่างนายช่างปั้นหม้อที่ต้องประคับประคองหม้อดินดิบที่ปั้นใหม่
ซึ่งกำลังเป็นดินดิบอยู่ แต่ว่าพระองค์นั้นได้ตรัสข่มสกัดกั้น ได้ตรัสส่งเสริม ดั่งนี้
คือบุคคลที่ควรข่ม ที่ควรสกัดกั้นไว้ ก็ตรัสข่ม ตรัสสกัดกั้น
บุคคลที่ควรที่จะส่งเสริม ก็ตรัสส่งเสริม ดั่งนี้
และก็ตรัสว่าบุคคลใดเป็นสาระคือแก่นสาร หรือว่ามีสาระคือแก่นสาร
บุคคลนั้นจักตั้งอยู่ ดั่งนี้
ผู้ปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะจึงต้องคอยตรวจตราดูสาระคือแก่นสารในตนเอง
ดูความคิดความเห็น ความประพฤติการกระทำต่างๆของตนทางกายทางวาจาทางใจ
ว่าเป็นสาระ หรือไม่เป็นสาระแก่นสารอย่างไร ถ้าไม่เป็นสาระแก่นสารก็ต้องละเสีย
และเมื่อทำพูดคิดอะไรไม่เป็นสาระแก่นสาร นั่นแหละเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงข่มสกัดกั้น
ไม่ทรงประคับประคอง และตนเองก็ต้องคอยข่มสกัดกั้นตนเอง
ไม่ให้ไปยึดถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารนั้น ให้ว่างจากความไม่เป็นสาระแก่นสาร
การปฏิบัติสุญญตาที่ถูกต้อง
อันนี้แหละเป็นสุญญตาที่ถูกต้อง
ว่างจากความไม่เป็นสาระแก่นสาร ว่างจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร
และสิ่งใดที่เป็นสาระแก่นสารก็ถือเอาไว้ปฏิบัติ อย่าให้ว่าง
อย่าให้ว่างจากสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร แต่ให้ว่างจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร
ส่วนสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารนั้นอย่าให้ว่าง ให้มีอยู่
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติสุญญตานั้น
จึงไม่ใช่หมายความว่าทีแรกก็ให้ว่างกันไปเสียหมด ไม่ต้องมีอะไรจะยึดถือทั้งนั้น
ในการปฏิบัติสามัญทั่วไปนั้น จึงต้องให้ว่างจากความไม่ดี ความชั่ว
แต่ว่าให้มีความดี อย่าให้ว่างจากความดี ให้มีความดีที่จะปฏิบัติยิ่งขึ้นต่อไป
และเมื่อสุดชั่วก็สุดดี คือเป็นพระอรหันต์นั่นแหละจึงเป็นอันว่าว่างหมดกันเสียทีหนึ่ง
ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะต้องทิ้งไม่ดี ยึดดีไว้ ว่างจากสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่างจากสิ่งที่ดี
ปฏิบัติเพิ่มพูนขึ้นไปโดยลำดับ ซึ่งถึงเป็นพระอรหันต์เมื่อไรก็เป็นอันว่าว่างหมดทั้งดีทั้งชั่ว
เพราะฉะนั้น เมื่อตนยังไม่ถึงขั้นถึงตอนที่จะไปว่างหมด
คิดว่าจะว่างหมด สุญญตาหมด ก็เป็นการคิดผิด ปฏิบัติผิด
เพราะฉะนั้น ขั้นของธรรมะที่ปฏิบัตินั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีความเข้าใจ
และเมื่อปฏิบัติถูกต้องดั่งนี้ก็เรียกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
อุปนิสัย ๓
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ไม่ควรประมาทในบุญกิริยา ๓
สัญโญชน์ ๖
อุปาทานขันธ์ ๗
อัสมิมานะ ๘
ข้อความขาดนิดหน่อยระหว่างหน้าเทป ครึ่งหลังดีเยี่ยม
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
