ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 ธันวาคม 2555 10:32
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป078
มาร ๕ (๒)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้า ๒
ปรมัตถประโยชน์ ๓
สันติของใจเรียกว่านิพพาน ๔
สันทิฏฐิกนิพพาน ๕
มาร ความหมายของขันธมาร ๖
เหตุที่ทำให้ไม่ได้ศรัทธาปัญญา ๗
กิเลสมาร ๗
อภิสังขารมาร ๘
มัจจุมาร ๙
เทวบุตรมาร ๑๐
เครื่องขัดขวางต่อการปฏิบัติ ๑๒
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๐๐/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๐๐/๒ ( File Tape 78 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
มาร ๕ (๒)
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
การปฏิบัติพระพุทธศาสนา กล่าวโดยย่อก็เพื่อประโยชน์ ๓ ประการ
คือประโยชน์ปัจจุบันอันเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ
ประโยชน์ที่บังเกิดขึ้นในธรรมะคือข้อที่เห็นได้ อันหมายถึงว่าเห็นได้ในปัจจุบัน
สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ภายหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง อันเรียกว่า ปรมัตถะ
อันหมายถึงมรรคผลนิพพาน คือธรรมะที่ตัดกิเลสและกองทุกข์ ได้บางส่วนจนถึงสิ้นเชิง
ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้า
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน อันเรียกว่าฆราวาส
ให้ปฏิบัติในประโยชน์ปัจจุบัน และประโยชน์ภายหน้า
ทรงสั่งสอนบรรพชิตคือผู้บวชในพุทธศาสนา ตลอดจนถึงฆราวาส คฤหัสถ์
๒
ผู้มุ่งประโยชน์ที่สูงขึ้นไป ให้ปฏิบัติในธรรมะอันเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง
คือมรรคผลนิพพาน อันเรียกว่า ปรมัตถประโยชน์ นั้น
ปรมัตถประโยชน์
สำหรับในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่าเพื่อละกิเลสและกองทุกข์นั้น
กล่าวโดยย่อก็คือปฏิบัติในไตรสิกขา อันได้แก่ศีลสมาธิปัญญา
เมื่อกล่าวโดยจำแนกออกไปอีกก็ได้แก่มรรคมีองค์ ๘
มรรคมีองค์ ๘ นี้ สรุปเข้าก็เป็นศีลสมาธิปัญญานั้นเอง
เพราะฉะนั้น บรรพชิตคือผู้บวชในพระพุทธศาสนา
ตามความมุ่งหมายตั้งแต่ต้นมา ก็มุ่งบวชเพื่อปฏิบัติละกิเลสและกองทุกข์
อันเป็นปรมัตถประโยชน์ดังกล่าวมานั้น
อนึ่ง แม้ว่าในเวลาต่อมาถึงปัจจุบัน จะมีการบวชชั่วระยะเวลาอันสั้น
เพื่อเข้ามาศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัยที่ภิกษุจะพึงศึกษาปฏิบัติ
อันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อละกิเลสและกองทุกข์ ก็คงปฏิบัติอยู่ในหลักแห่งศีลสมาธิปัญญานั้นเอง
ถึงว่าคฤหัสถ์ฆราวาสผู้ที่ต้องการประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้า
เมื่อรวมเข้ามาแล้วก็คงปฏิบัติอยู่ในหลักแห่งศีลสมาธิปัญญาด้วย
เป็นแต่เพียงว่าผ่อนลงมาในรายละเอียดทั้งหลาย ที่แบ่งแยกออกเป็นข้อๆให้น้อยเข้า
พอเหมาะพอควรแก่ความเป็นคฤหัสถ์ฆราวาส
เช่นว่า ศีลของภิกษุมีจำนวนที่กำหนดกันไว้สำหรับแสดงที่มาในพระปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อ
คือจำแนกออกเป็นข้อๆ เป็นรายละเอียด ก็เป็น ๒๒๗ ข้อ
แต่สำหรับคฤหัสฆราวาสก็เป็นศีล ๕ ศีล ๘ จำแนกออกเป็น ๕ ข้อ ๘ ข้อ ดั่งนี้เป็นต้น
ซึ่งก็รวมเข้าในคำว่าศีลนั้นเอง
๓
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต ก็คงปฏิบัติอยู่ในศีล
แม้สมาธิและปัญญาก็เช่นเดียวกัน ก็คงปฏิบัติอยู่ในสมาธิและในปัญญา
เพื่อให้บรรลุถึงสันติคือความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
และโดยตรงก็คือสงบใจ อันเป็นหลักสำคัญ
จึงมาปฏิบัติทำจิตตภาวนา ทั้งในขั้นสมาธิ และในขั้นปัญญาอยู่ด้วยกัน
สันติของใจเรียกว่านิพพาน
ดั่งที่มาปฏิบัติกันอยู่นี้ ก็มุ่งที่จะทำให้จิตใจบรรลุถึงความสงบ
ก็คือสงบจากกิเลสอันเป็นส่วนเหตุ สงบจากความทุกข์อันเป็นส่วนผล ที่เกิดจากเหตุ
คือสงบกิเลส สันติคือความสงบดังกล่าวนี้ เป็นข้อมุ่งหมายแห่งการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
และก็มีความหมายที่รวมได้ถึงคำที่ว่ามรรคผลนิพพาน หรือว่าพ้นกิเลส พ้นทุกข์
ละกิเลส ละทุกข์ คำเหล่านี้ก็รวมอยู่ได้ในคำว่าสันติ
เพราะฉะนั้นจึงได้มีพุทธศาสนสุภาษิต
ที่แสดงไว้ว่า ความบริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจทั้งหลาย
เป็นความดับจากทุกข์ทั้งปวง นั้นคือสันติของใจ ซึ่งเรียกว่านิพพาน
เพราะฉะนั้น ตามพุทธศาสนสุภาษิตที่แปลมานี้ ที่เรียกว่านิพพานนั้นก็คือสันติของใจ
หรือความสงบของใจ ความสงบของใจนั้นก็ได้แก่ ความดับจากทุกข์ทั้งสิ้น
และความดับจากทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ก็เพราะวิสุทธิ คือบริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจทั้งหมด
การปฏิบัติเพื่อวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ จากเครื่องเศร้าหมองใจทั้งหมด
จึงเป็นไปเพื่อความดับจากทุกข์ทั้งสิ้น นี้แหละคือสันติของใจ
ความสงบของใจ ที่เรียกว่านิพพาน
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต เช่นมาปฏิบัติทำจิตตภาวนากันอยู่นี้
๔
จึงเป็นการปฏิบัติเพื่อสันติของใจที่เรียกว่านิพพานนั้นเอง
อันจะพึงถึงได้ด้วยการปฏิบัติให้จิตนี้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจทั้งหลาย
อันส่งผลให้เป็นความดับจากทุกข์ทั้งหลาย
การปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญา ก็เพื่อสันติของใจดังที่กล่าวมานี้
สันทิฏฐิกนิพพาน
และได้มีพระพุทธภาษิตที่แสดงไว้ถึง สันทิฏฐิกนิพพาน คือนิพพานที่เห็นได้ในปัจจุบัน
หรือ ทิฏฐธรรมนิพพาน นิพพานที่เห็นได้ในปัจจุบัน อันหมายถึงสันติของใจ
แม้ที่ทุกคนผู้ปฏิบัติธรรมะได้บรรลุถึงกันอยู่ แม้ว่าจะเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
เช่นได้บรรลุถึงอยู่ในขณะที่ปฏิบัติธรรมะ
เช่นในขณะที่ปฏิบัติทำจิตตภาวนา
ใจบริสุทธิ์จากกิเลสกองโลภโกรธหลงทั้งหลาย ไม่มีทุกข์อยู่ในใจ
ในขณะที่จิตบริสุทธิ์นี้ใจจึงสงบ แม้เพียงเท่านี้ก็เป็นทิฏฐธรรมิกะนิพพาน
หรือสันทิฏฐิกะนิพพาน นิพพานที่เห็นได้ในปัจจุบัน ของผู้ปฏิบัติทั่วไปได้
ซึ่งบังเกิดขึ้นชั่วขณะ หรือชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม
และอาศัยการปฏิบัติแม้ชั่วครั้งชั่วคราวนี้ ได้ความสงบของใจ
เมื่อปฏิบัติบ่อยๆเข้าก็ย่อมจะได้มากขึ้น นานขึ้น
จนถึงสามารถบริสุทธิ์จากกิเลสได้จริงๆ อย่างเด็ดขาด
ก็จะทำให้ได้ความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด ได้สันติของใจอย่างเด็ดขาด
จนถึงเด็ดขาดในที่สุด
ก็เป็นปัจจุบันอีกเหมือนกัน คือเป็นสันทิฏฐิกะ เป็นทิฏฐธรรมอีกเหมือนกัน
คือเห็นได้ในปัจจุบัน อันหมายความว่าไม่ต้องไปรอในภายหน้า
เช่นไปรอว่าต้องพรุ่งนี้ ต้องมะรืนนี้ ต้องปีหน้า ต้องชาติหน้า
๕
แต่หมายความว่าเห็นกันได้เดี๋ยวนี้ วันนี้ เวลานี้
อันหมายถึงว่าเวลาที่สามารถปฏิบัติทำจิตให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมาได้
บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายได้ ทุกข์ทั้งหลายดับไปได้ สันติของใจก็มีได้ มีได้ให้เห็นได้
ให้รู้ได้ ในเดี๋ยวนี้ ในวันนี้ ไม่ต้องรอไปว่าต่อจากเดี๋ยวนี้ หรือพรุ่งนี้เป็นต้นดังที่กล่าวมาแล้ว
ดั่งนี้แหละธรรมะจึงเป็น สันทิฏฐิโก ที่เห็นได้เองในพุทธศาสนา เห็นได้ในปัจจุบัน
และแม้ว่าจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่เป็นอะไร เพราะทีแรกก็ต้องชั่วครั้งชั่วคราวไปก่อน
และเมื่อทำบ่อยๆ ทำมากๆเข้า ได้บ่อยๆ ได้มากๆเข้า ก็จะยืดยาวยิ่งขึ้น จะมากยิ่งขึ้น
จนถึงบริสุทธิ์บริบูรณ์ เต็มรอบในที่สุดดังที่กล่าวมาแล้ว
มาร
อนึ่ง ในการปฏิบัติธรรมะในพุทธศาสนา เพื่อบรรลุถึงสันติของใจ
ที่เรียกว่านิพพาน แม้ที่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ที่เป็นปัจจุบันดังกล่าวมานั้น
ก็จะต้องมีประสบมารทั้งหลาย มีขันธมารเป็นต้น เป็นเครื่องขัดขวางต่อการปฏิบัติ
ทำให้การปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส เพื่อให้บริสุทธิ์จากกิเลสนี้เป็นไปไม่ได้สะดวก
ทำให้ดับทุกข์เป็นไปไม่ได้สะดวก ทำให้สันติของใจเกิดขึ้นมาได้ยาก ไม่ค่อยจะได้
ความหมายของขันธมาร
ข้อแรกก็คือขันธมาร มารคือขันธ์ ได้แก่ขันธ์ ๕
ย่อเข้ามาก็เป็นนามรูป คือกายใจนี้เอง ซึ่งในการปฏิบัติธรรมะดังที่กล่าวโดยย่อ
คือศีลสมาธิปัญญานั้น ก็ต้องใช้กายใจนี้เองปฏิบัติ แต่ว่ากายใจนี้ก็คร้าน
คือเกียจคร้านที่จะปฏิบัติ หรือว่าท้อแท้ทางกายท้อแท้ทางใจ ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติ
อดทนต่อหนาวร้อนหิวระหาย และเครื่องที่มาทำให้เกิดความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจต่างๆ ไม่ได้ ( เริ่ม ๑๐๐/๒ ) เมื่อต้องประสบกับทุกขเวทนาก็ไม่สามารถที่จะทนได้
ทั้งต้องการจะให้กายใจนี้ได้พบกับสุขเวทนา เช่นที่เป็นกามสุขทั้งหลาย ก็ทำไม่ได้
๖
เหล่านี้เป็นต้น จึงทำให้ไม่สามารถปฏิบัติได้
หรือว่าปฏิบัติได้ก็ไม่เต็มที่ ต้องขาดตกบกพร่อง ก็เพราะกายและใจอันนี้นี่เอง
เมื่อเป็นดั่งนี้ ขันธ์คือกายใจอันนี้ก็เป็นมารต่อการที่จะปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา
หรือจะเรียกว่าพระธรรมวินัยก็ได้ ทำให้บรรลุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายไม่ได้
