ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 ธันวาคม 2555 10:39
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป087
อายตนะ สังโญชน์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ปัจจุบันธรรม ๓
นิวรณ์ ๕ สืบมาจากสังโญชน์ ๔
อะไรคืออารมณ์ ๕
อุปาทานขันธ์ ๖
เกิดดับ ๗
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๑๒/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๑๓/๑ ( File Tape 87 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
อายตนะ สังโญชน์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะเป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
ได้กล่าวมาแล้วโดยลำดับว่าพระธรรมคุณทั้งบทนี้
ย่อมเป็นพระธรรมคุณของธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอน
เป็นพุทธศาสนาซึ่งเป็นปริยัติธรรม และที่ปฏิบัติเป็นปฏิบัติธรรม
และที่รู้แจ้งแทงตลอดเป็นปฏิเวธธรรมทั้งหมด
และก็ได้แสดงยกสติปัฏฐานมาอธิบายประกอบพระธรรมคุณทั้งหมด ๖ บทนี้
จนถึงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็ได้แสดงสติกำหนดพิจารณาตามดูนิวรณ์ ดูขันธ์ ๕
๒
และก็ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของนิวรณ์ และขันธ์ ๕ ถึงอายตนะ
ที่ตรัสแสดงเป็นอันดับไปจากขันธ์ ๕ คือตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูให้รู้จักตา ให้รู้จักรูป
ให้รู้จักสัญโญชน์ หรือสังโญชน์ ความผูกที่แสดงแล้วว่าความผูกใจ อาศัยตาและรูปบังเกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูให้รู้จักหู ให้รู้จักเสียง ให้รู้จักสังโญชน์ ที่อาศัยหูกับเสียงบังเกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูให้รู้จักจมูก ให้รู้จักกลิ่น ให้รู้จักสังโญชน์ที่อาศัยจมูกกับกลิ่นบังเกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูให้รู้จักลิ้นให้รู้จักรส ให้รู้จักสังโญชน์ที่อาศัยลิ้นและรสบังเกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูกาย กำหนดดูโผฏฐัพพะ คือสิ่งที่กายถูกต้อง
กำหนดดูสังโญชน์ที่อาศัยกายและโผฏฐัพพะบังเกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูมโนคือใจ ให้รู้จักธรรมะคือเรื่องราว
ให้รู้จักสังโญชน์ที่อาศัยมโนและธรรมะคือเรื่องราวบังเกิดขึ้น
และตั้งสติกำหนดดูให้รู้จักประการที่สังโญชน์ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
ให้รู้จักประการที่ละสังโญชน์ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ให้รู้จักประการที่สังโญชน์ที่ละได้แล้วจะไม่บังเกิดขึ้นอีกดั่งนี้
ปัจจุบันธรรม
ข้อที่เกี่ยวด้วยอายตนะนี้ทรงมุ่งแสดงให้รู้จักสังโญชน์คือความผูกใจ
ที่อาศัยอายตนะภายในและภายนอกที่คู่กันทั้ง ๖ บังเกิดขึ้น
คือเมื่อเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น เกิดสังโญชน์ผูกใจขึ้นมา
ก็ทำสติดูให้รู้จัก รู้จักทั้ง ตา รูป หู เสียง เป็นต้น
และให้รู้จักสังโญชน์ที่อาศัยอายตนะเหล่านี้บังเกิดขึ้นสืบเนื่องกัน
ด้วยหัดทำสติกำหนดดูเป็นปัจจุบันธรรม คือธรรมะที่บังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
เพราะว่าทุกๆคนนั้นก็ต้องเปิดตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ
รับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมะคือเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา
๓
และจิตนี้เองเมื่อน้อมออกไปรู้ทางตาหูเป็นต้น ซึ่งรูปเสียงเป็นต้น
ก็มีสังโญชน์คือความผูกใจอยู่ ที่กล่าวกันง่ายๆก็คือผูกใจอยู่ในรูปที่ตาเห็น เสียงที่หูได้ยิน
กลิ่นที่จมูกได้ทราบ รสที่ลิ้นได้ทราบ โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องที่กายได้ทราบ
และธรรมะคือเรื่องราวที่ใจมโนคือใจ ได้คิด ได้รู้
ก็พูดเข้าใจกันดั่งนี้ แต่ไม่ได้รวมเอาตาหูเป็นต้นเข้าด้วย
แต่อันที่จริงนั้นเมื่อจิตน้อมออกรับรูปทางตา
และเกิดสัญโญชน์ขึ้น คือความผูกใจ ก็กล่าวว่าผูกใจอยู่ที่รูปที่ตาเห็น
แต่อันที่จริงนั้นก็ต้องผูกใจที่ตาด้วยเหมือนกัน เพราะรูปจะปรากฏขึ้นก็ด้วยตา อาศัยตา
เพราะฉะนั้นเมื่อผูกใจในรูป ก็ผูกใจอยู่ในตาด้วย คู่กันไป
เพราะฉะนั้น จึงตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูตาด้วยรูปด้วย
แล้วก็ให้รู้ด้วยว่าสังโญชน์คือความผูกใจนี้บังเกิดขึ้นอาศัยตารูปเป็นต้น
เป็นสติที่ให้รู้อยู่เป็นปัจจุบันธรรม
นิวรณ์ ๕ สืบมาจากสังโญชน์
อันความผูกใจนี้รู้ได้ด้วยสติ
เพราะว่าปรากฏเป็นอาการที่เป็น ฉันทะราคะ ความพอใจติดใจ
หรือความติดใจด้วยอำนาจของความพอใจ ปรากฏเป็นกามฉันท์
หรือว่าปรากฏเป็นความกระทบกระทั่งก็เป็นพยาบาท
ปรากฏเป็นความสยบติดหรือความไม่รู้ซึ่งเป็นโมหะ ก็เป็นความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
ความฟุ้งซ่านรำคาญ และความเคลือบแคลงสงสัย
เพราะฉะนั้นนิวรณ์ทั้ง ๕ นั้น จึงปรากฏบังเกิดขึ้นในจิต สืบจากสังโญชน์คือความผูกใจนี้เอง
และในข้อจิตตานุปัสสนาที่ตรัสสอนให้ดูจิต
ก็ตรัสย่อเข้าเป็นจิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ
๔
ครั้นมาถึงหมวดธรรมานุปัสสนา ก็ทรงขยายความออกเป็นนิวรณ์ ๕
เพื่อให้กำหนดพิจารณาอาการของราคะโทสะโมหะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และทั้งหมดนี้ก็สืบมาจากสัญโญชน์นี่แหละ
ถ้าหากว่าใจไม่ผูกก็ปรากฏเป็นเห็นรูปได้ยินเสียงเป็นต้นอยู่แค่นั้น
รูปเสียงเป็นต้นก็ตกไปแค่ได้เห็นแค่ได้ยิน
และอาการที่รูปเสียงเป็นต้นซึ่งจิตน้อมออกรับ เป็นเห็นรูปทางตาได้ยินเสียงทางหูเป็นต้นนั้น
แต่ละครั้งก็แต่ละอย่าง และก็เกิดดับอยู่แค่นั้นทุกครั้งทุกอย่างไป
แต่ว่าที่ยังไม่ดับก็โดยที่เป็นสังโญชน์คือผูกใจ
หรือว่าใจผูกอยู่ในสิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่หูได้ยินเป็นต้นที่ดับไปแล้ว นั้นเอง
แต่มาผูกอยู่ในใจเป็นสังโญชน์
อะไรคืออารมณ์
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผูกอยู่ในใจนี้ จึงเรียกว่าอารมณ์คือว่าเรื่อง
อะไรคืออารมณ์ได้มีพระพุทธาธิบายตรัสเอาไว้ว่าคือเรื่องที่จิตคิด จิตดำริ จิตหมกมุ่นถึง
นี่แหละคืออารมณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผูกใจหรือใจผูกก็คืออารมณ์นี้เอง
เพราะว่า ตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้นที่ประจวบกันนั้นดับไปแล้ว
และรูปที่ตาเห็นนั้น เช่นเป็นบุคคล เป็นบ้านเป็นเมือง เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้
ก็ตั้งอยู่ในภายนอกทั้งนั้น จะเอามาใส่ไว้ในใจไม่ได้
สิ่งที่ใส่ไว้ในใจนั้นก็คืออารมณ์นี้เอง
