ถอดเทปพระธรรมเทศนา

เทป150

ป่าช้าข้อ ๑ - ๕

เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๓ และ ๔

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

ข้อพิจารณาสรีระศพ ๓

เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๓ ๔

จิตสังขารเครื่องปรุงจิต ๕

สุขเวทนา ราคะแห่งสมาธิ ๖

กำหนดรู้จิตสังขารอย่างไร ๖

 คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

ม้วนที่ ๑๙๒/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๙๓/๑ ( File Tape 150 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

ป่าช้าข้อ ๑ - ๕

เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๓ และ ๔

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

 

พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนสติปัฏฐานทั้ง ๔

ที่ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นกายเวทนาจิตธรรม

และในข้อแรกคือข้อกายนั้นได้แสดงตั้งแต่ข้อสติกำหนดลมหายใจเข้าออกมาโดยลำดับ

จนถึงข้อสุดท้ายคือพิจารณาสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าเทียบเข้ามาที่กายนี้

ว่ากายนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้

 

โดยที่ตรัสสอนให้พิจารณาสรีระศพว่า เหมือนอย่างว่าสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

ซึ่งใช้พิจารณาดูไปด้วยใจตามที่ตรัสสอนไว้นั้น หรือว่าได้ไปดูศพ

ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีการไปทิ้งไว้ในปาช้าเหมือนอย่างในสมัยโบราณ

ก็อาจจะไปดูศพที่หมอผ่าตัดที่โรงพยาบาลก็ได้ หรือจะไปดูที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน

ตึก ภปร. วัดบวรนิเวศวิหารนี้ก็ได้

แม้ว่าจะไม่ตรงกันทีเดียวกับที่ตรัสไว้ ก็ไปดูพิจารณาโดยที่เป็นสรีระศพเหมือนกัน

หรือแม้เป็นส่วนต่างๆ เป็นอาการต่างๆในร่างกายอันนี้ที่ตรัสสอนให้พิจารณา

เป็นอาการ ๓๑ - ๓๒ ตรัสสอนพิจารณาด้วยว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด

ก็ดูได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เช่นเดียวกัน

 

ข้อพิจารณาสรีระศพ

 

และที่ตรัสเอาไว้ในพระสูตรนี้ ก็ตรัสไว้เป็นป่าช้า ๙ ประการ

อันหมายถึงว่าเป็นสรีระศพ หรือซากศพ ๙ ประการ

ตั้งแต่เมื่อเป็นซากศพที่ตายวันหนึ่งสองวัน จนถึงเป็นกระดูกผุป่น

จะได้แสดงทบทวนตามที่ตรัสไว้ในพระสูตรก่อน

ที่ตรัสสอนว่า เหมือนอย่างว่า จะพึงเห็นสรีระศพคือซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

คำว่า เหมือนอย่างว่า นั้นก็มีความหมายถึงเป็นคำเทียบเคียง

ต้องการที่จะให้ยกเอาสรีระศพตามที่ตรัสสอนนั้น

แม้ว่าจะไม่ได้เห็นจริงด้วยตาตนเอง ก็ให้พิจารณาเหมือนอย่างว่าเห็น

คือนึกถึงศพที่ตายแล้ววันหนึ่งสองวันสามวัน

ที่ขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำหนองไหลน่าเกลียด

เทียบเข้ามาว่าแม้กายนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้

เพราะว่ากายอันนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วหากทิ้งเอาไว้ก็จะต้องเป็นเหมือนเช่นนั้น

คือจะต้องขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำหนองไหลน่าเกลียดเช่นเดียวกัน

 

อนึ่งตรัสสอนให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อันฝูงกาจิกกิน หรือฝูงแร้งจิกกิน หรือนกตะกรุมจิกกิน หรือสุนัขกัดกิน

หรือสุนัขจิ้งจอกกัดกิน หรือ ปาณกชาติ คือหมู่สัตว์เล็กน้อยทั้งหลายต่างๆชนิดกัดกิน

และให้พิจารณาน้อมเข้ามาที่กายอันนี้ว่า หลังจากที่สิ้นชีวิตแล้วหากเขานำไปทิ้งไว้ในป่า