ดับทุกข์ไม่ได้ บรรลุถึงสันติของใจไม่ได้
เหตุที่ทำให้ไม่ได้ศรัทธาปัญญา
ทั้งนี้ก็เพราะว่าสามัญชนทั้งปวงนั้น
ยังมีความยึดถือ ขันธ์หรือกายใจอันนี้ ว่าเป็นตัวเราของเรา
ฉะนั้นจึงเรียกว่าอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือว่าตัวเราของเรา
เมื่อมีความยึดถือดั่งนี้ นอกจากไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมวินัย หรือศีลสมาธิปัญญาได้
ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังไม่สามารถที่จะได้ศรัทธาความเชื่อ ได้ปัญญาความรู้
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ขันธ์ทั้งหลายคือกายใจนี้เป็นอนิจจะไม่เที่ยง
เป็นทุกขะเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
ไม่สามารถที่จะเชื่อ ไม่สามารถที่จะรู้ รับในสัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้
เพราะว่าขัดต่อความยึดถือของตน ที่ยึดว่าเป็นตัวเราของเรา
ครั้นมาสดับว่าไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ก็ทำให้ไม่เกิดความเชื่อ ไม่เกิดปัญญาที่รับรู้
เพราะฉะนั้นขันธ์เป็นที่ยึดถือนี้เองจึงเป็นมารขัดขวางต่อการที่จะละกิเลสและกองทุกข์ได้
กิเลสมาร
ทั้งนี้ก็เพราะว่าอุปาทานความยึดถือ อันทำให้ขันธ์เป็นอุปาทานขันธ์ดังกล่าวมานั้น
ก็เป็นตัวกิเลสนั้นเอง อุปาทานก็เป็นตัวกิเลส
และอุปาทานนี้ก็เกิดสืบมาจากตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยาก
อันสืบเนื่องมาจากอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง
๗
เพราะฉะนั้นเมื่อชี้เข้ามาโดยตรงแล้ว ก็คือตัวกิเลสนี้เองที่เป็นตัวมาร
จึงแสดงกิเลสมารเป็นข้อที่ ๒
กิเลสเครื่องเศร้าหมองของใจนี้
ก็ตั้งต้นแต่อวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง
แล้วก็สืบมาเป็นตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เป็นอุปาทานความยึดถือ
และเมื่อแสดงออกไปโดยอาการต่างๆ เป็นราคะความติดใจยินดี
หรือโลภะความโลภอยากได้ โทสะความโกรธแค้นขัดเคือง โมหะความหลงเป็นต้น
ก็เป็นกิเลสทั้งนั้น กิเลสเหล่านี้เองเป็นตัวมารที่เป็นเครื่องขัดขวางมิให้การปฏิบัติพระธรรมวินัย
หรือศีลสมาธิปัญญา เพื่อความบริสุทธิ์จากกิเลส เพื่อความสิ้นทุกข์นั้นเป็นไปได้
อภิสังขารมาร
และกิเลสนี้เองที่มารังควานอยู่ในจิตใจของบุคคลได้
ก็เพราะจิตใจของบุคคลนี้เองรับกิเลสเข้ามาปรุงแต่งจิตใจ ให้คิดไป
เจตนาจงใจไปในทางดีบ้าง ในทางไม่ดีบ้าง ในทางที่เป็นกลางๆบ้าง
อันเรียกว่า อภิสังขาร คือความปรุงแต่งใจ
เพราะใจหรือจิตนี้เองยังมีราคะคือความติด มีความยินดี อยู่ในกิเลส ยังติดกิเลส
เพราะฉะนั้นจึงรับกิเลสเข้ามาเป็นเครื่องปรุงจิตใจ ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย
คือรูปที่เห็นทางตา เสียงที่ได้ยินทางหู กลิ่นที่ทราบทางจมูก รสที่ทราบทางลิ้น
โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องที่ทราบทางกาย และธรรมะคือเรื่องราวทั้งหลายที่รู้ทางใจ
กิเลสก็ปรุงสิ่งเหล่านี้ ความปรุงแต่งดังที่กล่าวมานี้เรียกว่าอภิสังขาร
เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้ว คือดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นกลางๆบ้าง
เพราะฉะนั้น ความปรุงแต่งนี้เองจึงเป็นตัวมารที่สืบเนื่องมาจากกิเลส
คนเราไม่สามารถจะปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา หรือในพระธรรมวินัยได้
๘
ก็เพราะว่ากิเลสเหล่านี้คอยปรุงใจอยู่ โดยอาศัยอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายดังที่กล่าวมานั้น
ก่อให้บังเกิดกิเลสทับถมเข้ามาอีก และเมื่อใจปรุงอยู่ดั่งนี้ ก็ปรากฏเป็นความฟุ้งซ่านไปต่างๆ
จะปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์ก็ปฏิบัติไม่ได้ จะทำสมาธิก็ทำไม่ได้
จะปฏิบัติทางปัญญา ปัญญาก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้น จึงต้องสงบเครื่องปรุงใจให้ได้ คือสงบกิเลสและอารมณ์ในใจได้
นั่นแหละจึงจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาได้
เพราะฉะนั้น ความสำคัญจึงมาอยู่ที่ว่าใจนี้เองรับเอากิเลสเข้ามาปรุง รับเอาอารมณ์เข้ามาปรุง
เพราะฉะนั้น นี่แหละเรียกว่า อภิสังขารมาร ที่บังเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจของบุคคล
มัจจุมาร
และในการที่เป็นไปดังนี้จึงทำให้บุคคลต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่สิ้นสุด
ไม่สามารถจะพ้นจากความเวียนว่ายตายเกิดได้ และแม้ในปัจจุบันนี้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่
แต่ทุกคนนั้นก็มักจะไม่นึกถึงเกิด แต่ว่ามักจะนึกถึงก็คือตายและเมื่อนึกถึงขึ้นมาแล้วก็กลัวตาย