แม้ว่าสิ่งที่เป็นสมบัติพัสถานของตนเองเช่นเป็นบ้านเรือน
เป็นทรัพย์สินสิ่งนั้น ทรัพย์สินสิ่งนี้ ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่อยู่ในภายนอกทั้งนั้น
ส่วนที่เข้ามาว่าเป็นของเรา สิ่งนี้ของเรา สิ่งนั้นของเรา ก็โดยที่ยังเป็นสังโญชน์
คือที่ผูกใจหรือใจผูกนี้เอง ผูกเอามาตั้งไว้ในใจ ว่าเป็นสิ่งนั้น ว่าเป็นสิ่งนี้
ว่าเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเป็นเจ้าของสิ่งนี้
๕
แต่อันที่จริงนั้น ทุกๆอย่างนั้นอยู่ในภายนอกใจทั้งนั้น ไม่ได้เอามาใส่ไว้ในใจ
เพราะฉะนั้นความยึดถือ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ที่เรียกว่าอุปาทานนี้
จึงเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่อาศัยอยู่ที่ขันธ์ ๕ นี่แหละ
ซึ่งรวมเข้าก็เป็นกายและใจ หรือนามรูปดังที่ได้อธิบายแล้ว
อุปาทานขันธ์
และอุปาทานความยึดถือนี้ ก็ยึดถือทั้งขันธ์ ๕ หรือว่านามรูปเองด้วย ว่าเป็นเราเป็นของเรา
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสเรียกว่าเป็น อุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ
และตัวความยึดถือนี้เองก็อาศัยเนื่องอยู่ในขันธ์ ๕
เพราะว่าขันธ์ ๕ นี้ ก็เนื่องกัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกกันไม่ออก
จะแยกเอาสิ่งนั้นทิ้งเสีย สิ่งนี้ออกเสีย ดั่งนี้ไม่ได้ ต้องรวมกันอยู่เป็นขันธ์ ๕
เป็นก้อนเป็นกองอยู่ด้วยกัน บุคคลจึงยังดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งจะต้องมีทั้ง ๕
หรือว่าย่อลงเป็นนามรูป ก็ต้องมีทั้งนามทั้งรูป
มีแต่ส่วนรูปไม่มีนาม มีแต่นามไม่มีรูปนั้นก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกัน
และขันธ์ ๕ นี้ก็เป็นสิ่งเกิดดับ เมื่อแสดงโดยปัจจุบันธรรม
เมื่อตั้งต้นขึ้นที่อายตนะภายในภายนอก อายตนะภายในภายนอกนี้ก็เป็นรูป
เว้นแต่ข้อ มโน คือใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เนื่องอยู่ในส่วนที่เป็นรูป ๕ ข้อ หรือ ๕ คู่ข้างต้น
และก็อาศัยอายตนะที่เป็นรูปนี้เองพร้อมทั้งมโนคือใจด้วยประกอบกัน
คือตากับรูปประกอบกัน หรือประจวบกัน หูกับเสียงประกอบกันประจวบกันดั่งนี้เป็นต้น
ก็เกิดวิญญาณขึ้น คือเกิดความรู้ที่เรียกว่าเห็นที่เรียกว่าได้ยินเป็นต้นขึ้น
และทั้งอายตนะภายในภายนอกที่เป็นคู่กัน และวิญญาณที่บังเกิดขึ้นนี้
มารวมกันเข้าก็เป็นสัมผัส คือกระทบถึงจิตที่แรงขึ้นก็เป็นเวทนา
เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็เป็นสัญญาความจำได้หมายรู้
แล้วก็เป็นสังขารความคิดปรุงหรือปรุงคิด และเมื่อปรุงคิดหรือคิดปรุงไปก็รู้ไปด้วย
๖
ก็เป็นวิญญาณสืบต่อไปอีก หรือว่าจิตตกภวังค์สิ้นสุดลงแค่นั้นในอารมณ์อันหนึ่ง
และเมื่อรับอารมณ์อันใหม่ขึ้นมาก็บังเกิดเป็นวิญญาณ
เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ขึ้นมาอีก แล้วจิตก็ตกภวังค์
หรือว่าจะแสดงสืบเนื่องกันไม่กล่าวถึงจิตตกภวังค์คือเป็นของละเอียด
ก็เป็นวิญญาณขึ้นมาอีก สืบต่อกันไปอยู่ดั่งนี้
เกิดดับ
เพราะฉะนั้น ความเป็นไปของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ ซึ่งเมื่อแสดงโดยปัจจุบันธรรม
ก็มีความบังเกิดขึ้นเป็นปัจจุบันธรรมสืบจากอายตนะ ซึ่งมาประจวบกัน
เกิดดับอยู่ดั่งนี้ตลอดเวลาเป็นธรรมดา นิวรณ์เองก็เกิดดับอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายเป็นธรรมดา