ม้วนที่ ๕/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๖/๑ ( File Tape 04 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
อุปนิสัย ๓
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน กล่าวได้ว่าเป็นผู้ได้สร้างอุปนิสัยแห่งการปฏิบัติ
และทุกๆท่านก็น่าจะได้มีอุปนิสัยแห่งการปฏิบัติธรรมที่ได้สร้างมาแล้ว น้อยหรือมาก
ท่านแสดงถึงอุปนิสัย ๓ คือ ทานูปนิสัย อุปนิสัยแห่งทาน สีลูปนิสัย อุปนิสัยแห่งศีล
ภาวนูปนิสัย อุปนิสัยแห่งภาวนา คือการปฏิบัติอบรมจิตใจในสมถะวิปัสสนา
บางคนมีอุปนิสัยข้อใดข้อหนึ่งที่ได้สร้างมามาก และบางข้อก็ได้สร้างมาน้อย
แม้ว่าจะได้สร้างมาน้อยในข้อใดข้อหนึ่งก็ยังเป็นอุปนิสัยที่จะนำให้ได้สร้างยิ่งๆขึ้นไป
และโดยเฉพาะข้อภาวนานั้นบางท่านได้สร้างมามาก
แต่ว่าหย่อนในข้อทานข้อศีล แม้เช่นนั้นก็อาจจะนำเข้ามาสู่ทางที่ถูกได้
ถึงแม้ข้อทานข้อศีลก็เหมือนกัน ได้สร้างมามากกว่าข้อภาวนา ก็นำให้เข้ามาสู่ทางที่ถูก
ตลอดจนถึงให้ปฏิบัติในภาวนาอบรมสมถะวิปัสสนาให้บังเกิดขึ้นได้
ฉะนั้น ทุกคนจึงไม่ควรที่จะหมิ่นตนเองว่าเป็นผู้อ่อนเป็นผู้ไม่สามารถ
แต่ให้เริ่มตั้งต้นปฏิบัติในทานในศีลในภาวนา แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ยังดี
เมื่อได้ทำบ่อยๆเข้าก็ย่อมจะมากขึ้นได้
ไม่ควรประมาทในบุญกิริยา
จึงได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสเปรียบไว้ในธรรมบทว่า
ควรทำฉันทะคือความพอใจในการกระทำบุญแม้ทีละน้อย
ฝนตกลงมาทีละหยาดๆ ก็ย่อมทำภาชนะที่รองน้ำให้เต็มได้
การทำบุญแม้ทีละน้อยๆ ก็ย่อมทำให้บุญเต็มขึ้นมาได้ มากขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทเลินเล่อเผลอเพลินในบุญกริยา คือการกระทำบุญทั้งหลาย
ได้มีเล่าถึงพระเถระรูปหนึ่ง
ก่อนแต่ท่านจะบวชได้เป็นพรานป่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นประจำ
ก็ดูเหมือนเป็นคนใจบาปกระทำบาปอยู่เป็นอาชีพเป็นประจำ
ในวันหนึ่งเมื่อไปล่าสัตว์ดักสัตว์ในป่า ได้มีความกระหายน้ำ
ก็ได้เข้าไปในที่อาศัยของพระเถระรูปหนึ่งซึ่งอยู่ในป่า ประสงค์ที่จะได้น้ำดื่ม
ก็ได้เห็นตุ่มน้ำตั้งอยู่ จึงได้เข้าไป เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นตุ่มน้ำเปล่า ไม่มีน้ำ
ในขณะนั้นพระเถระท่านได้เดินอยู่ในที่นั้น
นายพรานจึงได้ร้องไปที่ท่านว่าท่านเป็นผู้ที่เกียจคร้าน
ไม่ตักน้ำมาใส่ตุ่มเอาไว้แม้เพียงตุ่มเดียว สำหรับที่จะได้ดื่มอาศัยใช้สอย
พระเถระจึงได้เดินเข้ามาที่ตุ่มน้ำ ซึ่งท่านได้ตักน้ำใส่ไว้เต็มตุ่มแล้ว
จึงได้เอาภาชนะน้ำตักน้ำในตุ่มนั้นส่งให้นายพราน นายพรานก็ได้ดื่มน้ำ
และไม่พอท่านก็ตักให้เป็นครั้งที่สอง ก็ดื่มเป็นครั้งที่สอง
ครั้นดื่มน้ำแล้วก็มีความสลดใจในตนเอง ว่าได้ประกอบกรรมที่เป็นปาณาติบาต
มาตลอดเวลาช้านาน
และได้มาประสบเหตุการณ์ อันแสดงถึงความเป็นผู้ที่ได้ประกอบปาณาติบาตกรรมมามาก
น้ำเต็มตุ่มก็มองไม่เห็นน้ำ ได้สติขึ้นมาจึงได้เข้าไปกราบพระเถระ
วางอาวุธทั้งสิ้น และขอบวช
