ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 ธันวาคม 2555 10:30
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป076
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
กิจในอริยสัจจ์ ๓
อภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง ๔
โลกิยะปัญญา โลกุตระปัญญา ๕
เรียนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ ๖
การปฏิบัติในเบื้องต้นเป็นไปได้ยาก ๗
อาการของราคะ ๗
อุปการธรรมในการปฏิบัติ ๘
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๙๗/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๙๘/๑ ( File tape 76 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรม และได้แสดงพระธรรมสั่งสอน
เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นข้อสำคัญ
ถ้าหากว่ามีความเข้าใจก็ย่อมจะทำให้รู้จักพระพุทธศาสนา
และปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น ธรรมจารีบุคคล ได้โดยถูกต้อง
คำว่าธรรมนี้ก็เป็นภาษาที่บัญญัติขึ้น ซึ่งมีความหมายกว้างขวาง
แต่ว่าก็อาจรวมเข้ามาได้ในสัจจะคือความจริง สัจจะคือความจริงนี้เองเป็นธรรมหรือธรรมะ
แม้ว่าคำแปลของ ๒ คำนี้จะต่างกัน แต่ก็สัมพันธ์กัน คือธรรมะแปลว่า ทรงไว้
ส่วนสัจจะคือความจริงนั้นก็แปลว่า มีอยู่ หรือ เป็นอยู่
ทั้ง ๒ คำนี้ถึงจะต่างกัน แต่ก็มีความหมายเป็นอันเดียวกัน
คือสิ่งใดที่มีอยู่หรือเป็นอยู่จริง สิ่งนั้นก็ย่อมทรงอยู่ หรือดำรงอยู่ได้
และสิ่งใดที่ทรงอยู่หรือดำรงอยู่ได้ สิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ หรือเป็นอยู่
เพราะฉะนั้น จึงมาแปลสัจจะกันว่าจริง หรือความจริง หรือว่าของจริงของแท้
เพราะว่าสิ่งที่เป็นของมีอยู่เป็นอยู่นั้นย่อมเป็นของจริงของแท้ จึงมีอยู่เป็นอยู่ได้
ถ้าเป็นของไม่จริงไม่แท้ ก็มีอยู่หรือเป็นอยู่ไม่ได้
และความที่มีอยู่เป็นอยู่นั้น ก็คือความที่ทรงอยู่หรือดำรงอยู่นั้นเอง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม
จึงตรัสแสดงไว้เองว่าตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือสัจจะสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่
ซึ่งแปลกันว่าความจริงอันทำให้ผู้รู้เป็นอริยะ คือเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้เจริญ
ก็ได้แก่ความรู้จักทุกข์ รู้จักทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธความดับทุกข์ รู้จักมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อันเรียกว่าอริยสัจจ์ ๔ อันเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คืออริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่ได้ตรัสแสดงไว้เอง
และก็ได้ทรงแสดงธรรมะที่ตรัสรู้นี้สั่งสอน โดยปริยายคือทางเป็นอันมาก
แต่ก็ตรัสแสดงไว้เองว่า ก็รวมเข้าในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้เอง
คือรวมเข้าเพื่อที่จะได้รู้จักอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้
กิจในอริยสัจจ์
และการปฏิบัติพระพุทธศาสนาก็รวมเข้าในกิจ ๔ ข้อในอริยสัจจ์นี้นี่เอง
กิจ ๔ ข้อก็คือข้อที่พึงปฏิบัติกระทำ ๔ ข้อ อันได้แก่