สังโญชน์ก็เกิดดับอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายเป็นธรรมดา
แต่สังโญชน์นี้แยกออกไปเป็นกิเลส นิวรณ์ก็แยกออกไปเป็นกิเลส
สังโญชน์นั้นเองเป็นตัวต้น แล้วก็เป็นนิวรณ์ ดังที่แสดงแล้ว
ก็เป็นฝ่ายกิเลสที่อาศัยขันธ์ ๕ นี่แหละบังเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสแยกมาแสดงจำเพาะอายตนะภายในภายนอก
ซึ่งเป็นต้นของความบังเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ ที่เป็นอารมณ์ในปัจจุบัน
หรือเป็นวิญญาณ แล้วก็เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ในอารมณ์นั้นๆ
ที่จิตออกรับอาศัยอายตนะภายในภายนอกเป็นคู่กันดังที่กล่าว
เพราะฉะนั้นความเกิดความดับของนิวรณ์ก็ดี ของขันธ์ ๕ ก็ดี ของอายตนะก็ดี
ตลอดจนถึงของสังโญชน์เอง จึงมีอยู่เป็นธรรมดาในอารมณ์ทั้งหลาย
เป็นแต่เพียงว่าหัดตั้งสตินี้เองให้ระลึกรู้ในปัจจุบัน คือให้ทัน
ให้ทันกับความเป็นไปของกระบวนจิต หรือว่าของกระบวนขันธ์อายตนะ
และเมื่อตั้งสติกำหนดดูให้ทันแล้ว ก็จะปรากฏความเกิดความดับ
( เริ่ม ๑๑๓/๑ )
๗
ฉะนั้นในข้อที่ว่านิวรณ์ก็ดี ขันธ์ก็ดี สังโญชน์ก็ดี เกิดโดยประการใด ดับโดยประการใด
ละโดยประการใด ละแล้วไม่เกิดอีกโดยประการใด ก็โดยประการที่ทำสตินี้เอง
ให้รู้ทันต่อกระบวนการของความเกิดดับ ของนิวรณ์ ของขันธ์ ของอายตนะ
สิ่งที่ปกปิดก็คือว่าตัวโมหะคือความหลงนี้เอง ที่หลงยึดเข้ามาผูกพันจิตใจ
เพราะฉะนั้น จึงบังเกิดขึ้นในจิตใจ เป็นนิวรณ์ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นสังโญชน์ในจิตใจ
และก็ตั้งอยู่ในจิตใจ นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้บังเกิดเป็นตัวกิเลสขึ้น และเป็นทุกข์ขึ้น
ปกปิดความเกิดความดับซึ่งเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นจึงต้องหัดทำสตินี้ให้รู้ ให้ว่องไว ให้ทัน
และเมื่อรู้ว่องไวทันแล้วก็จะกั้นกิเลสไม่ให้บังเกิดขึ้นได้ กั้นความผูกใจได้
กั้นสังโญชน์ได้ กั้นนิวรณ์ไม่ให้บังเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเห็นเกิดเห็นดับขึ้นมา
เมื่อเห็นเกิดเห็นดับคู่กันขึ้นมาดั่งนี้แล้ว จึงไม่เห็นอะไรที่จะตั้งอยู่ให้รัก หรือให้ชังเป็นต้น
หรือว่าให้เป็นสังโญชน์คือผูกใจ หรือใจผูกเป็นต้น เพราะว่าเมื่อเห็นว่าดับแล้วจะผูกอะไร
ส่วนที่ไม่เห็นว่าดับนั้นจึงผูก
และที่เห็นว่าไม่ดับนั้นก็คือว่าเอามาตั้งไว้ในใจ ผูกอยู่ในใจ ให้เกิดขึ้นใหม่ในใจ
ก็เอาสิ่งที่ดับไปแล้วนั่นแหละ คือที่ประสบพบผ่านมาแล้ว ดับไปแล้วนั่นแหละ
มาผูกไว้ในใจ ตั้งขึ้นใหม่ในใจ เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นในใจ อยู่ในใจทั้งนั้น
ใจนี้เองเป็นตัวที่เก็บเข้ามา แล้วก็เป็นตัวที่ตั้งขึ้น ปลุกขึ้นมา ให้สิ่งที่ดับมาบังเกิดขึ้น
และให้ตั้งอยู่ แล้วก็ยินดียินร้ายหลงอยู่ในสิ่งที่ตั้งอยู่ในใจนี่แหละ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อหัดทำสติให้รู้เท่าทันแล้วจะได้ปัญญาที่รู้ความจริง
ว่านี่เป็นโมหะคือตัวหลงทั้งนั้น เป็นอวิชชาคือไม่รู้จริงทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นการหัดทำสติให้ว่องไวดั่งนี้จึงเป็นไปทั้งเพื่อสติ สมาธิ และเพื่อปัญญา
ซึ่งในหมวดธรรมานุปัสสนานี้เป็นหมวดที่ตรัสสอนไว้เพื่อเจริญทางปัญญาเป็นที่ตั้ง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์
โพชฌงค์ ๗
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ธรรมานุปัสสนา ๓
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์ ๔
นามรูป ๔
อายตนะภายใน ภายนอก สัญโญชน์ ๕
นิวรณ์ ๖
องค์ของความรู้ ๗ ประการ ๗
โพชฌงค์ ๗ ๘
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๑๓/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๑๓/๒ ( File Tape 87 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์
โพชฌงค์ ๗
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สวากขาโต ภควตาธัมโม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูได้ โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาในตน
และ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
ทุกข้อทุกบทย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณครบถ้วน
ได้แสดงอธิบายมาถึงข้อที่ ๖ ธรรมะอันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้จำเพาะตน
โดยได้ยกสติปัฏฐานมาแสดงอธิบายโดยลำดับ ตั้งแต่ในพระธรรมคุณบทต้นๆ
๒
และอันที่จริงนั้นสติปัฏฐานนั้นก็ย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณทุกบท
ฉะนั้น การที่มาจำแนกสติปัฏฐานเข้าในพระธรรมคุณบทต่างๆกัน
จึงเป็นเพียงแสดงเป็นสาธกคือยกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เป็นนิทัศนะเพียงในบทใดบทหนึ่งเท่านั้น
เพราะจะแสดงอธิบายไปทุกบทพร้อมกันนั้น ย่อมเป็นการจะแจกแจงให้เห็นจำเพาะ
อรรถะเนื้อความ พยัญชนะถ้อยคำ แห่งพระธรรมคุณในบทใดบทหนึ่งให้ชัดเจนเป็นการยาก
ฉะนั้นในทางแสดงอธิบายจึงจะต้องยกขึ้นสาธกในบทใดบทหนึ่ง
และแม้ในการแสดงสติปัฏฐานขึ้นสาธกในพระธรรมคุณที่แสดงมาโดยลำดับก็เป็นเช่นเดียวกัน
ฉะนั้นจึงได้แสดงบ่อยๆว่าธรรมะทุกข้อทุกบทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
จะเป็นสติปกัฏฐานก็ตาม บทอื่นก็ตาม ก็ย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณทุกบททั้งนั้น
ธรรมานุปัสสนา
และก็ได้แสดงมาถึงข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ทำสติระลึกกำหนดธรรมะอันเป็นข้อที่ ๔
ได้ทรงแสดงธรรมะฝ่ายอกุศลคือนิวรณ์ ๕ ขึ้นเป็นหมวดแรก แล้วทรงแสดงขันธ์ ๕
แล้วทรงแสดงอายตนะ ๖ และสัญโญชน์ เป็นอันได้ทรงยกเอาหมวดธรรมเหล่านี้ขึ้นแสดง
โดยที่จิตใจของสามัญชนทั่วไปนั้นย่อมเป็นกามาพจร หยั่งลงในกาม ท่องเที่ยวอยู่ในกาม
จึงมักเป็นจิตที่มีราคะบ้าง มีโทสะบ้าง มีโมหะบ้าง ซึ่งกิเลสเหล่านี้ก็บังเกิดขึ้นในจิต
ฉะนั้นในข้อจิตตานุปัสสนาจึงได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูจิต
ว่ามีราคะโทสะโมหะ หรือปราศจากราคะโทสะโมหะ
และเมื่อมาถึงธรรมานุปัสสนา ซึ่งได้ตรัสสอนให้กำหนดดูธรรมะซึ่งบังเกิดขึ้นในจิต
คู่กันไปกับจิตตานุปัสสนา จึงได้ตรัสสอนให้กำหนดดูราคะโทสะโมหะซึ่งบังเกิดขึ้นในจิต
โดยที่ตรัสยกขึ้นเป็นนิวรณ์ทั้ง ๕ จำแนกออกไปเป็น ๕ ตามอาการ
ที่ปรากฏอยู่ของจิตสามัญชนทั่วๆไป
ครั้นตรัสสอนให้กำหนดดูจิตที่ประกอบด้วยนิวรณ์ดังกล่าว มุ่งกำหนดดูตัวนิวรณ์ดังกล่าว
๓
และตรัสสอนให้รำงับนิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้ประกอบไปด้วย
เพราะว่านิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้เอง ตรัสเรียกว่าเป็นนิวรณ์ ก็เพราะเป็นเครื่องกั้นจิตไว้
ไม่ให้ได้สมาธิ และทำปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นจริงให้อ่อนกำลัง
ทำให้ไม่อาจจะรู้แจ้งเห็นจริงได้
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์
ฉะนั้นจึงได้ทรงยกขึ้นเป็นหมวดแรกในข้อธรรมะ
และเมื่อเพ่งดูนิวรณ์ที่บังเกิดขึ้นในจิตนั้นให้รู้จักว่าเป็นนิวรณ์
สติที่เป็นตัวเพ่งดู พร้อมกับญาณปัญญาซึ่งบังเกิดขึ้น
คือรู้จักตัวนิวรณ์ รู้จักโทษของนิวรณ์แล้ว นิวรณ์เหล่านี้ก็จะดับไป สงบไป
เพราะฉะนั้นวิธีที่จะทำให้นิวรณ์เกิดขึ้น หรือเหตุที่จะทำให้นิวรณ์เกิดขึ้น
จึงอยู่ที่ความขาดสติและขาดญาณปัญญา
เมื่อทำสติและญาณปัญญาให้บังเกิดขึ้นในนิวรณ์ได้ นิวรณ์จึงสงบไปได้
วิธีที่จะละนิวรณ์ดับนิวรณ์ เมื่อกล่าวโดยรวบรัดแล้วก็คือสติ และญาณปัญญานี้เอง
สติก็คือสติปัฏฐาน ปัญญาก็คือปัญญาที่บังเกิดขึ้นติดต่อกันไป
และเมื่อนิวรณ์สงบจิตก็ย่อมสงบตั้งมั่น ก็น้อมจิตที่สงบตั้งมั่นนี้มาพิจารณาให้รู้จักขันธ์ ๕
อันย่อเข้าก็เป็นนามรูปหรือกายใจอันนี้ที่เป็นที่บังเกิดขึ้นของนิวรณ์
เพราะนิวรณ์ก็อาศัยกายใจอันนี้เองบังเกิดขึ้น และบังเกิดขึ้นที่จิตอันประกอบด้วยกายใจอันนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อนิวรณ์สงบ กายใจที่ปราศจากนิวรณ์อาศัย กายใจที่บริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้น
นามรูป
การตั้งสติกำหนดดูกายดูใจให้รู้จักว่านี่กายนี่ใจ หรือว่านี่นามนี่รูป
กายก็คือรูป ใจก็คือนาม ให้รู้จักว่านี่รูป นี่เวทนา นี่สัญญา นี่สังขาร นี่วิญญาณ
๔
ย่อเข้ารูปก็เป็นรูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เป็นนาม
หรือรูปก็เป็นกายนามก็เป็นใจ โดยย่อ ดั่งนี้ให้รู้จักหน้าตา
และให้รู้จักประการที่รูปนามหรือนามรูปบังเกิดขึ้น ให้รู้จักประการที่นามรูปดับไป
และเมื่อกล่าวโดยย่อนั้นนามรูปบังเกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาจากวิญญาณ
วิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด วิญญาณดับนามรูปก็ดับ
และวิญญาณนั้นก็รวมอยู่ในนามรูป ซึ่งนับในขันธ์ ๕ เป็นข้อ ๕
อายตนะภายใน ภายนอก
เพราะฉะนั้น ความที่จะกำหนดให้รู้จักเกิดดับของขันธ์ ๕ หรือนามรูป
เมื่อกำหนดให้รู้จักตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เมื่อว่าตามระยะปฏิจจสมุปบาท
ก็มีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อพิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาทดั่งนี้แล้ว
จึงต้องพิจารณาต่อไปถึงว่าอะไรเป็นประการที่ทำให้วิญญาณเกิดให้วิญญาณดับ
จึงสืบมาถึงอายตนะตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า
เมื่ออายตนะภายในประจวบกับอายตนะภายนอก ก็ย่อมเกิดวิญญาณ
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนหมวดอายตนะต่อไปให้รู้จักตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น
ลิ้นกับรส กายและโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องที่ใจคิด เรื่องที่ใจรู้
สัญโญชน์
แต่ในสติปัฏฐานนี้ ในตอนนี้ยังมิได้ตรัสถึงวิญญาณ ตรัสถึงสัญโญชน์ทีเดียว
แต่ว่าจะอธิบายเพิ่มเติมว่าอายตนะภายในกับภายนอกเมื่อประจวบกันดังกล่าว
เมื่อแสดงตามสายของเบ็ญจขันธ์ ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ก็เกิดวิญญาณ
วิญญาณในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงวิญญาณหรือจิตดังที่พูดกันว่าวิญญาณไปเกิดเป็นต้น
แต่หมายถึงเพียงความรู้ที่เรียกว่าเห็น ความรู้ที่เรียกว่าได้ยิน เป็นต้นเท่านั้น
ซึ่งหากว่าอายตนะภายในกับภายนอกไม่มาประจวบกัน วิญญาณดังกล่าวก็ไม่เกิด
๕
เช่นเมื่อตากับรูป เมื่อยังไม่มาประจวบกัน จักขุวิญญาณความรู้คือการเห็นทางตาก็ไม่เกิด
ต่อเมื่อตากับรูปมาประจวบกัน จักขุวิญญาณดังกล่าวจึงเกิด และเมื่อเกิดจักษุวิญญาณ
ก็เกิดเวทนาสัญญาสังขาร แล้วก็เวียนมาวิญญาณอีกดังที่ตรัสแสดงไว้ในขันธ์ ๕
เพราะฉะนั้น ในตอนที่ทรงแสดงข้อว่าหรือหมวดว่าอายตนะทั้ง ๖ นี้
ทรงละเอาไว้ถึงกระบวนของขันธ์ ๕ หรือนามรูปที่บังเกิดติดต่อกัน
แต่ได้ทรงแสดงโดยตรงไปถึงสังโญชน์คือความที่มีความผูกใจหรือใจผูก
อันเป็นกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองของจิตที่บังเกิดขึ้นทีเดียว
ดังที่ตรัสว่าอาศัยตาอาศัยรูปเกิดสัญโญชน์ดั่งนี้
เป็นการที่ได้ตรัสชี้ให้เห็นถึงกิเลสที่บังเกิดขึ้น โดยที่ขาดสติระลึกกำหนดให้รู้จัก
ว่าย่อมเกิดสัญโญชน์ขึ้น คือความผูกใจหรือใจผูก อยู่กับเรื่องรูปที่ตาเห็นนั้น
นิวรณ์
เพราะฉะนั้นจึงได้แสดงว่าสัญโญชน์ที่ดังกล่าวนี้เอง
บังเกิดขึ้นนำหน้านิวรณ์ และก็เป็นตัวนิวรณ์เองโดยสรุปเข้ามา
เพราะฉะนั้นจึงได้มีอธิบายสัญโญชน์ว่าได้แก่ฉันทะราคะ
ความติดใจด้วยอำนาจของความพอใจ หรือว่าความพอใจติดใจอยู่ในอารมณ์
คือเรื่องรูปเป็นต้น ที่ได้ประจวบทางตาเป็นต้น ก็คือทางอายตนะ ๖ นั่นแหละ
และฉันทราคะซึ่งเป็นอธิบายของสังโญชน์เป็นประการแรกนี้
ก็มาเป็นนิวรณ์ข้อต้นคือกามฉันท์นั่นแหละ
และก็มาเป็นนิวรณ์ข้อพยาบาท ข้อถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
และข้ออุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ข้อวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัย
เพราะฉะนั้นสังโญชน์จึงเท่ากับเป็นต้นเดิม หรือจะกล่าวว่าเป็นสรุปของนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้
และก็ตรัสสอนให้กำหนดให้รู้จักความเกิดความดับของสัญโญชน์
๖
ตลอดจนถึงว่าสัญโญชน์ที่ละได้ ดับได้ จะไม่บังเกิดขึ้นอีกด้วยประการใดก็ให้รู้ประการนั้น
เมื่อมาถึงตอนนี้ก็อาจกล่าวสรุปได้โดยสังเขปอีกว่า
สัญโญชน์บังเกิดขึ้นก็เพราะขาดสติที่กำหนดให้รู้จัก กับขาดญาณปัญญานั่นแหละ
และสัญโญชน์จะดับได้ก็ด้วยความที่มีสติกำหนดให้รู้จัก พร้อมทั้งญาณปัญญานั่นแหละ
แต่ว่าเมื่อมาถึงขั้นสัญโญชน์นี้ อันนับว่าได้ตรัสแสดงถึงกิเลสที่ละเอียดเข้า
จะเรียกว่าละเอียดกว่านิวรณ์ก็ได้ แต่ว่าจะว่าก็รวมอยู่ในนิวรณ์ก็ได้
( เริ่ม ๑๑๓/๒ ) แต่นิวรณ์นั้นเป็นกิเลสที่ปรากฏชัดแจ้ง
อันทำจิตให้กลัดกลุ้ม รุ่มร้อน วุ่นวาย ทำจิตให้กระสับกระส่ายไม่สงบที่ปรากฏ
ดังเช่นที่ทุกคนก็รู้จัก เมื่อกามฉันท์บังเกิดขึ้น ก็ทำให้รุ่มร้อนวุ่นวาย ด้วยอำนาจของกาม
เมื่อพยาบาทบังเกิดขึ้นก็ทำให้จิตรุ่มร้อนวุ่นวายด้วยอำนาจของโทสะ
และเมื่อถีนมิทธะบังเกิดขึ้นก็ทำจิตให้ตกต่ำ ง่วงงุน เคลิบเคลิ้ม ไม่มีกำลังที่จะประกอบการงาน
เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะบังเกิดขึ้นก็ทำใจให้ฟุ้งซ่าน เดือดร้อนรำคาญ
เมื่อวิจิกิจฉาบังเกิดขึ้นก็ทำใจให้สงสัยเคลือบแคลง ขาดความแน่นอนใจ
ทั้งทางศรัทธา ทั้งทางปัญญา เป็นอาการที่ปรากฏอยู่แก่จิตใจ
และทั้งหมดนี้ก็มีสังโญชน์นี่แหละเป็นต้นเดิมอยู่
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าสังโญชน์นี่ละเอียดกว่า ซึ่งจับได้ยากกว่า
นิวรณ์นั้นกำหนดได้ง่าย หรือจับได้ง่าย รู้ได้ง่าย
แต่มาถึงสัญโญชน์คือความผูกใจหรือใจผูกนี้ กำหนดให้รู้จักได้ยากกว่า ละเอียดกว่า
องค์ของความรู้ ๗ ประการ
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนต่อไปในข้อโพชฌงค์ทั้ง ๗
คือองค์ของความรู้ทั้ง ๗ ประการ ซึ่งหนักไปในทางญาณปัญญา
๗
ญาณคือความหยั่งรู้ ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง ซึ่งหมายถึงเป็นปัญญาด้วยกัน
เพราะว่าจะต้องใช้ปัญญาในทางที่จะกำหนดพิจารณาให้รู้จัก
แต่ว่าก็ต้องตั้งต้นด้วยสติเช่นเดียวกัน ขาดสติไม่ได้
เพราะสตินั้นคือความระลึกกำหนด เท่ากับเป็นผู้เสนอเรื่องเหล่านี้แก่จิต
เพื่อกำหนดพิจารณาให้รู้จัก ซึ่งเป็นตัวปัญญา
ถ้าหากว่าสติไม่เสนอ หรือว่าเสนอบกพร่อง ปัญญาก็ไม่เกิด
หรือเกิดขึ้นก็เกิดอย่างบกพร่อง เพราะปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่สตินี้เองเป็นผู้เสนอ
เหมือนอย่างบุคคลซึ่งเป็นผู้ทำงาน หรือเป็นหัวหน้างาน ซึ่งมีเลขานุการเป็นผู้เสนอเรื่อง
ถ้าหากว่าเลขานุการไม่เสนอเรื่อง ผู้ที่บัญชางานก็ไม่มีเรื่องจะบัญชา
หรือว่าถ้าผู้เสนอเรื่องเสนอผิด คือเสนอเรื่องราวข้อมูลต่างๆผิด
ผู้บังคับบัญชาก็จะต้องสั่งไปผิดๆ ต่อเมื่อสติเสนอถูกจึงจะบังคับบัญชาไปถูกต้องได้
เพราะฉะนั้นสติจึงมีหน้าที่สำคัญ คือเป็นผู้เสนอเรื่องแก่จิตเพื่อพิจารณา
และสตินี้เองย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรู้ผิด หรือรู้ถูก ถ้าเสนอผิดก็ทำให้รู้ผิด เสนอถูกก็รู้ถูก
สติที่เสนอผิดนั้นเป็นมิจฉาสติ สติที่ผิด สติที่เสนอถูกนั้นเป็นสัมมาสติ สติที่ชอบ
และปัญญาที่รู้ผิดนั้นเป็นมิจฉาปัญญา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ปัญญาที่รู้ถูกนั้นเป็นสัมมาปัญญา สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้นสติกับปัญญาจึงเนื่องกัน
โพชฌงค์ ๗
เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงหมวดโพชฌงค์ ๗
จึงได้ตรัสแสดงสติเป็นข้อแรกคือสติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อมคือสติ
ข้อ ๒ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือธรรมวิจัยความเลือกเฟ้นธรรม
ข้อ ๓ วิริยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือความเพียร
ข้อ ๔ ปีติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือปีติ
ข้อ ๕ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือปัสสัทธิความสงบกายสงบใจ
ข้อ ๖ สมาธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือสมาธิ
และข้อ ๗ อุเบกขาสัมโพชงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม
คืออุเบกขา ความเข้าไปเพ่งสงบอยู่ในภายใน
เพราะฉะนั้น หมวดสัมโพชฌงค์นี้ จึงเป็นหมวดธรรมะอันสำคัญซึ่งจะได้แสดงต่อไป
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*