พระเถระก็บวชให้เป็นสามเณรก่อน
และเมื่อสามเณรนั้นบวชแล้ว ก็ได้ตั้งใจประกอบจิตตภาวนา อบรมจิตในสมถะวิปัสสนา
แต่ก็ไม่ได้ความสงบแห่งจิต เมื่อนั่งทำความสงบทีไรก็นึกไปถึงปานาติบาตที่ตนได้กระทำ
ปรากฏเป็นภาพแห่งสัตว์ทั้งหลายที่ได้ถูกฆ่ามาหลอกหลอนอยู่ในจิตเป็นประจำ
จนรู้สึกตนว่าจะไม่สามารถบำเพ็ญสมณะธรรมต่อไปได้ จึงได้ขอลาสึก
ฝ่ายพระเถระก็สั่งให้สามเณรนั้นไปนำไม้สดมา
และก็ให้จุดไฟเผาไม้สดนั้น สามเณรก็ไม่สามารถจะจุดไฟให้ติดที่ไม้สดนั้นได้
ฝ่ายพระเถระท่านก็ได้อบรมโดยปุคลาธิษฐาน แสดงให้เห็นว่าไฟนรก
อันเป็นที่ตกหมกไหม้ของผู้ประกอบอกุศลกรรมต่างๆนั้น
แม้เพียงนิดเดียวก็เผาไหม้ไม้สดนั้นได้ ให้สามเณรได้เห็นชัดว่า
การที่จะต้องไปตกนรกหมกไหม้นั้น จะต้องประสบกับความร้อนของไฟนรกเป็นอย่างยิ่ง
ก็เป็นเหตุให้สามเณรได้ความสลดใจไม่สึก ประกอบตนปฏิบัติในศีลสมาธิยิ่งๆขึ้นไป
และเมื่อได้อุปสมบทเป็นภิกษุขึ้น ในภายหลังก็ได้รับความสงบแห่งจิตใจไปโดยลำดับ
ซึ่งท่านได้แสดงว่าภิกษุรูปนั้นซึ่งเดิมเป็นพรานป่า
ได้เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยในทานและศีลอ่อน แต่ว่ามีอุปนิสัยในภาวนาซึ่งได้บำเพ็ญมาแล้วมีกำลัง
เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะได้ประกอบอกุศลกรรมมาเมื่อก่อนบวช
โดยเป็นพรานป่ามีอาชีพในทางฆ่าสัตว์มาจำหน่ายเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นประจำ
แต่ว่าบาปกรรมนั้นมิได้ถึงอานันตริยกรรม จึงไม่เป็นเหตุห้ามมรรคผล
ถ้าหากว่ามิได้พบทางที่ถูก มาปฏิบัติสมณะธรรมให้บรรลุถึงมรรคผล
จะต้องไปถือภพชาติต่อไป ก็ย่อมจะไม่พ้นจากนิรยาบาย
แต่อาศัยที่ได้มีอุปนิสัยแห่งภาวนามา
แม้ว่าจะหย่อนในทานในศีลก็ตาม ก็ยังชักนำให้เข้ามาพบพุทธศาสนา
การที่ต้องการจะดื่มน้ำ แต่ไม่พบน้ำในตุ่มทั้งที่มีน้ำเต็มอยู่
แต่เห็นว่าเป็นตุ่มเปล่า ก็อาจจะเป็นสิ่งชักนำให้กลับตัวได้ ก็เป็นได้
เพราะเหตุว่า ถ้าได้เห็นน้ำเต็มตุ่มอยู่โดยปรกติ และได้ดื่มน้ำ ก็อาจจะไม่ได้สติ
และเข้ามาบวชปฏิบัติเพิ่มเติมภาวนาให้ยิ่งๆขึ้นไป
เพราะฉะนั้นจึงเป็นกุศลชักนำให้มาประสบกับเหตุ อันเป็นเครื่องชักนำให้กลับตัวได้
นำมาปฏิบัติในศีลสมาธิปัญญาอันเป็นทางแห่งมรรคผล
ได้อาศัยพระเถระเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งได้นำทางในทางที่ถูกส่งเสริมให้มีการปฏิบัติเพิ่มเติม
จนได้ความสงบแห่งจิตยิ่งๆขึ้น อันสมควรที่จะบรรลุมรรคผลได้
ฉะนั้น ในวันหนึ่งเมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธอุทานขึ้น ซึ่งแปลความว่า
ภิกษุ เมื่อน้อมใจพิจารณาว่า ถ้าเราไม่พึงมี ของเราก็ไม่พึงมี
ถ้าจักไม่มี ของเราก็จักไม่มี เมื่อน้อมใจพิจารณาอยู่ดั่งนี้ ก็จะตัดสัญโญชน์
คือกิเลสเป็นเครื่องผูกใจ ๕ ประการ เบื้องต่ำได้ ดั่งนี้
ภิกษุนั้นเมื่อได้ฟังพระพุทธอุทานนี้จึงได้กราบทูลถาม ..(จบ ๕/๒)
( ข้อความขาดนิดหน่อย )