เพราะฉะนั้นความตายจึงเป็นมรณะภัย ภัยคือความกลัวแต่ความตาย
ซึ่งแสดงว่าเป็นความรู้สึกประจำจิตใจของคนทั้งหลายอยู่ทั่วกัน
และความตายนี้อันที่จริงก็เป็นธรรมดาของสังขาร
แต่ว่าบุคคลเมื่อมีความยึดถืออยู่ในชีวิต เป็นตัวเราเป็นของเรา
หรือในขันธ์ว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ก็ไม่ต้องการที่จะแก่จะตาย
เพราะฉะนั้น จึงต้องกลัวตาย เพราะไม่อยากจะตาย เห็นความตายว่าเป็นเครื่องทำลาย
และความตายนั้นอันที่จริงก็เป็นเครื่องทำลายชีวิตจริงๆ เป็นเครื่องทำลายที่มองเห็นกันอยู่
บุคคลที่ควรจะบรรลุประโยชน์อะไรได้ต่อไปอีก แต่ต้องตายเสียก่อน
ก็เป็นอันว่าขาดประโยชน์ที่จะบรรลุได้
๙
ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าจะตรัสสอนปฐมเทศนาแก่ท่านอาจารย์ทั้งสอง
คือท่านอาฬารดาบส และท่านอุททกดาบส ว่าเป็นผู้ที่สมควรจะรับปฐมเทศนาได้
ถ้าเสด็จไปโปรดท่านก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม
แต่ว่าก็ทรงทราบว่าท่านทั้งสองนั้นได้ถึงมรณภาพไปเสียก่อนแล้ว
เพราะฉะนั้น ท่านจึงหมดโอกาศที่จะได้ดวงตาเห็นธรรม
นี้ความตายเป็นเครื่องทำลายชีวิต อันเรียกว่าเป็นมารอย่างทั่วไป
แต่อันที่จริงนั้นก็เป็นธรรมดาของชีวิตของสังขารทั้งหลาย เพราะเกิดก็ต้องตาย
พระพุทธเข้าได้ทรงพ้นจากความตาย ดังที่เรียกว่าบรรลุอมตธรรม เป็นพุทโธคือเป็นพระผู้รู้
ก็โดยที่ได้ตรัสรู้เห็นในคติธรรมดาของสังขารทั้งหลาย ว่าต้องเกิดต้องดับ หรือต้องเกิดต้องตาย
เพราะฉะนั้นจึงทรงวางตัณหาวางอุปาทานในขันธ์ได้ในชีวิตได้ ฉะนั้นจึงทรงพ้นมัจจุมาร
แม้ว่าพระสรีระสังขารของพระองค์จะต้องดับขันธ์ ดังที่เรียกตามสามัญว่าตาย
แต่พระองค์ก็เป็นผู้ที่ไม่ตาย เพราะเป็นผู้รู้ เป็นผู้ที่ปล่อย เป็นผู้ที่วางแล้ว
ขันธ์หรือชีวิตที่ต้องตายนั้นไม่ใช่เป็นของพระองค์
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ต้องตาย เพราะว่าสิ่งที่ตายนั้นไม่ใช่เป็นของพระองค์
แต่เป็นของโลก เกิดขึ้นมาในโลก ปรุงแต่งขึ้นในโลก แล้วก็แตกสลายไปในโลก
พระองค์เป็นผู้ที่พ้นจากโลกแล้ว เป็นพ้นที่พ้นจากความยึดถือแล้ว พระองค์จึงไม่ใช่เป็นผู้ตาย
สิ่งที่ตายนั้นเป็นขันธ์ ไม่ใช่เป็นพระพุทธะ เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นมารของพระองค์
แต่ว่ายังเป็นมารของบุคคลทั่วไปที่ยังมีความยึดถืออยู่
เทวบุตรมาร
และนอกจากมีความยึดถืออยู่ และยังมีความกลัวตายดังที่กล่าวมาแล้ว
คนสามัญทั่วไปยังต้องการยังปรารถนาที่จะไม่ตาย
โดยที่ไม่ตายในภาวะเป็นมนุษย์นี้ก็ตาม หรือว่าไม่ตายโดยไปเกิดเป็นเทพ
๑๐
ที่เข้าใจหรือยึดถือกันว่าเมื่อไปเกิดเป็นเทพแล้วก็เป็น อมร
หรือ อมระ คือเป็นผู้ที่ไม่ตาย ก็คงอยู่เป็นนิรันดร
เพราะฉะนั้น จึงมุ่งที่จะไปเกิดเป็นเทพที่เป็น อมโร คือเป็นผู้ที่ไม่ตาย
ดังที่กล่าวมานี้กันอยู่เป็นอันมาก
เพราะฉะนั้น ความที่มุ่งไปเกิดเป็นเทพแม้ที่กล่าวมานี้ ก็เป็นมารอีกเหมือนกัน
คือเป็นเครื่องขัดขวางต่อการปฏิบัติพระธรรมวินัย เพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์
เพราะเหตุว่า ความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ในพุทธศาสนานั้น
ต้องการที่จะต้องดับชาติคือความเกิด เมื่อดับชาติได้ ก็ดับชรา มรณะ และทุกข์ต่างๆได้
เมื่อยังดับชาติคือความเกิดไม่ได้ ก็ดับทุกข์คือชรามรณะ และทุกข์ต่างๆไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อยังต้องการไปเกิดเป็นเทพอยู่ นั่นก็เป็นชาติคือความเกิด
เพราะฉะนั้น เทพชนิดที่เป็น อมร คือไม่ตายนั้นจึงไม่มี ตามหลักแห่งพุทธศาสนา
เทวดาเมื่อมีอุปบัติ ก็ต้องมีจุติ คือมีเคลื่อนจากความเป็นเทพ
แล้วก็ไปเกิดตามกรรม สูงบ้าง ต่ำบ้าง ที่จะดำรงอยู่เป็นนิรันดรไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ประสงค์ความเป็นเทพ
แม้ท่านดาบสทั้งสองนั้นท่านก็ปฏิบัติในสมาบัติของท่านเพื่อไปเกิดเป็นพรหม
ก็เพื่อเป็นเทพนั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านพอใจเท่านั้น ไม่ต้องการธรรมะที่สูงขึ้นไป
เพื่อพ้นชาติคือความเกิดทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงพ้นทุกข์ไม่ได้
แม้ในกาลต่อจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน คนเป็นอันมากก็ยังมีความยึดถืออยู่เช่นเดียวกัน
ว่าต้องการจะไปเกิดเป็นเทพ หรือไปอยู่กับเทพที่เป็นอมร คือเป็นผู้ที่ไม่ตาย
เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องตัดทางสำหรับที่จะปฏิบัติ เพื่อบรรลุความสิ้นทุกข์ทั้งปวง
ตามหลักพระพุทธศาสนา
ฉะนั้น จึงได้ตรัสมารข้อที่ ๕ คือเทวบุตรมาร มารคือเทพบุตรขึ้นอีก