ก็จะต้องถูกสัตว์ทั้งหลายมาจิกกิน หรือมากัดกินเหมือนเช่นนั้น

อนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็น

สรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นซากศพที่มีเนื้อ มีเลือด มีเส้นเอ็นรึงรัด

พิจารณาเทียบเข้ามาดูที่กายอันนี้ว่า หากถูกเขานำไปทิ้งไว้ในป่าช้าหรือในป่า

หลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินหรือกัดกินแล้ว

โครงร่างกระดูกก็ยังมีเนื้อมีเลือด ยังมีเส้นเอ็นรึงรัด

 

อนึ่งตรัสสอนให้พิจาณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพ

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าเป็นโครงร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อยังเปื้อนเลือดยังมีเส้นเอ็นรึงรัด

น้อมเข้ามาพิจารณากายนี้ว่า หากสิ้นชีวิตแล้ว และถูกทิ้งไว้ในป่าหรือในป่าช้า

และหลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินกัดกิน ก็จะยังมีเนื้อมีเลือดมีเส้นเอ็นรึงรัด

และแล้วก็จะไม่มีเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือดและยังมีเส้นเอ็นรึงรัด

 

อนึ่ง ให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

เป็นโครงร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อไม่มีเลือด แต่ยังมีเส้นเอ็นรึงรัดเป็นโครงร่างกระดูกอยู่

เทียบเข้ามาที่กายอันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว หากถูกนำไปทิ้งไว้ในป่า

หรือในป่าช้า และหลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินกัดกินจนไม่มีเนื้อไม่มีเลือด

แต่เมื่อยังมีเส้นเอ็นรึงรัดอยู่ก็ยังคงคุมกันเป็นร่างกระดูก หรือเป็นเป็นโครงกระดูกอยู่

 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้พิจารณาศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

ว่าเหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพดังที่กล่าวมา และน้อมเข้ามาที่กายอันนี้

พิจารณาดูว่าหลังจากที่สิ้นชีวิต หากถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าช้าหรือในป่า ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน

วันนี้แสดงเพียง ๕ ข้อในป่าช้า ๙

 

เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๓

 

อนึ่ง จะได้แสดงอานาปานสติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นชั้นๆขึ้นไป

อานาปานสติในข้อกายก็มี ๔ ชั้น ในข้อเวทนาก็มี ๔ ชั้น ในข้อต่อไปก็มีข้อละ ๔ ชั้น

และในข้อเวทนานั้นได้แสดงแล้ว ๒ ชั้น จึงถึงชั้นที่ ๓ ที่ตรัสสอนไว้ว่า

ให้ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้ทั่วถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจเข้า

ศึกษาว่าเราจักรู้ทั่วถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจออก

 

ท่านอธิบายไว้ว่า

ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกยาว

ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกสั้น

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้กายทั้งหมดหายใจเข้า

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้กายทั้งหมดหายใจออก

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้สงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจเข้า

ด้วยสามารถแห่งความสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจออก

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติหายใจเข้า

( เริ่ม ๑๙๓/๑ ) ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติหายใจออก

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงสุขหายใจเข้า

ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงสุขหายใจออก

 

จิตสังขารเครื่องปรุงจิต

 

สัญญา คือความจำได้หมายรู้ เวทนา คือความรู้สึก

เวทนาทั่วไปนั้นก็คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกเป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข

แต่ว่าในที่นี้มุ่งถึงปีติสุขรวมเข้าเป็นตัวสุขเวทนา

สัญญา เวทนา หรือ เวทนา สัญญา นี้ เป็นเจตสิกธรรม ธรรมะที่เกิดขึ้นในใจ

เจตสิกธรรมธรรมะที่เกิดขึ้นในใจคือสัญญาเวทนานี้เนื่องด้วยจิตผูกพันอยู่กับจิต

จึงเรียกว่าจิตสังขาร ที่แปลว่าเครื่องปรุงจิต นี้คือจิตสังขารเครื่องปรุงจิต

 