(เริ่ม ๖/๑) ไม่ได้เห็นสัตตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตตบุรุษ
ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตตบุรุษ
ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนว่ามีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ
ย่อมเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตน
ย่อมเห็นตนในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
ย่อมไม่รู้จัก ย่อมไม่รู้ทั่วถึงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นสังขตะคือเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง
หรือเป็นสังขาร เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ตามเป็นจริงว่าเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมไม่รู้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักมี
ส่วนว่าพระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยะ
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำในธรรมแห่งพระอริยะ
ได้เห็นสัตตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตตบุรุษ ได้รับแนะนำในธรรมของสัตตบุรุษ
ย่อมไม่ตามเห็นซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเป็นตน
ย่อมไม่เห็นว่าตนมีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ
ย่อมไม่เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตน
ย่อมไม่เห็นตนในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
ย่อมรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตามิใช่ตัวตน
เป็นสังขตะคือเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งตามเป็นจริง ว่าเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
เป็นสังขตะคือเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมรู้ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักมี
และอริยสาวกนั้นก็ย่อมรู้ตลอดไปถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีต่อไปด้วย
คือเพราะไม่มีรูปไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ ต่อไป
อริยสาวกนั้นก็ย่อมรู้ ดั่งนี้ ภิกษุน้อมใจไปว่าถ้าเราไม่พึงมี ของเราก็ไม่พึงมี
จักไม่มี ของเราก็จักไม่มี ดั่งนี้ ย่อมตัดสัญโญชน์ ๕ เบื้องต่ำได้ ดั่งนี้
สัญโญชน์
นี้เป็นพระพุทธาธิบายในพระพุทธอุทานที่เปล่งขึ้นนั้น
พิจารณาดูก็ย่อมจะได้ความเข้าใจตามสมควรว่า อันบุคคลสามัญทั่วไปนั้น
ย่อมมีตัวเรา มีของเรา เพราะยังตัดสัญโญชน์กิเลสที่เป็นเครื่องผูกใจมิได้
ซึ่งสัญโญชน์นั้นท่านแสดงไว้ว่ามี ๑๐ ประการ
และก็มีแสดงไว้ว่าโสดาปัตติมรรคตัดสัญโญชน์ได้ ๓
สกทาคามีมรรคก็ตัดได้ ๓ แต่ว่าทำราคะโทสะโมหะให้เบาบางยิ่งขึ้น
อนาคามีมรรคตัดสัญโญชน์ได้ ๕ อรหัตมรรคตัดได้หมด
และในพระพุทธอุทานนี้ที่ว่าตัดสัญโญชน์ได้ ๕ นั้นจึงหมายถึงอนาคามีมรรค
ซึ่งท่านผู้ตัดได้ บรรลุอนาคามีมรรคอนาคามีผล ก็เป็นพระอนาคามี