โดยความก็คือความที่ยังมีความมุ่งหมายที่จะได้สวรรค์สมบัติ
๑๑
หรือหากจะกล่าวรวม ก็มุ่งหมายที่จะได้มนุษย์สมบัติด้วย หรือว่าสูงขึ้นไปก็สวรรค์สมบัติ
แต่ยังไม่ต้องการนิพพานสมบัติ เป็นที่ดับชาติภพทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ความต้องการเพียงเท่านี้จึงกลายเป็นมาร ทำให้บรรลุนิพพานสมบัติไม่ได้
เครื่องขัดขวางต่อการปฏิบัติ
ฉะนั้น มารตามที่กล่าวมานี้จึงเป็นเครื่องทำให้เกิดเป็น เจโตขีละ คือตะปูใจ
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเอาไว้ก็คือ
ข้อ ๑ ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา
๒ ในพระธรรม ๓ ในพระสงฆ์ ๔ ในสิกขาปฏิบัติ เช่นสิกขาปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญา
และมีความโกรธ มีใจที่ไม่แช่มชื่น มีใจที่กระทบกระทั่งในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย
รวมเป็น ๕ ข้อ นี่เป็นตะปูใจ
และอีก ๕ ข้อเป็น เจโตวินิพันธะ คือเครื่องผูกพันใจ
ได้แก่การที่ยังมากอยู่ด้วยราคะความติดใจยินดี ฉันทะ ข้อ ๑
ข้อ ๒ ในกายของตน ข้อ ๓ ในรูปที่เป็นภายนอกทั้งหลาย
และข้อ ๔ พอใจในการที่เอาแต่บริโภค และติดอยู่ในการนอน ในการเอนพัก
ในการงีบหลับ พูดง่ายๆก็คือว่าเอาแต่กินแต่นอน อันเป็นข้อที่ ๔
กับอีกข้อหนึ่งเป็นข้อที่ ๕ ก็คือว่าประพฤติพรหมจรรย์อันได้แก่ปฏิบัติในไตรสิกขา
หรือพระธรรมวินัยนี้ ด้วยปรารถนาเป็นเทพ
คือตั้งความปรารถนาว่าขอให้เราไปเกิดเป็นเทพชั้นนั้นๆ หรือว่าเทพชั้นใดชั้นหนึ่ง
ด้วยอำนาจของศีล ของวัตร ของตบะคือความเพียร ของพรหมจรรย์ที่ปฏิบัตินี้
ดั่งนี้เป็นข้อที่ ๕
ตะปูใจ ๕ ข้อ และเครื่องผูกพันใจ ๕ ข้อนี้
เป็นเครื่องขัดขวางต่อการที่จะปฏิบัติทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลาย
๑๒
ดับจากทุกข์ทั้งปวง ให้บรรลุถึงสันติของใจที่เรียกว่านิพพานดังกล่าวนั้น
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติก็ต้องละเสีย และก็ต้องปฏิบัติอิทธิบาท คือธรรมะที่ให้ประสบความสำเร็จ
ในการปฏิบัติประกอบความเพียร โดยต้องอาศัยสมาธิความตั้งใจมั่นจริงๆ
โดยมีฉันทะความพอใจ มีวิริยะความเพียร มีจิตตะเอาใจใส่
มีวิมังสาความใคร่ครวญพิจารณา ในข้อวัตรปฏิบัตินั้นๆ
โดยที่มีความพยายามอุตสาหะกันอย่างจริงจัง ในการที่จะละตะปูใจ
ถอนตะปูใจออกเสียให้ได้ทั้ง ๕ ข้อ ที่จะเปลื้องเครื่องผูกพันใจให้ได้ทั้ง ๕ ข้อ
เจริญอิทธิบาทให้เต็มที่ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงจะสามารถละมารทั้ง ๕ นั้นได้
สามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายได้
ดับทุกข์ทั้งปวงได้ บรรลุถึงสันติของใจได้ อันเรียกว่านิพพาน
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
อรรถอันแท้จริงของคำว่าธรรมะ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา ๒
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ๓
สัจจะธรรม ศาสนธรรมะ ๔
กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมา ๕
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ๖
ธรรมรัตนะ ๑๐ ประการ ๘
การปฏิบัติอบรมจิต ๘
การหัดทำสมาธิ ๙
สมาธิคือเอกัคคตา ๑๐
ข้อความสมบูรณ์ ดีเยี่ยม กัณฑ์เริ่มต้นในพรรษากาล
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
ม้วนที่ ๑๐๐/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๐๑/๑ - ๑๐๑/๒ ( File Tape 78 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
อรรถอันแท้จริงของคำว่าธรรมะ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะหรือธรรมนั้นคือสัจจะคือความจริง
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และได้ทรงแสดงสั่งสอน
แต่ธรรมะที่ทรงสั่งสอนนั้นได้ทรงสั่งสอนเฉพาะที่ผู้ฟังซึ่งเป็นเนยยะ
คือผู้ที่พึงทรงแนะนำได้ จะพึงรู้พึงเห็นได้ และมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
และอาจที่จะทำให้ผู้ฟังซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติบรรลุถึงผลได้จริงตามควรที่ปฏิบัติ
อันเรียกว่ามีปาฏิหาริย์ คือทรงสั่งสอนได้จริง และปฏิบัติได้ผลจริง
ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา
ฉะนั้น จึงพึงเข้าใจคำว่า ปาฏิหาริย์ ในพุทธศาสนา
ว่าหมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้รู้ได้ให้เห็นได้
๒
และปฏิบัติให้ได้รับผลสมจริงได้
คือได้รับผลที่เป็นประโยชน์เป็นสุข เป็นปัจจุบันบ้าง เป็นภายหน้าบ้าง
เป็นผลอย่างยิ่งให้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงบ้าง
ลักษณะที่ตรัสสอนได้ดั่งนี้เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์
คือได้ผลสมจริงเป็นเหตุกำจัดข้าศึกคือกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงได้จริง
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ
อันคำว่าธรรมหรือธรรมะนั้นแปลว่า ทรงไว้ คือทรงตนเอง หรือว่าทรงภาวะของตนไว้ได้
มีความหมายเป็นอธิบายที่พระอาจารย์ได้แสดงเพิ่มเติมไว้อีก
ก็คือหมายถึงสภาพที่เป็นจริง ( เริ่ม ๑๐๑/๑ ) ดังเช่นที่ได้มีตรัสแสดงไว้ว่า
ธรรมะเป็นกุศลคือส่วนดี ธรรมะเป็นอกุศลคือส่วนชั่ว
และธรรมะเป็นอัพยากฤตคือเป็นกลางๆ ไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว
ดั่งนี้ ก็หมายถึงสภาพคือมีความทรงอยู่ของตน ความดำรงอยู่ของตน
ความมีความเป็นของตน ตามเป็นจริง
และก็ใช้ในความหมายถึงลักษณะดังที่กล่าวมานี้ ในความหมายต่างๆอีกเป็นอันมาก
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียกว่าธรรมะได้ทั้งนั้น
ดังที่เรียกว่า รูปธรรม อรูปธรรม ธรรมะที่มีรูป ธรรมะที่ไม่มีรูป
ทุกๆสิ่งที่มีรูปร่าง และทุกๆสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง บรรดาที่มีอยู่เป็นไปอยู่ในโลกทั้งหมด
และบรรดาที่ปรากฏอยู่ในจิตใจทั้งหมด ก็เรียกว่าธรรม หรือธรรมะได้ทั้งนั้น
เพราะทุกๆสิ่งนั้นก็ทรงอยู่ หรือดำรงอยู่ ตามปัจจัยคือเหตุผลของตนๆ เร็วบ้างช้าบ้าง
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าธรรม หรือธรรมะได้ด้วยกันทั้งหมด
แต่เมื่อจะกล่าวรวมเข้ามาถึงความหมายอันสำคัญในพุทธศาสนา
ซึ่งเรียกกันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ก็ว่าตรัสรู้ธรรม หรือธรรมะ
๓
ก็หมายถึงสัจจะที่เป็นของจริงของแท้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจจะ หรือจะเรียกว่าสัจจะธรรมควบกันก็ได้
คือธรรมะ หรือสภาพ สภาวะที่เป็นของจริงของแท้
เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงหมายถึงสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นสัจจะ คือของจริงของแท้
สัจจะธรรม ศาสนธรรมะ
และเมื่อกล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงสั่งสอนอะไร
ก็กล่าวว่าทรงสั่งสอนธรรมะ อีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ทรงสั่งสอนนี้จึงหมายถึงศาสนา คือคำสอน
ก็เรียกว่าศาสนธรรม ธรรมะคือคำสอน หรือธรรมะคือคำสั่งสอน
เพราะฉะนั้น เมื่อย่อเข้ามาแล้ว จึงย่อธรรมะได้เป็น ๒
คือ สัจจะธรรม ธรรมะคือสัจจะที่เป็นของจริงของแท้ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
และ ศาสนธรรม ธรรมะคือคำสอน หรือคำสั่งสอนของพระองค์
อันเรียกว่าศาสนา หรือพุทธศาสนา
อรรถะอันแท้จริงของคำว่าธรรมะ ก็คือของจริงของแท้
ซึ่งธรรมดาว่าของจริงของแท้นั้น ก็จะต้องมีความทรงตัวเอง หรือทรงภาวะของตน
อยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าหากว่าเปลี่ยนแปลงไปได้ ก็ต้องไม่จริงไม่แท้
เหมือนดังวัตถุ ถ้าหากว่าเป็นของจริง เช่นเป็นทองจริงเนื้อบริสุทธิ์ ก็ต้องเป็นของจริง
แต่หากว่าถ้าเป็นสิ่งที่มีเนื้อปลอม หรือว่าฉาบทาทองไว้ภายนอก
ก็เรียกว่าเป็นของเทียม ไม่ใช่เป็นของจริง ไม่ใช่เป็นของแท้
ฉะนั้น แม้ที่เป็นวัตถุที่เป็นของจริงของแท้ เช่นทองจริงดังกล่าว
ก็ต้องเป็นของจริงของแท้ เป็นทองจริงทองแท้ มีความทรงตัว ดำรงตัว
คงตัวอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นของเทียมก็ตรงกันข้าม
๔
เพราะฉะนั้น อรรถะคือความของคำว่าธรรมะ จึงหมายถึงของจริงของแท้ดังที่กล่าวมา
และเมื่อจริงแท้อย่างไร ก็ย่อมคงตัวหรือทรงตัวอยู่อย่างนั้น
กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมา
ฉะนั้น เมื่อกล่าวเป็นกลางๆแล้วจึงคลุมไปได้ทั้งหมด ดังที่กล่าวมาข้างต้น
กุสลาธรรมา ธรรมะที่เป็นกุศล คือส่วนดี ซึ่งเป็นส่วนดีจริงก็เป็นธรรม คือเป็นส่วนที่ดีจริง
อกุสลาธรรมา ธรรมะที่เป็นอกุศล คือส่วนชั่ว ส่วนชั่วก็เป็นธรรมเหมือนกัน
คือว่าคงเป็นส่วนชั่ว คงตัวเป็นส่วนชั่ว
อัพยากตาธรรมา ธรรมะที่เป็นอัพยากฤต คือไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว เป็นกลางๆ
ก็คงตัวเป็นกลางๆอยู่ตามสภาพ คือตามภาวะของตน
เพราะฉะนั้น เมื่อว่าเป็นกลางๆดั่งนี้จึงคลุมไปได้ทั้งฝ่ายดี ทั้งฝ่ายชั่ว ทั้งฝ่ายกลางๆ
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์เรียกว่าศาสนา
ก็เป็นธรรมะ เพราะว่าทรงสั่งสอนตามสัจจะคือความจริง
ดีก็ตรัสว่าดี ชั่วก็ตรัสว่าชั่ว เป็นกลางๆก็ตรัสว่าเป็นกลางๆ
เพราะฉะนั้น คำสั่งสอนของพระองค์ที่เป็นถ้อยคำออกมาจึงได้เรียกว่าธรรมะด้วย
คือเรียกว่าศาสนธรรม หรือพุทธศาสนา และคำว่าศาสนานั้นแปลกันว่าคำสั่งสอน
คำสั่งนั้นก็หมายถึงวินัย คือพระพุทธบัญญัติที่ตรัส ห้ามไม่ให้กระทำบ้าง
อนุญาตให้กระทำบ้าง คำสอนก็คือพระธรรม อันเป็นคำสอนสำหรับที่จะขัดเกลาอัธยาศัยจิตใจ
พร้อมทั้งความประพฤติ ให้ละความชั่ว กระทำความดี
ให้ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส ต่างๆ
เดิมนั้นก็มีแต่คำสอนดังเช่นพระพุทธเจ้าได้ทรงสอน
ตั้งแต่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระเบ็ญจวัคคีย์เป็นต้นมา
ยังมิได้ทรงบัญญัติพระวินัย คำว่าศาสนาก็แปลว่าคำสอนอย่างเดียว
๕
แต่ในภายหลังเมื่อพุทธบริษัทมีมากขึ้น โดยเฉพาะภิกษุบริษัทมีมากขึ้น
ก็มีผู้ประพฤติไม่สมควร จึงได้ทรงบัญญัติพระวินัย
เพื่อห้ามกันความประพฤติที่ไม่สมควรต่างๆ เพื่อให้ประพฤติอยู่ในข้อวัตรที่สมควรต่างๆ
เพื่อให้หมู่เป็นหมู่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม และปรับเป็นอาบัติแก่ผู้ละเมิด
เพราะฉะนั้น พระวินัยนี้จึงเรียกกันในภาษาไทยว่าคำสั่ง
เมื่อมีพระวินัยขึ้นแล้วก็แปลคำว่าศาสนาว่าคำสั่งสอน
โดยที่ให้มีความหมายคลุมถึงธรรมะที่ทรงแสดงสอน และวินัยที่ทรงบัญญัติศัพท์เป็นคำสั่ง
นี้ก็เป็นศาสนธรรม ธรรมะคือคำสั่งสอน ก็รวมคำว่าธรรมะโดยย่อเข้าเป็น ๒ ดังที่กล่าวมานี้
คือสัจจะธรรม กับศาสนธรรม
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
อีกอย่างหนึ่ง รวมเข้าได้เป็น ๓ คือปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรม
ปริยัติธรรม ธรรมะที่พึงเล่าเรียน อันได้แก่ที่พึงตั้งใจสดับตรับฟัง ตั้งใจอ่าน
ตั้งใจท่องบ่นจำทรง ตั้งใจพิจารณาขบเจาะด้วยทิฏฐิ คือทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ก็หมายถึงศาสนธรรม ธรรมะคือคำสั่งสอนนั้นเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยพระโอษฐ์ก็ตั้งใจสดับตรับฟัง ด้วยเงี่ยหูตั้งใจฟัง
และต่อมาในปัจจุบันเมื่อมีหนังสือ ก็ตั้งใจอ่าน เมื่อฟังหรืออ่านก็ตั้งใจท่องบ่นจำทรง
และก็ตั้งใจพิจารณาขบเจาะด้วยทิฏฐิคือทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้
เพราะฉะนั้นศาสนาธรรมคือพระธรรมวินัยที่ทรงสั่งสอน
จึงเรียกว่าเป็นปริยัติธรรม ธรรมะที่เป็นปริยัติ คือที่พึงเล่าเรียน
และเมื่อตั้งใจสดับตรับฟังแล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ให้เป็นธรรมเป็นวินัยขึ้นมาที่กายที่วาจาที่ใจ จึงเป็น ปฏิบัติธรรม ตั้งขึ้นที่กายที่วาจาที่ใจ
๖
ในขั้นนี้ก็พึงทำความเข้าใจว่าปริยัติธรรมนั้นตั้งอยู่ในความจำ ในความเข้าใจ
ถ้าหากว่ายังเป็นพระธรรมที่เป็นตัวอักษรอยู่ในเล่มหนังสือ เช่นหนังสือพระธรรมที่วางอยู่ในตู้
จะเป็นพระไตรปิฎกก็ตาม เป็นตำราธรรมะต่างๆก็ตาม หรือวางอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง
นั่นก็เป็นหนังสือพระธรรม ยังไม่เป็นปริยัติธรรมขึ้นที่ตนเอง จะเป็นปริยัติธรรมขึ้นที่ตนเองนั้น
ก็จะต้องตั้งใจสดับตรับฟังอาจารย์สั่งสอน ตั้งใจอ่าน ตั้งใจท่องบ่นจำทรง ให้จำได้
ตั้งใจพิจารณาขบเจาะด้วยทิฏฐิความเห็น ก็คือทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ให้พระธรรมวินัยหรือพุทธศาสนาดังกล่าว มาตั้งอยู่ในความจำ
หรือจะเรียกว่าตั้งอยู่ในสมองของตนก็ได้ และตั้งอยู่ในความเข้าใจ
นี่จึงจะเป็นปริยัติธรรม
แต่ว่าเพียงจำได้และเข้าใจ ยังไม่เป็นปฏิบัติธรรม
จะต้องนำมาปฏิบัติทางกายทางวาจาทางใจ ให้เป็นธรรมวินัยขึ้นที่กายที่วาจาที่ใจ
หรือว่าให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นที่กายที่วาจาที่ใจ
ให้กายวาจาใจเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ดั่งนี้จึงจะเป็นปฏิบัติธรรม
เป็นอันว่าได้มีปฏิบัติธรรมตั้งขึ้นที่กายที่วาจาที่ใจ
และเมื่อปฏิบัติก็ย่อมจะได้รับผลของความปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น
เป็นการที่ยกตนให้พ้นจากโลกที่เป็นฝ่ายชั่ว หรือว่าให้พ้นจากความชั่ว
ขึ้นมาสู่ความดีโดยลำดับ จนถึงบรรลุถึงโลกที่สูงขึ้นๆ คือเป็นส่วนที่ดีขึ้นๆ
จนถึงพ้นโลก อันหมายถึงว่าพ้นจากกิเลสและกองทุกข์
เพราะว่าโลกนั้นแม้จะเป็นโลกส่วนละเอียดส่วนสูง ก็ยังมีกิเลสมีกองทุกข์
และยังเป็นประโยชน์ปัจจุบันบ้าง ประโยชน์ภายหน้าบ้าง
ต่อเมื่อได้ยกตนให้สูงขึ้นๆ จนพ้นกิเลสพ้นกองทุกข์ได้ ก็เรียกว่าพ้นโลก
พ้นโลกในใจของตนเอง
ดั่งนี้ ก็เรียกรวบยอดว่า ปฏิเวธธรรม ธรรมะคือความรู้แจ้งแทงตลอด
๗
อันหมายถึงว่ารู้แจ้งในสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นของจริงของแท้ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
และได้ทรงแสดงสั่งสอน และก็เจาะแทงกิเลสที่หุ้มห่อจิตใจอยู่ให้เบาบาง
ให้หมดสิ้นไปโดยลำดับ จนถึงหมดสิ้นเชิง ก็รวมอยู่ในผลของการปฏิบัติ
ซึ่งเมื่อปฏิบัติก็ย่อมจะได้รับผลทันที ตั้งแต่ขั้นต้นโดยลำดับขึ้นไป จนถึงที่สุดดังกล่าว
ก็เรียกรวบยอดว่า ปฏิเวธธรรม ธรรมะคือความรู้แจ้งแทงตลอด
รู้แจ้งก็คือรู้แจ้งสัจจะธรรม แทงตลอดก็คือว่ารู้แจ้งนั่นเองตลอด หรือปรุโปร่ง
ตลอดจนถึงเจาะแทงกิเลสที่หุ้มห่อจิตอยู่นี้ให้เบาบาง ให้สิ้นไปหมดไป
ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง โดยลำดับขึ้นไป
ธรรมรัตนะ ๑๐ ประการ
เพราะฉะนั้น รวมเข้าก็เป็นปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม
ทั้ง ๓ นี้คือธรรมะที่เป็นรัตนะที่ ๒ คือพระธรรมรัตนะ ซึ่งเราทั้งหลายได้สวดกันอยู่ว่า
สวากขาโต ภควาตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูได้ โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้แจ้งพึงรู้เฉพาะตน ดั่งนี้
อนึ่ง พระธรรมในธรรมรัตนะอันเป็นรัตนะที่ ๒ นี้ พระอาจารย์ได้มีแสดงไว้
เจาะจงเอา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ และปริยัติธรรมอีก ๑ เป็น ๑๐ ประการ
สำหรับเพื่อเป็นที่กำหนดให้ชัดขึ้น แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปทั่วไปก็ได้แก่
ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม ดั่งที่กล่าวมานั้น
การปฏิบัติอบรมจิต
ในการปฏิบัติอบรมจิตนี้ก็มีวิธีปฏิบัติอันเรียกว่ากรรมฐาน
๘
แปลว่าที่ตั้งของการงาน ก็คือที่ตั้งของการงานทางจิตใจ ซึ่งจำแนกออกเป็น ๒
คือสมถกรรมฐานที่ตั้งของการงานทางจิตใจคือสมถะ อันได้แก่วิธีที่ทำให้จิตสงบตั้งมั่น
วิปัสสนากรรมฐานที่ตั้งของการงานทางจิตใจคือวิปัสสนา
คือวิธีปฏิบัติให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
( เริ่ม ๑๐๑/๒ ) สำหรับในวัดนี้ได้กำหนดปฏิบัติ ยกเอาสติปัฏฐานคือที่ตั้งของสติ ๔ ประการเป็นหลัก และมีการสวดมหาสติปัฏฐานสูตรเริ่มต้นในเทศกาลเข้าพรรษาเป็นประจำทุกปี
เพราะว่าหลักปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้เป็นหลักสำคัญที่นับถือปฏิบัติกันทั่วไป
ซึ่งจะได้เริ่มสวด และก็เริ่มปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรตั้งแต่วันนี้
การหัดทำสมาธิ
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจฟัง ทำสมาธิในการฟัง
คือว่ามีความสำรวมกายวาจาใจ ความสำรวมนี้เองเป็นตัวศีล
กับทั้งเงี่ยหูที่จะฟังคำสวด กับทั้งตั้งใจฟังสวดด้วย
เพราะว่าหูกับใจนั้นต้องเป็นไปพร้อมกัน เงี่ยหูที่จะฟัง แล้วก็ตั้งใจที่จะฟัง
เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะฟังได้ยิน และเมื่อฟังได้ยิน ก็ตั้งใจพิจารณากำหนดตามไป
ก็ย่อมจะได้ความเข้าใจ น้อยบ้างมากบ้าง
แต่ว่าอันความเข้าใจน้อยหรือมากนั้นซึ่งเป็นส่วนปัญญา
ถึงจะน้อยหรือมากก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญให้ใจตั้งฟัง ให้ได้ยินให้ทุกคำ
และกำหนดไปทุกคำ อาการที่กำหนดนี่แหละคือสติ และใจที่ตั้งฟังนี่แหละคือสมาธิ
เมื่อมีสติมีสมาธิอยู่ในคำสวดได้ยินทุกคำ กำหนดได้ทุกคำดั่งนี้ ก็เป็นการหัดทำสติ หัดทำสมาธิ
ความเข้าใจนั้นก็จะต้องได้ น้อยหรือมาก ความเข้าใจนั่นแหละเป็นตัวปัญญา
ซึ่งได้ไปพร้อมกัน และเมื่อสวดจบแล้วก็นั่งกำหนดทำความสงบอยู่ในใจ
กำหนดดูกายและใจอันนี้ กายของทุกๆคน ของตนเองที่กำลังนั่งอยู่นี้
๙
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
นั่งอยู่ในอิริยาบถนี้ และเมื่อได้เห็นกายของตนด้วยใจนั่งอยู่ในอิริยาบถนี้
ก็ให้กำหนดอิริยาบถของใจไปด้วย ว่าใจคิดอะไร ใจจะคิดทบทวนถึงข้อที่ได้ฟังสวดมาก็ได้
หรือว่าจะไม่คิดทบทวนอย่างนั้น แต่กำหนดดูกายใจของตัวเอง
ก็จะพบว่ากายของทุกๆคนที่กำลังนั่งอยู่ในอิริยาบถนี้ ก็กำลังนั่งหายใจเข้าหายใจออกอยู่
ก็กำหนดดูลมหายใจที่เข้าที่ออก หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้
รวมใจให้ตั้งกำหนดอยู่เพียงเท่านี้ ก็เป็นการหัดทำสมาธิ
สมาธิคือเอกัคคตา
เพราะสมาธินั้นได้แก่ เอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
กำหนดอยู่เรื่องเดียวไม่ไปข้างไหน เมื่อกำหนดให้ใจรวมอยู่ในที่เดียวได้
เช่นอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก จะกำหนดว่าหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ช่วย
หรือหายใจเข้า ธัม หายใจออก โม ธัมโมช่วย
หรือหายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ สังโฆช่วย ไปด้วยดั่งนี้ก็ได้
หัดรวมใจให้อยู่ที่เดียว ให้มีอารมณ์เป็นอันเดียวดั่งนี้ ให้ตลอดเวลากำหนด
ดั่งนี้ก็เป็นอันได้หัดปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดดังที่กล่าว และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*