สุขเวทนา ราคะแห่งสมาธิ

 

จิตสังขารคือเครื่องปรุงจิตนี้ เมื่อว่าถึงเป็นสัญญาเวทนาทั่วไป

หากเป็นสุขเวทนาก็ปรุงจิตให้เกิดราคะคือความติดใจยินดี

หากเป็นทุกขเวทนาก็ปรุงจิตให้เกิดความยินร้ายโกรธแค้นขัดเคือง

หากเป็นอทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข

ก็ปรุงจิตให้เกิดโมหะคือความหลงติดอยู่

 

แต่ว่าในที่นี้ ซึ่งในขั้นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

คืออานาปานสติซึ่งมาถึงขั้นนี้ รู้ทั่วถึงจิตสังขารหายใจเข้าหายใจออกนี้

เป็นปีติสุขซึ่งรวมเข้าก็เป็นสุขเวทนา จึงปรุงให้เกิดราคะคือความติดใจยินดี

เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนให้ทำความรู้ทั่วถึงจิตสังขาร

คือให้รู้จัก สัญญา เวทนา ที่บังเกิดขึ้น อันปรุงจิตให้ยินดีนี้ว่าเป็นตัวสังขาร

 

กำหนดรู้จิตสังขารอย่างไร

 

และกำหนดรู้จิตสังขารอย่างไร ได้ตรัสอธิบายไว้ ได้มีท่านอธิบายไว้ต่อไปว่า

ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าหายใจออกยาวเป็นต้น ดั่งที่กล่าวมาแล้วนั้นโดยลำดับ

จนถึงด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติสุขหายใจเข้าหายใจออก

เมื่อรู้ความที่จิตเป็นเอกัคคตา คือมีอารมณ์เป็นอันเดียวไม่ฟุ้งซ่าน สติย่อมตั้งมั่น

จิตสังขารคือเครื่องปรุงจิตอันได้แก่ สัญญา เวทนา ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

ก็กำหนดให้รู้จักด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น

และเมื่อคำนึงถึง เมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต

เมื่อน้อมจิตไปด้วยศรัทธาความเชื่อ เมื่อประคองความเพียร

เมื่อตั้งสติมั่น เมื่อตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้ว เมื่อรู้ด้วยปัญญา

เมื่อรู้ยิ่งธรรมะที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมะที่ควรกำหนดรู้ เมื่อละธรรมะที่ควรละ

เมื่ออบรมทำให้มีขึ้นซึ่งธรรมะที่ควรอบรม เมื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมะที่ควรกระทำให้แจ้ง

จิตสังขารเครื่องปรุงจิตคือสัญญาเวทนาก็กำหนดรู้ ด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น

จิตสังขารย่อมเป็นอันกำหนดรู้แล้วอย่างนี้

 

เวทนา ด้วยสามารถแห่งความที่รู้ทั่วถึงจิตสังขารเครื่องปรุงจิต

หายใจเข้าหายใจออก เป็น อุปปัฏฐานะ คือเป็นอารมณ์ที่ปรากฏ

สติเป็น อนุปัสสนาสติ สติที่พิจารณาตามรู้ตามเห็น

เวทนาเป็นอุปปัฏฐานะคืออารมณ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่สติ

สติเป็นตัวความปรากฏด้วย เป็นสติด้วย

ย่อมพิจารณาตามรู้ตามเห็นเวทนานั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น

เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าสติปัฏฐานภาวนา อบรมสติปัฏฐาน

 

ข้อพิจารณาตามรู้ตามเห็นในเวทนา ท่านอธิบายไว้อย่างนี้

และในข้อนี้ก็เป็นความจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว

ก็จะต้องปฏิบัติศึกษาให้รู้ทั่วถึงจิตสังขาร หายใจเข้าหายใจออก

คือให้รู้ทั่วถึงว่าสัญญาเวทนาที่บังเกิดขึ้นนี้ เป็นเครื่องปรุงจิตได้ คือปรุงจิตให้ยินดีติดอยู่ได้

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

* 

ป่าช้าข้อ ๖ - ๙

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

* 

สรุปข้อพิจารณากาย ๓

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

ม้วนที่ ๑๙๓/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๙๓/๒ ( File Tape 150 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

ป่าช้าข้อ ๖ - ๙

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔

เป็นหลักปฏิบัติใหญ่ เพื่อตั้งสติ เพื่อสมาธิ และเพื่อปัญญา

ในข้อกายได้ทรงแสดงจับแต่อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก

จนถึงข้อว่าด้วยป่าช้าทั้ง ๙ อันเป็นข้อสุดท้าย

และก็ได้แสดงมาแล้ว ๕ ป่าช้า ยังอีก ๔ ป่าช้า ก็จะครบ ๙

 

ในป่าช้าที่ ๖ นั้น ตรัสสอนให้ตั้งจิตตั้งสติพิจารณาว่า

เหมือนอย่างว่าซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า และเห็นซากศพนั้นเป็นร่างกระดูก

ซึ่งไม่มีเส้นเอ็นรึงรัด จึงกระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งหลาย

กระดูกมือไปทางอื่น กระดูกเท้าไปทางอื่น กระดูกแข้งไปทางอื่น กระดูกขาไปทางอื่น

กระดูกสะเอวไปทางอื่น กระดูกหลังสันหลังไปทางอื่น กระดูกซี่โครงไปทางอื่น

กระดูกอกไปทางอื่น กระดูกแขนไปทางอื่น กระดูกไหล่ไปทางอื่น กระดูกคอไปทางอื่น

กระดูกคางไปทางอื่น กระดูกฟันไปทางอื่น กระโหลกศรีษะไปทางอื่น

อันหมายความว่าเรี่ยราดกระจัดกระจายไปแต่ละทิศแต่ละทาง

ให้พิจารณาน้อมเข้ามาว่า เหมือนอย่างกายนี้ก็จะเป็นเช่นนั้นเป็นธรรมดา

จะต้องเป็นเหมือนอย่างนั้น ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้

 

อนึ่ง ให้พิจารณาว่าเหมือนอย่างว่า

จะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกซึ่งมีสีขาวเหมือนอย่างสังข์

พิจารณาน้อมเข้ามาว่าแม้กายนี้ ก็จะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา

จะต้องมีความเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงอย่างนั้นไปได้

 

อนึ่ง ให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่า

จะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกที่เป็นกองๆเกินปีหนึ่งไป

น้อมเข้ามาพิจารณาว่า แม้กายนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น

มีอันเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้

 

อนึ่ง ให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่า

จะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าเป็นกระดูกผุป่น

น้อมเข้ามาถึงกายนี้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้

 

สรุปข้อพิจารณากาย

 

ก็เป็นอันว่าได้ตรัสสอนให้พิจารณา

เทียบกายนี้กับสรีระศพ ที่เหมือนอย่างว่าเห็นที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

ดังกล่าวมาโดยลำดับเป็น ๙ ป่าช้าด้วยกัน หรือว่า ๙ สรีระศพด้วยกัน

ก็เป็นอันทรงแสดงจบข้อกายานุปัสสนา คือให้พิจารณากาย

เพราะว่ากายอันนี้หากพิจารณาแล้วก็จะเห็นว่า

เดิมก็ไม่มี แต่เริ่มมีขึ้นตั้งต้นแต่เป็นกลละในครรภ์ของมารดา

แล้วจึงมาเริ่มเป็นสรีระตั้งแต่ยังไม่ปรากฏเป็นปัญจะสาขาในท้องแม่

คือยังไม่ปรากฏศรีษะ มือทั้งสอง เท้าทั้งสอง

แล้วจึงค่อยเติบใหญ่ขึ้น มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย

แต่ว่าจิตนั้นใจนั้นเริ่มมีตั้งแต่เป็นกลละ ปฐมจิต ปฐมวิญญาณ

และเมื่อมีอายตนะครบถ้วนก็คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา

ได้รับทะนุบำรุงเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นโดยลำดับ

 

และก็ต้องล่วงไป แตกสลายไปในช่วงเวลาต่างๆกัน

ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดาก็มี ออกมาแล้วยังเล็กอยู่ก็มี โตขึ้นมาก็มี

เติบใหญ่ขึ้นเป็นเด็กใหญ่ก็มี เป็นหนุ่มเป็นสาวก็มี เป็นผู้ใหญ่ก็มี อยู่มาจนแก่ก็มี

แต่แล้วในที่สุดก็ต้องแก่ตายด้วยกันทั้งหมด ไม่มีใครจะอยู่ตลอดไปได้

ก็คือกายนี้แตกสลาย และเมื่อกายนี้แตกสลาย กายนี้ก็เป็นศพ

มีลักษณะตั้งแต่ตายวันหนึ่งสองวันสามวันเป็นต้นตามที่ตรัสแสดงไว้

แล้วในที่สุดก็เป็นกระดูกผุป่น เป็นอันว่ากลับเป็นไม่มีเหมือนอย่างเดิม

 

กายอันนี้เมื่อเริ่มต้นมีขึ้น ตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณ

เป็นกลละคือเล็กที่สุดเหมือนอย่างน้ำมันที่ปลายขนทราย

ก็แปลว่าเริ่มมีเริ่มเป็นขึ้น เป็นกายเป็นจิตตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณ มีชีวิต

และเมื่อได้คลอดออกมาคือเกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็ยังเล็ก แล้วก็เติบโตขึ้นโดยลำดับดังกล่าว

ในขณะที่กายยังดำรงชีวิตอยู่นี้ก็ย่อมหายใจเข้าหายใจออกได้

มีลมหายใจ ซึ่งต้องหายใจกันอยู่ตลอดเวลา หยุดไม่ได้

 

เพราะฉะนั้น จึงเรียกลมหายใจว่าปาณะ

ปาโณที่เราแปลว่าสัตว์มีชีวิต ก็คือสัตว์ที่ยังหายใจอยู่

ลมหายใจซึ่งเป็นตัวชีวิต ( เริ่ม ๑๙๓/๒ ) จึงเรียกว่าลมปราณ

เมื่อลมปราณซึ่งเป็นตัวชีวิตนี้หยุดไม่หายใจ ชีวิตนี้ก็ดับ

และเมื่อยังมีชีวิตมีลมปราณหายใจเข้าหายใจออก ก็ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเดินยืนนั่งนอนได้

ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถประกอบต่างๆ เช่นการก้าวไปข้างหน้า การถอยมาข้างหลังเป็นต้นได้

 

อาการทั้งหลายในร่างกายอันนี้มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้นที่เป็นภายนอก

และที่เป็นภายใน มังสังเนื้อ นหารูเอ็น อัฏฐิกระดูก อัฏฐิมิญชังเยื่อในกระดูก วักกังไต

หทยังหัวใจ ยกนังตับ กิโลมกังพังผืด ปิหกังม้าม ปับผาสังปอด เป็นต้น

ก็มีอาการคือปฏิบัติหน้าที่ได้ และอาการทั้งปวงเหล่านี้ก็มีลักษณะที่เติบใหญ่ได้

มีสันตติคือความสืบต่อ มีความเสื่อมได้ มีความเกิดดับได้

แต่แม้ว่าเกิดดับ ดับแล้วก็มีสันตติคือเกิด อย่างเช่นผมที่หลุดแล้วก็กลับงอกขึ้นมาได้

ที่ตัดหรือโกนแล้วก็กลับงอกยาวขึ้นอีกได้ แล้วก็หลุดได้

และอาการทั้งปวงนั้นก็ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตน ในอันที่จะรวมเข้าเป็นสรีรยนต์คือร่างกายอันนี้

และทั้งหมดเมื่อย่อเข้าก็เป็นธาตุทั้ง ๔

คือปฐวีธาตุธาตุดิน อาโปธาตุธาตุน้ำ เตโชธาตุธาตุไฟ วาโยธาตุธาตุลม

ประกอบกันอยู่ กายนี้จึงดำรงชีวิตอยู่ได้

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้พิจารณากายนี้

จับเดิมแต่ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดอิริยาบถ

กำหนดอิริยาบถประกอบทั้งหลาย กำหนดอาการ ๓๑ ถึง ๓๒ กำหนดธาตุทั้ง ๔ โดยลำดับ

อันเป็นร่างกายที่ยังเป็นอยู่ ยังดำรงชีวิตอยู่ แต่ว่าร่างกายอันนี้ในที่สุดก็จะต้องแตกสลาย

อันหมายความว่าธาตุทั้ง ๔ ที่รวมกันนี้แตกสลายแยกกัน

วาโยธาตุธาตุลมที่เป็นลมปราณดับคือหยุดหายใจ

อิริยาบถก็หยุด จะผลัดเปลี่ยนเดินยืนนั่งนอนไม่ได้ นอกจากต้องนอนเป็นศพ

อิริยาบถประกอบทั้งหลายก็ต้องหยุดหมด ผลัดเปลี่ยนไม่ได้

อาการ ๓๑ ถึง ๓๒ ก็หยุดเป็นอาการ คือหยุดทำงานประกอบหน้าที่

เพราะธาตุทั้ง ๔ นี้แตกสลายตั้งแต่ลมปราณ

เป็นศพดังที่ตรัสไว้ในป่าช้าทั้ง ๙ วาโยธาตุที่เป็นลมปราณดับ

เตโชธาตุที่เป็นธาตุไฟที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นเป็นต้นก็ดับ ศพจึงเย็นชืด ไม่มีธาตุไฟ

และธาตุดินธาตุน้ำก็หยุดปฏิบัติงาน ก็ต้องแตกสลายย่อยยับไปโดยลำดับ

ดังที่ตรัสไว้ในป่าช้าทั้ง ๙ ในทีแรกก็ยังเป็นสรีระศพหรือซากศพที่ยังมีเนื้อมีเลือดอยู่บ้าง

แต่ต่อไปเนื้อก็จะหมด เลือดก็จะหมด เหลือแต่โครงกระดูกที่มีเส้นเอ็นรึงรัด

แล้วก็ไม่มีเส้นเอ็นรึงรัด เป็นกระดูกที่กระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งหลาย

ในที่สุดก็เป็นกระดูกผุป่น ก็เป็นอันว่ากลับไม่มีอย่างสมบูรณ์

เดิมก็ไม่มีอย่างสมบูรณ์ คือไม่มีอย่างเต็มที่

เมื่อกลับมีขึ้นมา ในที่สุดก็กลับไม่มีอย่างสมบูรณ์คืออย่างเต็มที่

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้จึงได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นอนิจจะไม่เที่ยง ต้องมีเกิดมีดับ

เป็นทุกขะเป็นทุกข์คือต้องถูกความเกิดดับบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา

และเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน ไม่อาจจะยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเราได้

เพราะต้องเป็นไปตามธรรมดาอย่างนั้น บังคับให้เป็นไปตามปรารถนาก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตาตัวตน ไม่ควรที่จะถือว่าเป็นเราเป็นของเรา

ฉะนั้น แม้ในข้อกายานุปัสสนาตั้งสติพิจารณากายนี้

จึงเป็นข้อที่ตรัสสอนให้ได้ทั้งสติเพื่อสมาธิ และให้ได้ทั้งสติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

*

 

ดาวน์โหลดตัวอักษร (ฟ้อนต์) ทิเบตทั้ง ๓ แบบ เพื่อความสมบูรณ์ในการชมเว็บ

actisan.ttf

adtibet.ttf

atibet.ttf


uptime alert service

website monitor

View My Stats