ก็โดยที่น้อมจิตพิจารณาให้เห็นว่า ถ้าเราพึงมี ของเราก็มี ก็คือเมื่อมีตัวเรา ก็ย่อมมีของเรา
และเมื่อมีตัวเราของเราอยู่อย่างเต็มที่ ก็เป็นบุถุชนหรือสามัญชนทั่วไป
ถ้ามีเราก็มีของเรา มีตัวเราก็มีของเรา บุถุชนทั่วไปหรือสามัญชนทั่วไปก็ย่อมเป็นดั่งนี้
มีตัวเรามีของเรา และตัวเราของเรานี้ก็คือขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการนั้นเอง อุปาทานขันธ์
อุปาทานขันธ์
อันอุปาทานขันธ์ก็คือรูป อันได้แก่รูปกายอันนี้
เวทนาก็เป็นความรู้เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข
สัญญาก็คือความจำได้หมายรู้ สังขารก็คือความคิดปรุง หรือความปรุงคิดต่างๆ
วิญญาณก็คือความรู้เห็น รู้ได้ยิน ที่เรียกว่าการเห็นการได้ยินเป็นต้น ทางอายตนะ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็รวมเรียกว่านาม ย่อเข้าจึงเป็นรูปเป็นนาม
รูปก็คือรูป นามก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นขันธ์ ๕
ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ได้มาตั้งแต่ปฏิสนธิ คือการสืบต่อชาติภพปัจจุบัน
อันเนื่องมาจากกรรมที่ได้ประกอบกระทำ
การประกอบกระทำกรรม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
เรียกว่ากรรมสังขาร หรือกรรมาภิสังขาร ความปรุงแต่งกรรม ปรุงกรรม
เพราะเหตุที่ยังมีกิเลสอันมีอวิชชา ความไม่รู้ในสัจจะธรรมเป็นหัวหน้า
จึงมีตัณหามีอุปาทานเป็นต้น เป็นตัวกิเลส ก็ก่อกรรมขึ้น
กรรมนี้เองก็เป็นชนกกรรม ก่อให้เกิดขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ย่อก็เป็นนามรูปที่ทุกๆคนมีอยู่ในปัจจุบัน
และก็เพราะกิเลสนี้เอง จึงมีความยึดถือในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ก็เป็นตัวเราของเรา
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นตัวเราของเรา
ตัวเราของเราก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ นี้จึงเป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือว่าตัวเราของเรา
ก็เพราะว่ามีตัวเราจึงมีของเรา ก็เป็นอันว่ามีตัวเราของเราอยู่อย่างเต็มที่
ดั่งนี้ ก็เป็นสามัญชน หรือบุถุชนทั่วไป
เมื่อยังมิได้สดับตรับฟังธรรมะของพระอริยะ ของสัตตบุรุษ ยังไม่เห็นพระอริยะ ไม่เห็นสัตตบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมะของพระอริยะ ของสัตตบุรุษ ก็ย่อมจะมีความยึดถืออยู่ดั่งนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อมีความยึดถืออยู่ดั่งนี้ จึงยังมีกิเลสเพิ่มขึ้น
อวิชชาก็เพิ่มขึ้น ตัณหาอุปาทานก็เพิ่มขึ้น ก็ประกอบกรรมกันต่อไป
เมื่อประกอบกรรมกันต่อไป ก็จะต้องมีชาติภพกันอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าเมื่อกรรมสังขารความปรุงแต่งกรรม
ประกอบกรรมก่อกรรม มี ก็จักมีปฏิสนธิสืบต่อชาติภพกันต่อไป
แต่ถ้าหากว่าไม่มีกรรมสังขารปรุงแต่งกรรม ก่อกรรม ปฏิสนธิก็จักไม่มีต่อไป
หรือกล่าวสั้นว่าถ้าจักไม่มีตัวเรา ก็จักไม่มีของเราต่อไป
อัสมิมานะ