กำหนดรู้หรือรู้จักรอบคอบในทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า ปริญญา
ละสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า ปหานะ
ทำให้แจ้งนิโรธคือความดับทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า สัจฉิกรณะ
และอบรมทำให้มีให้เป็นขึ้นในมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ข้อหนึ่งอันเรียกว่า ภาวนา
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา จึงรวมเข้าในกิจทั้ง ๔ นี้
กำหนดรู้หรือทำความรู้รอบคอบในทุกข์ ละสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์
ทำให้แจ้งนิโรธคือความดับทุกข์ และมรรค และอบรมทำให้มีให้เป็นขึ้นซึ่งมรรค
คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็รวมเป็นกิจ ๔ ประการ
อภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง
และกิจ ๔ ประการนี้จะทำให้มีให้สมบูรณ์ขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการอบรมปัญญา
ให้ได้ความรู้ยิ่งเห็นจริง ให้ได้ความเข้าใจอันถูกต้องจริงในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ข้อนี้
อันเรียกว่า อภิญญา ซึ่งแปลว่าความรู้ยิ่ง อันหมายความว่ารู้ยิ่งเห็นจริงนั้นเอง
อภิญญานี้ต่างจากปัญญาสามัญทั่วไป
โดยที่ปัญญาสามัญทั่วไปนั้นเป็นความรู้ในสิ่งนั้นๆ ตามความรู้ที่ได้ทางตาทางหูเป็นต้น
ซึ่งได้จากตาที่มองเห็น หูที่ได้ยินได้ฟัง เป็นต้น และก็เป็นความรู้ที่ยึดถือ ที่เกี่ยวเกาะ
แม้ว่าความรู้ทางตาทางหูเป็นต้นเหล่านี้ จะมีความรู้ลึกซึ้งในสิ่งนั้นๆเพียงใดก็ตาม
จะรู้สิ่งทั้งหลายในโลกที่อาศัยอยู่นี้ จะรู้ไปถึงโลกอื่น เช่น รู้จักดวงดาวต่างๆ
รู้จักดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ต่างๆ หรือแม้ว่ารู้จักโลกนี้ โลกหน้า โลกอดีต
ด้วยญาณคือความหยั่งรู้ อันเกิดจากสมาธิอย่างสูง แต่ยังเป็นความรู้ยึดรู้ติด
ก็ยังไม่เป็นอภิญญา เป็นปัญญาทั่วไป หรือเป็นโลกิยะปัญญา ปัญญาที่ยังเกี่ยวอยู่กับโลก
เพราะฉะนั้น จึงยังไม่พ้นทุกข์ รู้มากอาจจะทุกข์มาก
เพราะว่าอาจจะใช้ความรู้ก่อสิ่งที่ให้เกิดโทษเกิดทุกข์ได้มาก
หรือว่ารู้มาก ยึดถือมาก เกี่ยวเกาะมาก ก็ทุกข์มาก
ถ้ารู้น้อยอาจจะทุกข์น้อยกว่า ก็มีเป็นอันมาก
มนุษย์ในโลกนี้มีปัญญาสูงซึ่งเป็นโลกิยะปัญญา จึงมีความเจริญทางวัตถุต่างๆเป็นอันมาก
และก็มีความเสื่อมเพราะวัตถุต่างๆที่สร้างขึ้นจากความรู้นั้นเป็นอันมากเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น จึงมีการสร้าง และมีการทำลาย ด้วยอำนาจของตัณหา
ด้วยอำนาจของโลภโกรธหลง
เพราะความรู้ที่รู้นั้นยังไม่เป็นอภิญญา คือมิใช่รู้ยิ่งเห็นจริง หรือว่ายังมิใช่เป็นความรู้ทับ
อันหมายความว่าทับตัณหา ทับกิเลสกองโลภโกรธหลง ทับก็คือบันเทา หรือว่าดับ
อภิญญา นั้นนอกจากแปลว่าเป็นความรู้ยิ่ง คือรู้ยิ่งเห็นจริง ยังแปลว่าทับ
คือข่มหรือทำลายได้อีกด้วย อีกคำหนึ่งก็คือ อธิปัญญา รู้ยิ่งรู้ทับเช่นเดียวกัน
ซึ่งใช้ในความหมายว่าทับกิเลส ละกิเลส ดับกิเลส
โลกิยะปัญญา โลกุตระปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงได้ปัญญาในทางโลก
อันเรียกว่าโลกิยะปัญญาอย่างสูงสุด เพราะทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ความรู้ระลึกถึงขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ อันเรียกว่าระลึกชาติได้
และจุตูปปาตญาณ ความรู้จุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาติภพนั้นๆ
ของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม อันนับว่าเป็นยอดโลกิยะปัญญา
และทรงได้ปัญญาที่เป็นยอด ซึ่งเป็นโลกุตระปัญญา ปัญญาที่อยู่เหนือโลกพ้นโลก
คืออาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ
เพราะฉะนั้นจึงทรงละกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งสิ้น
เพราะปัญญาที่ทรงได้นี้เป็น อภิญญา ปัญญาที่รู้ยิ่งเห็นจริง
หรือปัญญาที่ทับกิเลส ดับกิเลส ละกิเลส
หรือ อธิปัญญา ปัญญาที่ยิ่งที่หรือทับกิเลสดับกิเลส เช่นเดียวกัน
ที่เรียกว่าโลกุตระเหนือโลกพ้นโลก ก็หมายถึงเหนือทุกข์เหนือกิเลส พ้นกิเลส พ้นทุกข์นั้นเอง
แม้ว่าบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมะทั่วไป ปฏิบัติในกิจทั้ง ๔ ดังที่กล่าวมานั้น
หรือว่า กล่าวโดยทั่วไปก็คือปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ย่นเข้าก็เป็นศีล เป็นสมาธิ ปัญญา
หรือเป็นไตรสิกขา สีลสิกขา จิตตสิกขาคือสมาธิ และปัญญาสิกขา
หรือว่าตามพระโอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน อันเรียกว่า โอวาทปาติโมกข์
ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้ผ่องใส
การปฏิบัติธรรมทั้งปวงนี้ก็เป็นการปฏิบัติที่จะต้องถึงปัญญา
อันเป็นความรู้ยิ่ง หรือรู้ทับกิเลส ละกิเลสดังที่กล่าว
และแม้ว่ายังละไม่ได้มาก ละได้น้อย
ละได้เท่าไร ก็เป็นการปฏิบัติที่ละทุกข์ละกิเลสได้เท่านั้น ก็เป็นโลกุตรเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นโลกุตรชั่วคราว คือละได้เฉพาะอย่าง เฉพาะคราว
ก็เป็นโลกุตรเฉพาะอย่าง เฉพาะคราว เป็นการปฏิบัติหัดที่จะให้จิตใจของตน
การปฏิบัติของตนอยู่เหนือกิเลส เหนือทุกข์ คือละกิเลสละทุกข์ พ้นกิเลสพ้นทุกข์นั้นเอง
เรียนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ
การปฏิบัตินั้นก็ต้องตั้งต้นกันมาอย่างนี้ทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก็ต้องทรงตั้งต้นมาดังที่เรียกว่า
พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นอันมาก ตลอดเวลาช้านาน
จึงมิใช่ว่าจะปฏิบัติเพื่อละกันได้ทันที ต้องใช้เวลานาน ต้องปฏิบัติบ่อยๆ
ในการที่จะเรียนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ อันเรียกว่าปริยัติธรรม
คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ
ว่าปฏิบัติในศีลอย่างไร ในสมาธิอย่างไร ในปัญญาอย่างไร
หรือยกเอาจำเพาะหมวดสติปัฏฐ่านทั้ง ๔
ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดกาย กำหนดเวทนา กำหนดจิต กำหนดธรรม
การทำความรู้ความเข้าใจก็ไม่ยาก เช่นในข้อที่ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดกายนั้น
ข้อแรกก็ตรัสสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ดั่งนี้เป็นต้น
ก็เป็นข้อที่เข้าใจได้ง่าย และที่พระอาจารย์ได้สอนวิธีปฏิบัติต่างๆประกอบเข้ามา เช่น ใช้วิธีนับ
หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้านับสอง หายใจออกนับสอง
ไปจนถึงสิบๆ แล้วก็เริ่มหนึ่งๆใหม่ กลับไปกลับมา เรียกว่านับช้า
แล้วก็มานับเร็ว หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับสอง สาม สี่ ก็แค่สิบแล้วก็กลับใหม่
และเมื่อจิตอยู่ตัวก็เลิกนับ กำหนดทำความรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ในภายใน
หรือว่าท่านสอนให้หายใจเข้า กำหนดว่าพุท หายใจออกกำหนดว่าโธ กลับไปกลับมา
เป็นวิธีที่อาจารย์สอนสำหรับผู้ปฏิบัติในเบื้องต้น ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย
ฟังอธิบายกันไม่นาน ก็ทราบหลักที่จะนำไปเริ่มปฏิบัติได้
การปฏิบัติในเบื้องต้นเป็นไปได้ยาก
แต่ว่าในการปฏิบัตินั้น ในเบื้องต้นอาจจะยากเพราะว่า
จิตมีปรกติที่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในอารมณ์ ที่ยึดถือไว้ต่างๆ
ที่เก็บไว้ต่างๆ และบางทีก็มีความยึดถืออยู่ในสิ่งนั้นบ้างในสิ่งนี้บ้าง น้อยบ้างมากบ้าง
เป็นความกังวล เป็นความหม่นหมอง ( จบ ๙๗/๒ )
( เริ่ม ๙๘/๑ ) เพราะฉะนั้น การที่มาจับปฏิบัติให้จิตมาตั้งอยู่ในกรรมฐาน จิตจึงไม่ยอม
คือไม่เกิด อัสสาทะ คือความพอใจ หรือ ฉันทะ คือความพอใจความชอบใจ
จิตชอบใจหรือพอใจที่จะเกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์นั้นๆ
อาการของราคะ
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงตัณหาคือความดิ้นรนของจิต
ว่าประกอบด้วยราคะคือความติด นันทิคือความเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ
และราคะคือความติดใจนี้มิได้หมายเพียงอารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจเท่านั้น
แต่หมายถึงแม้อารมณ์ที่ไม่รักใคร่ไม่ปรารถนาไม่พอใจ จิตนี้ก็ติดอยู่เหมือนกัน ไม่ปล่อย
อาการที่จิตติดอยู่ไม่ปล่อยนี่แหละ เป็นราคะ
ใช้ได้ทั้งในด้านที่รักที่พอใจ ทั้งในด้านที่ไม่รักไม่พอใจ
เมื่อจิตติดอยู่ไม่ปล่อยก็ชื่อว่าเป็นราคะคือความติด คือความติดใจ
ติดใจยินดี ติดใจยินร้าย ก็ครุ่นยินดี ครุ่นยินร้ายอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมปล่อยอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีความยินร้ายนั้นๆ ดั่งนี้ก็เป็นราคะเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นดั่งนี้ จิตจึงดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่ในอารมณ์ เพราะความติดดังกล่าว
เมื่อน้อมให้มาตั้งอยู่ในสมาธิ จึงไม่ย้อมที่จะน้อมมาง่ายๆ
ไม่เกิดฉันทะหรืออัสสาทะความพอใจความชอบใจ
อุปการธรรมในการปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรมะที่เป็นอุปการธรรมที่จะให้ปฏิบัติได้
ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ในสติปัฏฐานสูตร ก็คือ อาตาปะ ความเพียร
คือตั้งความพากเพียรพยายาม สัมปชานะ หรือสัมปชัญญะความรู้ตัว สติ ความกำหนด
และ ตั้งใจละยินดียินร้าย ที่เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เป็น ๔ ประการ
อนึ่ง ได้ตรัสสอนธรรมะอีกข้อหนึ่งอันนับว่าเป็นข้อสำคัญ ก็คือ ขันติ ความอดทน
เมื่อมีความอดทนอยู่ คือทนปฏิบัติ สมมติว่านั่งปฏิบัติทำสมาธิหรือว่านั่งสวดมนต์ภาวนา
หนึ่งนาที สองนาที สามนาที ห้านาที สิบนาที และยิ่งๆขึ้นไป ทำอยู่บ่อยๆ ทำให้มาก
เป็นการหัดปฏิบัติที่จะดึงจิตให้น้อมมาสู่กรรมฐาน สู่อารมณ์ของสมาธิ
คือพรากจิตออกจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลส และกิเลสที่รวมเรียกว่านิวรณ์ก็ได้
ให้มาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
ในตอนแรกที่ปฏิบัตินั้นก็จะต้องเหมือนอย่างยื้อแย่งกัน
นิวรณ์หรือกิเลสก็ยื้อแย่งจิตไป ทางฝ่ายสติสมาธิก็ยื้อแย่งจิตมา
ก็ยื้อแย่งกันไป ยื้อแย่งกันมา จิตก็เป็นทุกข์ ไม่ผาสุข
แต่ว่าเมื่อหัดน้อมมาสู่อารมณ์ของสมาธิบ่อยๆ มากๆ
จิตก็จะพรากออกมาจากนิวรณ์ได้มากขึ้น และจะเริ่มได้สุขในสมาธิ
คือจิตจะเริ่มได้ปีติคือความอิ่มใจ สุขคือความสบายกายสบายใจ ในการปฏิบัติสมาธิ
เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็จะเริ่มติดสมาธิ แม้เป็นความติดในสมาธิก็ยังดี
ดีกว่าติดในกิเลสหรือในอารมณ์ของกิเลส
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
ขันติ
อธิวาสนะขันติ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ขันติในโลกธรรม ๓
อธิวาสนะขันติ ๕
อธิวาสนะขันติระงับทุกขเวทนา ๖
โสรัจจะ ๗
ขันติ โสรัจจะ ธรรมะที่ทำให้งาม ๘
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๙๘/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๙๘/๒ ( File Tape 76 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
ขันติ
อธิวาสนะขันติ
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงอุปการธรรมในการปฏิบัติทำจิตตภาวนา
คืออบรมจิตให้เป็นสมาธิ และให้ได้ปัญญา อีกข้อหนึ่ง คือขันติที่แปลกันว่าความอดทน
อันขันติคือความอดทนนี้เป็นธรรมะอันสำคัญ ที่ทุกคนจะต้องมี จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยดี
และขันติคือความอดทนที่มีพระพุทธาธิบายไว้ทั่วไป และที่นำมาอธิบายกันอยู่โดยมากก็คือ
อดทนต่อความตรากตรำ เช่น ทนหนาวทนร้อนเป็นต้น
อดทนต่อความลำบากอันเกิดจากทุกขเวทนาต่างๆในเวลาเจ็บป่วย
อดทนต่อความเจ็บใจ คือต่อถ้อยคำที่จาบจ้วงล่วงเกินต่างๆ อันทำให้เกิดความเจ็บใจ
ความอดทนทั้ง ๓ นี้ ก็เป็นข้อที่จะต้องปฏิบัติให้มีกันอยู่โดยปรกติทั่วไป
เพราะทุกคนก็จะต้องพบกับหนาวร้อนเป็นต้น อันเป็นเหตุที่ทำให้ไม่ผาสุขต่างๆ
ในขณะที่ต้องประกอบการงาน ต้องไปนั่นต้องไปนี่ เกี่ยวแก่กิจที่จะพึงทำต่าง
จึงจะต้องฝึกให้มีความอดทนที่จะตรากตรำต่อสิ่งที่ทำไม่ผาสุขเหล่านี้ได้
จึงจะออกไปประกอบการงานต่างๆได้ และในบางคราวก็จะต้องมีความเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็จะต้องมีความอดทนต่อทุกขเวทนาที่บังเกิดขึ้น ไม่เป็นผู้ที่มีใจเสาะ
ที่กล่าวมานี้ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะอดทนเกินไป ต่อความตรากตรำนั้นๆ หรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ต้องรักษา
การตรากตรำต่างๆนั้น ต่อหนาวร้อนเป็นต้น ก็ต้องรู้ประมาณว่าควรที่จะพึงอดทนได้เพียงไร
ไม่ให้เกินไป และเมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา เป็นแต่เพียงว่าไม่ทำจิตใจให้พ่ายแพ้
ต่อทุกขเวทนาต่างๆโดยง่าย ต้องมีใจที่อดทนด้วย
เมื่ออดทนได้ ก็จะทำให้ไม่กลัวต่อหนาวร้อนเป็นต้น
และจะทำให้ไม่กลัวต่อทุกขเวทนา หรือต่อความรู้ว่าจะเป็นโรคภัยนั้นๆ
ผู้ที่อดทนไม่ได้ ก็จะไม่สามารถตรากตรำทำงานต่างๆ แม้ที่ควรจะตรากตรำได้
และไม่สามารถที่จะรับรู้ความจริงในความเจ็บป่วยของตน เพราะกำลังใจไม่ดี
และเจ็บน้อยก็เหมือนอย่างเจ็บมาก หรือว่าเจ็บน้อยพอจะรักษาได้อยู่แล้ว
เมื่อใจเสียก็ทำให้โรคกำเริบ ทำให้เจ็บมากขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น ความอดทนนี้จึงเป็นอุปการะสำคัญ
ขันติในโลกธรรม
อนึ่ง ทุกคนก็จะต้องพบกับอารมณ์คือเรื่องต่างๆ ที่ชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง
ต้องพบกับวาจาของคนทั้งหลายที่พูด ทำให้ให้พอใจบ้าง ทำให้ไม่พอใจบ้าง
เพราะฉะนั้น จึงจะต้องรู้จักมีความอดทนต่อถ้อยคำ แม้ที่จาบจ้วงล่วงเกินต่างๆให้ได้
จึงจะรักษาภาวะทางจิตใจของตน ตลอดถึงภาวะทางกายทางวาจาของตน
ให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงามได้
แม้ว่าถ้อยคำที่สรรเสริญเยิรยอก็ต้องมีความอดทนเหมือนกัน
ถ้าอดทนไม่ได้ก็จะฟุ้ง หรือแสดงอาการที่เรียกว่า ขึ้น
ไปตามคำสรรเสริญเยิรยอต่างๆ แม้ที่ไม่ถูกต้อง ก็ทำให้เสียทำให้ผิดได้
ถ้าถูกติฉินนินทา ก็ทำให้ขึ้งเคียด ทำให้จิตใจตกต่ำ เรียกว่า ลง
จิตใจจึงขึ้นบ้างลงบ้างดั่งนี้อยู่เสมอ เป็นไปตามอารมณ์ เป็นไปตามวาจาที่ใครๆพูด
ดั่งนี้เพราะไม่มีขันติคือความอดทน
ถ้ามีขันติคือความอดทนได้ ก็จะรักษาจิตใจ
รักษากายวาจาของตนให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงามได้
ใครเขาติฉินนินทาก็ไม่ออกรับไปขึ้งเคียดโกรธแค้นเจ็บใจ
ใครเขาสรรเสริญเยิรยอก็ไม่ออกรับไป ขึ้น ทะเยอทะยาน หรือเหิมเห่อ
แต่พิจารณาดูให้รู้ความจริง ถ้าเขาติถูกก็ควรจะขอบใจผู้ติ และปฏิบัติแก้ให้ถูกต้อง
ถ้าเขาติไม่ถูกนินทาไม่ถูกก็ไม่รับ เพราะตนเองไม่ได้ไปทำดั่งที่เขานินทานั้น
เขาสรรเสริญ ถ้าเขาสรรเสริญเกินไปก็ให้รู้ว่าเกินไป ก็ไม่รับ
ถ้าเขาสรรเสริญพอดีถูกต้อง
แม้ว่าจะรับก็รับมาเป็นการที่ให้กำลังใจในอันที่จะทำดียิ่งขึ้น
ไม่ใช่รับเข้ามาว่าเราดีพอแล้ว ไม่ต้องทำดีอะไรอีก
หรือเพลินอยู่กับคำสรรเสริญของเขาไม่ทำอะไรต่อไป
เสียงสรรเสริญนั้นให้ถือเป็นเครื่องให้กำลังใจ ในอันที่จะทำดียิ่งขึ้น
ไม่ใช่ทำให้เกิดมานะดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ว่าเราดี เขาไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น
เสียงนินทาก็ให้ถือว่าเป็นเครื่องเตือนสำหรับที่จะให้เฉลียวใจมาพิจารณาตนเอง
เมื่อเขานินทาถูก ก็ต้องรับว่าเขาติถูก การติของเขานั้นเป็นการให้คุณ ไม่ใช่ให้โทษ
ปฏิบัติแก้ไขต่อไป เมื่อเขาติไม่ถูกก็ไม่รับ ที่ควรจะแก้ก็แก้ไป
ที่ไม่ควรจะแก้ก็นิ่งเสียตามสมควร ดั่งนี้จึงต้องมีขันติ
อธิวาสนะขันติ
และขันติดังที่กล่าวมานี้ ท่านมีคำเรียกว่า อธิวาสนะขันติ
อธิวาสนะ นั้นแปลว่ายับยั้ง แปลว่ารับยับยั้งไว้ได้ รับไว้ได้ นี้คืออธิวาสนะ
และที่มาประกอบเข้ากับคำว่าขันติ ก็คือขันติที่ยับยั้งไว้ได้ ที่รับไว้ได้
ดังเช่นความทุกข์ต่างๆเช่นหนาวร้อน หิวระหาย สัมผัสสัตว์เช่นเหลือบยุง ลมแดดเป็นต้น
เหล่านี้ก็จะต้องมีในขณะที่จะต้องประกอบการงาน หรือออกไปประกอบการงานต่างๆ
เมื่อยับยั้งไว้ได้ รับไว้ได้ คือยับยั้งทุกข์ทั้งปวงดังกล่าวนั้น
มิให้มาเป็นเหตุทำให้ต้องขัดข้อง ต่อการที่จะออกไปประกอบการงาน
รับไว้ได้ก็คือแม้ว่าจะต้องพบกับทุกข์เหล่านั้น ก็รับได้ ไม่กลัวไม่หวั่นไหว
ดั่งนี้เรียกว่าอธิวาสนะ รับไว้ได้ ยับยั้งได้
ลักษณะดังที่กล่าวมานี้
สัตว์บุคคลทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายที่เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งอยู่ในโลกนี้
ที่นอกจากสัตว์บุคคลก็เช่น ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น
ก็จะต้องมีภาวะที่ยับยั้งไว้ได้รับไว้ได้ของตนอยู่ทั้งนั้น จึงจะดำรงอยู่ได้
ยกตัวอย่างเช่นต้นไม้ที่ตั้งต้นขึ้นมาได้ ดำรงลำต้นอยู่ได้
ก็จะต้องมีกำลังอดทนที่ยับยั้งไว้ได้รับไว้ได้ซึ่งแดดดลมเป็นต้น
เช่นว่าจะต้องพบกับความร้อนของแสงอาทิตย์ ถ้ารับไม่ได้ยับยั้งไม่ได้ต้นไม้ก็จะต้องตาย
ถูกลมพัด ถ้าไม่มีความเหนียวความแข็งของลำต้นพอที่จะรับลมต้านลม ต้นไม้ก็ต้องหัก
ดำรงต้นอยู่ไม่ได้ แต่เพราะต้นไม้มีกำลังความอดทนที่จะรับไว้ได้ยั้งไว้ได้
ซึ่งลมแดดเป็นต้นดังกล่าวนั้น จึงไม่ตาย ดำรงต้นอยู่ได้
บุคคลก็เหมือนกัน ก็จะต้องมีกำลังขันติที่เป็นเครื่องยับยั้ง เป็นเครื่องรับ
อันเป็นเครื่องต้านทานปัจจัยที่เป็นเครื่องเบียดเบียนต่างๆ
ทั้งทางร่างกาย และทั้งทางจิตใจ ร่างกายจึงดำรงอยู่ได้ และจิตใจนี้ก็ดำรงผาสุขอยู่ได้
ก็คือจะต้องมีขันติอันเป็นเครื่องต้านทาน เป็นเครื่องรับ เป็นเครื่องยับยั้ง ทุกข์ต่างๆ
หรือเหตุแห่งทุกข์ต่างๆ อันเป็นเครื่องเบียดเบียน เป็นเครื่องทำลาย
เช่นหนาวร้อนเป็นต้นดังกล่าว สามารถที่จะตรากตรำหนาวตรากตรำร้อนได้ตามสมควร
( เริ่ม ๙๘/๒ ) และจะต้องรู้จักอดทนต่อทุกขเวทนาในเมื่อเกิดเจ็บป่วย
จะต้องรู้จักอดทนต่อถ้อยคำจ้วงจาบล่วงเกิน หรือแม้ถ้อยคำที่ยกยอปอปั้น
เหล่านี้ต้องอาศัยอธิวาสนะขันติดังกล่าวทั้งนั้น
จึงจะทำให้ทั้งร่างกายและทั้งจิตใจนี้ มีความผาสุขและดำรงอยู่ได้ดี
อธิวาสนะขันติระงับทุกขเวทนา
นอกจากนี้อธิวาสนะขันติ ขันติคือความรับไว้ได้ ยับยั้งไว้ได้ต้านทานไว้ได้นี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ยังได้ทรงใช้และได้ใช้ ระงับทุกขเวทนา
ระงับอาพาธที่บังเกิดขึ้นในโอกาสต่างๆอีกด้วย ดังที่ได้มีแสดงไว้ในพุทธประวัติ
ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประชวรด้วยโรคาพาธ มีทุกขเวทนาแม้แรงกล้า
แต่ก็ทรงระงับได้ด้วยอธิวาสนะขันติดังกล่าว และเพราะเหตุที่พระอธิวาสนะขันติของพระองค์
นั้นมีพลังที่แรงกล้า จึงสามารถระงับทุกขเวทนา ระงับอาพาธนั้นๆได้
ปรากฏว่าได้ทรงระงับทุกขเวทนา และอาพาธต่างๆด้วยอธิวาสนะขันตินี้มากครั้ง
แต่ในบางครั้งก็โปรดให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายโอสถรักษา
เพราะฉะนั้นอธิวาสนะขันตินี้เมื่อได้ฝึกปฏิบัติให้มีอยู่ ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์มาก
ว่าถึงในคราวป่วยไข้ เมื่อให้หมอรักษาไปด้วย และใช้อธิวาสนะขันติประกอบไปด้วย
ก็ย่อมจะทำให้การรักษาพยาบาลสำเร็จได้ด้วยดี เมื่อเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่พอจะรักษาได้
ก็จะทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น เมื่อป่วยแม้จะมากก็จะน้อยเข้า จนถึงหาย
เมื่อป่วยน้อยๆ ก็อาจจะหายไปได้ ด้วยกำลังอธิวาสนะขันตินี้เพียงอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมะอันสำคัญ ที่ทุกๆคนจะพึงมีเอาไว้ด้วยการที่ฝึกหัดปฏิบัติ
ให้มีความอดทน ให้มีน้ำอดน้ำทน ให้รู้จักอดกลั้น
โสรัจจะ
อนึ่ง ธรรมะที่คู่กับขันติก็คือ โสรัจจะ ที่ท่านแปลว่าความเสงี่ยม
ตามศัพท์นั้นแปลว่าความยินดีหรือความรื่นรมย์ของใจ พูดง่ายๆก็คือความสบายใจ
อันทำให้กายและวาจาก็สบาย เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม
โสรัจจะดั่งที่กล่าวนี้ พูดง่ายๆในทางปฏิบัติก็คือทำใจให้สบาย
โดยที่ฝึกที่จะระบายสิ่งที่อัดอยู่ในใจนั้น ให้ออกไปจากใจ ให้สงบไปจากใจ
ในขณะที่ปฏิบัติในขันตินั้น
ถ้าไม่มีโสรัจจะคือการทำใจให้สบายนี้มาประกอบด้วย
ก็จะรู้สึกว่าเป็นขันติที่เป็นทุกข์ ดังเช่นเมื่อกระทบกับคำจาบจ้วงล่วงเกิน
ก็ปฏิบัติทำขันติคือความอดทนเอาไว้ แต่ว่ายังมีความเจ็บใจ
ยังมีความโกรธ ความขึ้งเคียดอยู่ในใจ แต่ก็พยายามที่จะกลั้นเอาไว้
ดังที่เรียกว่าอดกลั้น อยากที่จะโต้ตอบเขาออกไปทันที
อยากที่จะทำร้ายเขาออกไปทันที ด้วยอำนาจของโทสะ หรือความเจ็บใจ
แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่ทำออกไป
เมื่อเป็นดั่งนี้ โทสะหรือความเจ็บใจที่มีอยู่ในใจนั้น ก็ทำให้เกิดความเครียดขึ้น
แสดงออกทางหน้าทางตาเช่นตาแดงหูแดง แสดงออกทางกิริยาเช่นแสดงอาการฮึ่ดฮัด
หรือว่าหยิบเอาสิ่งของที่ใกล้มือเขวี้ยงปาออกไป ได้แก้วก็ขว้างแก้วออกไป
ได้จานก็ขว้างจานออกไป เป็นการทดแทนที่จะวิ่งออกไปทำร้ายเขา ก็ทำร้ายพัสดุต่างๆแทน
เหล่านี้เพราะเหตุที่ว่าจิตใจยังมีความเจ็บใจ ยังมีโทสะที่กลุ้มกลัดอยู่ เป็นขันติที่เป็นทุกข์
และเป็นขันติที่ทำให้ใจไม่สบาย ต้องกลั้นเอาไว้ ต้องเดือดร้อนต้องกระสับกระส่าย
ดังเช่นที่กล่าวมา เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ต้องมีโสรัจจะเข้ามาช่วย คือทำใจให้สบาย
ระบายเอาความเจ็บใจ ระบายเอาความโกรธนั้นออกไปเสีย
ไม่เก็บเอาไว้ให้เกิดความขึ้งเครียด ดังที่กล่าว
เพราะฉะนั้น โสรัจจะจึงเป็นธรรมะสำคัญมาก อันทำให้ใจสบาย
อันทำให้กายวาจาก็สบาย เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม
ไม่ต้องหูแดงตาแดง ไม่ต้องทำฮึดฮัด เขวี้ยงโน่นเขวี้ยงนี่ ดังที่กล่าวมานั้น
เพราะฉะนั้น พระอาจารย์ท่านจึงมักอธิบายโสรัจจะว่าเป็นศีล
เพราะดูที่อาการกายวาจาของผู้ที่ปฏิบัติในขันตินี้ว่าเป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม
แต่อันที่จริงนั้นต้นเหตุก็คือต้องทำใจให้สบาย ตรงตามศัพท์ของโสรัจจะ
ที่แปลว่ารื่นรมย์ดี สบายดี ใจดี
ขันติ โสรัจจะ ธรรมะที่ทำให้งาม
เพราะฉะนั้นโสรัจจะนี้จึงเป็นธรรมที่คู่กันกับขันติ
เป็นขันติข้อหนึ่ง เป็นโสรัจจะข้อหนึ่ง ที่ท่านเรียกว่าเป็นธรรมะที่ทำให้งาม
เพราะว่าผู้ที่มีขันติโสรัจจะอยู่ดังนี้ ย่อมทำให้จิตใจก็งาม กายวาจาก็งาม
เพราะสามารถที่จะรับยับยั้งเหตุแห่งทุกข์ต่างๆไว้ได้
ทั้งทำจิตใจให้สบาย คือสบายดี เหมือนอย่างไม่ได้ถูกกระทบกระทั่งอะไรด้วย
กายวาจาก็ดีด้วย ปราศจากอาการที่เป็นวิกลวิกาลต่างๆ
จึงเป็นธรรมะที่ทำให้งาม นี้เป็นขันติที่เป็นปฏิบัติทั่วไป
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*