อันตัวเรานั้นเมื่อดูซึ้งเข้ามาแล้ว ก็เป็นตัวอัสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น ตัวอัสมิมานะนี้เองเป็นตัวเราอย่างละเอียด
และเมื่อมีอัสมิมานะความสำคัญหมายว่าตัวเรา เรามีเราเป็น เป็นอย่างละเอียดอยู่ดั่งนี้
อัสมิมานะนี้เองก็ยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือรูปนาม
หรือว่านามรูปนี้เป็นตัวเรา นี่เป็นชั้นหยาบ
แต่ว่าเมื่อดูลึกเข้ามาว่าเรานั้นอยู่ที่อัสมิมานะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือว่านามรูปก็เป็นของเรา เมื่อดูอย่างละเอียดย่อมเป็นดั่งนี้
แต่เมื่อดูอย่างหยาบ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือนามรูปก็เป็นตัวเรา
และสิ่งที่เนื่องกันเช่นเป็นทรัพย์สิ่งของสมบัติต่างๆ ก็เป็นของเรา
ฉะนั้น เมื่อได้สดับฟังธรรมะของพระอริยะ ของสัตตบุรุษ
ได้ฉลาดในธรรมะของพระอริยะของสัตตบุรุษ คือพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นยอดของพระอริยะของสัตตบุรุษทั้งหลาย
ก็ให้หัดปฏิบัติน้อมใจพิจารณาดูเข้ามาให้รู้จัก ว่าอันที่จริงนั้นอยู่ที่ว่า ถ้าตัวเราพึงมี ก็มีของเรา
ถ้าจักไม่มี ของเราก็จักไม่มี อยู่ที่ตรงนี้ คืออยู่ที่ความยึดถือ
และความยึดถือนั้นก็เพราะเหตุที่ยังไม่มีปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริง
ฉะนั้น การภาวนานั้นก็มุ่งให้จิตสงบ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิ ก็น้อมจิตที่สงบนี้ดู
ดูให้รู้จักเข้ามาว่า เมื่อพึงมีเราก็มีของเรา ถ้าจักไม่มีเราก็ไม่มีของเรา
ไม่มีกรรมสังขารความปรุงแต่งกรรม ก็ไม่มีปฏิสนธิของเรา
ไม่มีกิเลสคือไม่มีอวิชชาไม่มีตัณหาไม่มีอุปาทาน ก็ไม่มีกรรมของเรา
พิจารณาให้ได้ปัญญาขึ้นมาดั่งนี้
โดยที่หัดพิจารณาจับเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขึ้นมาพิจารณา
ว่าอันที่จริงนั้นก็ไม่มีตัวเราของเราอยู่ที่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เพราะว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นสังขตะคือเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง
เมื่อไม่รู้ดั่งนี้ ก็จะต้องมีปฏิสนธิก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กันต่อไป
แต่หากว่าถ้าไม่มีความยึดถือเพราะรู้ตามเป็นจริง ปล่อยความยึดถือได้ ตัวเราของเราก็ดับไป
เมื่อตัวเราของเราดับไปก็จะไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก่อปฏิสนธิสืบภพชาติกันต่อไป ก็เป็นอันถึงที่สุดทุกข์ พิจารณาให้รู้จักดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ความที่หัดน้อมจิตไปตามพระพุทธอุทานนี้
ว่าตัวเราพึงมี ก็มี ..ก็จะพึงมีของเรา ถ้าว่าจักไม่มีก็จักไม่มีของเรา ดั่งนี้
จึงเป็นข้อปฏิบัติที่ตัดกิเลส แม้ยังตัดไม่ได้ก็ทำให้กิเลสเบาบาง
เพิ่มปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นไปโดยลำดับ
และการปฏิบัติแม้ดั่งนี้แล ก็เรียกว่าเป็น อนิจจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป