ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 18 ธันวาคม 2555 12:46
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป143
ปิยะรูป สาตะรูป
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
กระบวนการของตัณหา ๕
กำหนดดูกระบวนของจิตใจ ๖
ธรรม ๑๐ หมวดเป็น ปิยะรูป สาตะรูป ๗
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๘๔/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๘๔/๒ ( File Tape 143 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
ปิยะรูป สาตะรูป
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยกตัณหาขึ้นเป็นทุกขสมุทัย
จำแนกเป็น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งได้แสดงอธิบายมาแล้ว
ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสจำแนกแจกแจงแสดงต่อไปอีกว่า
ตัณหานั้นเกิดขึ้นในที่ไหน ตั้งอยู่ในที่ไหน ก็ได้ตรัสตอบเองว่า
ตัณหานั้นเกิดขึ้นใน ปิยะรูป รูปเป็นที่รัก สาตะรูป รูปเป็นที่ชอบใจสำราญใจ
แล้วจึงได้ตรัสชี้ว่าปิยะรูปรูปเป็นที่รัก สาตะรูปรูปเป็นที่ชอบใจสำราญใจ นั้นคืออะไร
ก็ได้ตรัสจำแนกออกไปอีก ๑๐ หมวดสำหรับให้ผู้ปฏิบัติพิจารณา
ดังที่จะได้นำมาแสดงต่อไป
หมวดที่ ๑ นั้นก็คือตาหูจมูกลิ้นกายและมโนคือใจเป็น ปิยะรูป สาตะรูป
หมวดที่ ๒ ก็คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องและธรรมะคือเรื่องราว
๒
หมวดที่ ๑ ก็มี ๖ มีตาเป็นต้น ก็ได้แก่อายตนะภายใน ๖
หมวดที่ ๒ ก็มี ๖ ได้แก่อายตนะภายนอก ๖ เป็น ปิยะรูป สาตะรูป
อายตนะภายในและอายตนะภายนอกก็มีอยู่ที่กายใจนี้เอง ( เริ่ม ๑๘๔/๒ ) ไม่ใช่ในที่อื่น
แม้ในหมวดต่อไปก็มีอยู่ที่กายใจนี้เช่นเดียวกัน
หมวดที่ ๓ ก็ได้แก่ จักขุวิญญาณ ความรู้ทางจักษุคือดวงตา อันได้แก่เห็นรูปทางตา
โสตะวิญญาณ ความรู้ทางหู ก็ได้แก่ได้ยินเสียงทางหู
ฆานะวิญญาณ ความรู้ทางฆานะคือจมูก ก็ได้แก่ทราบกลิ่นทางจมูก
ชิวหาวิญญาณ ความรู้ทางลิ้น ก็ได้แก่ทราบรสทางลิ้น
กายวิญญาณ ความรู้ทางกาย ก็ได้แก่ทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางกาย
มโนวิญญาณ ความรู้ทางมโนคือใจ ก็ได้แก่รู้หรือคิดธรรมะคือเรื่องราวทางใจ
หมวดที่ ๔ ก็ได้แก่ สัมผัส ความถูกต้อง อันเป็นความรู้ที่สูงขึ้นจากวิญญาณ
คือจิตกระทบถูกต้องกับอารมณ์คือเรื่องราวมีเรื่องรูปเป็นต้นนั้น
ตั้งต้นแต่ จักขุสัมผัส สัมผัสคือใจกับอารมณ์ จิตกับอารมณ์กระทบกันทางตา
โสตะสัมผัส จิตกับอารมณ์กระทบกันทางหู ฆานะสัมผัส จิตกับอารมณ์กระทบกันทางจมูก
ชิวหาสัมผัส จิตกับอารมณ์กระทบกันทางลิ้น กายสัมผัส จิตกับอารมณ์กระทบกันทางกาย
มโนสัมผัส จิตกับอารมณ์กระทบกันทางมโนคือใจ
หมวดที่ ๕ เวทนา คือความรู้ที่สูงขึ้นจากสัมผัส มีสัมผัสเป็นเหตุให้เป็นเวทนา
คือรู้เป็นสุข รู้เป็นทุกข์ หรือรู้เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข
อันได้แก่ จักขุสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา
โสตะสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู
ฆานะสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางจมูก
ชิวหาสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางลิ้น
กายสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกาย
๓
มโนสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางมโนคือใจ
หมวดที่ ๖ ก็เป็นความรู้ที่สูงขึ้นจากเวทนา คือ สัญญา ความจำได้หมายรู้
อันได้แก่ รูปสัญญา สัญญาในรูป สัทธสัญญา สัญญาในเสียง
คันธสัญญา สัญญาในกลิ่น รสะสัญญา สัญญาในรส
โผฏฐัพพะสัญญา สัญญาในสิ่งถูกต้อง
ธรรมสัญญาสัญญา ในธรรมะคือเรื่องราวทางใจ
หมวดที่ ๗ ความรู้ที่สูงขึ้นจากสัญญา คือ สัญเจตนา ความจงใจ
อันได้แก่ รูปสัญเจตนา ความจงใจในรูป อันหมายถึงความคิดปรุงหรือปรุงคิดรูป
สัทธสัญเจตนา ความจงใจในเสียง คือคิดปรุงหรือปรุงคิดเสียง
คันธสัญเจตนา ความจงใจในกลิ่น คือคิดปรุงหรือปรุงคิดกลิ่น
รสะสัญเจตนา ความจงใจในรส คือคิดปรุงหรือปรุงคิดรส
โผฏฐัพพะสัญเจตนา ความจงใจในโผฏฐัพพะ คือสิ่งถูกต้อง
คือความคิดปรุงหรือปรุงคิดในโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
ธรรมะสัญเจตนา สัญเจตนาความจงใจในธรรมะคือเรื่องราว
อันได้แก่ความคิดปรุงหรือปรุงคิดเรื่องราวต่างๆ
หมวดที่ ๘ ก็ได้แก่ตัวตัณหาเอง ที่เกิดขึ้นในลำดับแห่งสัญเจตนาความจงใจ
ด้วยความคิดปรุงหรือความปรุงคิดนั้น อันได้แก่ รูปตัณหา ตัณหาในรูป
สัทธตัณหา ตัณหาในเสียง คันธตัณหา ตัณหาในกลิ่น
รสะตัณหา ตัณหาในรส โผฏฐัพพะตัณหา ตัณหาในโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
และ ธรรมตัณหา ตัณหาในธรรมะคือเรื่องราว
หมวดที่ ๙ เป็นความรู้ที่สืบจากตัณหา
อันได้แก่ วิตก คือความตรึกนึกคิดมีลักษณะเป็นความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
๔
อันได้แก่ รูปวิตก ตรึกนึกคิดในรูป สัทธวิตก ตรึกนึกคิดในเสียง
คันธวิตก ตรึกนึกคิดในกลิ่น รสะวิตก ตรึกนึกคิดในรส
โผฏฐัพพะวิตก ตรึกนึกคิดในโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
ธรรมะวิตก หรือวิตักกะตรึกนึกคิดในธรรมะคือเรื่องราว
จึงมาถึงหมวดที่ ๑๐ อันได้แก่ วิจาร คือความตรอง
ซึ่งบังเกิดสืบเนื่องขึ้นจากวิตกคือความตรึกนึกคิด ก็เป็นความรู้อีกอย่างหนึ่ง
อันได้แก่ รูปวิจาร ความตรองในรูป สัททวิจาร ความตรองในเสียง
คันธวิจาร ความตรองในกลิ่น รสะวิจาร ความตรองในรส
โผฏฐัพพะวิจาร ความตรองในโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
และ ธรรมะวิจาร ความตรองในเรื่องราว
ทั้งหมดนี้แต่ละหมวดเป็นปิยะรูปรูปเป็นที่รัก สาตะรูปรูปเป็นที่ชอบใจสำราญใจ
และก็หมวดละ ๖ หมวดละ ๖ ทั้งหมดนี้รวมลงในกายและใจนี้เอง
ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการของจิตใจ พร้อมทั้งกายของทุกๆคน
ตัณหาเกิดขึ้นตั้งอยู่ในกระบวนการของกายใจทั้ง ๑๐ หมวดนี้
และทุกคนอาจพิจารณาจำแนกดูได้ที่กายใจของตัวเอง
แต่ต้องมีความเข้าใจว่าชื่อของหมวดทั้ง ๑๐ หมวดเป็นสมมติบัญญัติ
คือเป็นสมมติธรรมบัญญัติธรรม สำหรับเรียกร้องกระบวนการของจิตใจทั้งหมด
กระบวนการของตัณหา
ทุกคนนั้นเมื่อจิตรับอารมณ์คือเรื่องราว โดยปรกติก็รู้สึกเหมือนว่า
หากจะเกิดตัณหา ก็เกิดตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากขึ้นทันที
เป็นกามตัณหาบ้าง ภวตัณหาบ้าง วิภวตัณหาบ้าง
บังเกิดขึ้นที่จิตใจนี้ มีอาการให้รู้ได้
๕
และหากพิจารณาจำแนกดูแล้วก็จะจำแนกได้
ตามกระบวนการทั้ง ๑๐ หมวดที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้
ซึ่งบรรดาอารมณ์คือเรื่องของจิตที่จิตคิดนึกยึดถืออยู่ อันเป็นที่ตั้งของตัณหาทั้งหลาย
หากพิจารณาจับดูตามที่ตรัสสอนไว้ ก็จะเห็นตามได้ตามเป็นจริง
ว่าตั้งต้นมาจากอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
ของตนนี้เองที่มาประจวบกัน เช่น ตามาประจวบกับรูปเป็นต้น
ต้องตั้งต้นจากอายตนะภายในอายตนะภายนอกดั่งนี้
แล้วจึงมาถึงวิญญาณคือตัวความรู้ของจิตนี้เอง
ที่เริ่มขึ้นปรากฏเป็นเห็นรูปได้ยินเสียงเป็นต้น ซึ่งทุกๆคนมีอยู่
ซึ่งเป็นความรู้อย่างหนึ่งของจิต เป็นความรู้ที่เป็นขั้นต้น
แล้วจึงเป็นความรู้ที่สูงขึ้นเป็นสัมผัส จิตกับอารมณ์ประจวบกัน
สัมผัสกันกระทบกัน เป็นความรู้ที่สูงขึ้นกว่าวิญญาณ
แล้วก็เป็นความรู้ที่สูงขึ้นเป็นเวทนา รู้เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข
แล้วก็เป็นความรู้ที่สูงขึ้นเป็นสัญญาจำได้หมายรู้ จำรูปจำเสียงได้เป็นต้น
แล้วจึงเป็นความรู้ที่สูงขึ้นเป็นรู้จักปรุง คือคิดปรุงหรือปรุงคิดเป็นสัญเจตนาความจงใจ
เมื่อมีความคิดปรุงหรือปรุงคิดขึ้น
คือปรุงรูปปรุงเสียงนั้นเองจึงเกิดเป็นตัณหา ซึ่งเป็นความรู้ที่สูงขึ้นมาอีก
และเมื่อเป็นตัณหา ก็เป็นความรู้ที่สูงขึ้นเป็นวิตกคือตรึก แล้วก็เป็นวิจารคือตรอง
กระบวนของจิตใจย่อมเป็นไปอยู่ดั่งนี้ในอารมณ์ทั้งหลายทุกอารมณ์
กำหนดดูกระบวนของจิตใจ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนจำแนกเอาไว้
สำหรับหัดจับมาพิจารณาดูใจของตัวเอง ดูกระบวนของจิตใจของตัวเองที่เป็นไปโดยลำดับ
๖
เป็น ญาตะปริญญา กำหนดรู้สิ่งที่รู้ หรือกำหนดรู้ความรู้
คือความรู้ที่เป็นกระบวนของจิตใจ อันเป็นธรรมชาติธรรมดานี้มีทุกคน
จะปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ทุกคนตั้งแต่เกิดมา
และก็ให้กำหนดรู้ตัวความรู้ของจิตใจที่เป็นธรรมชาติธรรมดานี้แหละ ให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วก็จับพิจารณาเป็น สีลณะปริญญา แล้วจึงจะถึงขั้นละซึ่งเป็น ปหานะปริญญา ต่อไป
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังให้เข้าใจสมมติบัญญัติ ซึ่งเป็นสมมติธรรมบัญญัติธรรมนี้
และดูเข้ามาที่จิตใจของตัวเอง จับพิจารณาดู
ธรรม ๑๐หมวดเป็น ปิยะรูป สาตะรูป
และก็พึงเข้าใจว่าคำว่าปิยะรูปสาตะรูปนี้ ยก รูป ขึ้นมาอย่างเดียว
แต่ความหมายนั้นมิได้มีความหมายจำเพาะรูปที่เป็นวัตถุ
แต่หมายถึงกระบวนของจิตใจทุกข้อทุกบททุกอย่าง ทั้งที่เป็นรูป และทั้งที่มิใช่รูป
เพราะฉะนั้น จึงมักจะแปลกันว่า สิ่ง หรือแปลรวมๆว่า ที่
เช่น ตัณหาเกิดขึ้นในปิยะรูปสาตะรูป ก็แปลกันว่าเกิดใน ที่ เป็นที่รักใน ที่
เป็น ที่ ชอบใจสำราญใจ เอาคำว่า ที่ มาใช้
หรืออาจจะแปลว่า สิ่ง ปิยะรูปสิ่งเป็นที่รัก สาตะรูปสิ่งเป็นที่ชอบใจสำราญใจ
ฉะนั้น จึงต้องทำความเข้าใจถ้อยคำดั่งนี้ คือใช้คำว่า รูป ก็จริง
ว่าปิยะรูปสาตะรูปก็จริง แต่ก็มิใช่หมายความว่าจำเพาะรูปที่เป็นวัตถุซึ่งใช้ในที่ทั้งปวง
แต่หมายถึงทั้งรูปทั้งเสียงทั้งกลิ่นทั้งรสทั้งโผฏฐัพพะทั้งธรรมะคือเรื่องราว
และทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ทั้งสัมผัส ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา
ทั้งสัญเจตนา ทั้งตัณหาเอง และทั้งวิตก ทั้งวิจารเป็นรูปหมด
เป็นปิยะรูปสาตะรูปหมด คือเป็นที่ตั้งนั้นเอง อันเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจสำราญใจ
ซึ่งตัณหาเกิดขึ้นตั้งอยู่ในปิยะรูปและสาตะรูปทั้งปวงนี้ จึงเป็นทุกขสมุทัยขึ้น
ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งความสงบสืบต่อไป
๗
ทุกขนิโรธความดับทุกข์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ที่เกิดของตัณหา ที่ดับของตัณหา ๓
ขันธ์ ๕ นามรูป ๔
นิพพานคือความสงบของใจ ๖
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๘๔/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๘๕/๑ ( File Tape 143 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
ทุกขนิโรธความดับทุกข์
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงอริยสัจจ์คือทุกข์ อริยสัจจ์คือทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์มาโดยลำดับ
จึงถึงอริยสัจจ์คือทุกขนิโรธความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ตัณหา
คือความดิ้นรนทะยานอยาก ว่าเป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
และได้ทรงชี้ความดับตัณหานั้นนั่นแหละ ว่าเป็นทุกขนิโรธความดับทุกข์
เพราะฉะนั้น กล่าวสั้น ความดับตัณหาเสียได้นั้นเองเป็นทุกขนิโรธความดับทุกข์
แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระผู้รู้ผู้เห็นผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนได้ตรัสจำแนกแจกแจง
แม้ในข้อทุกขนิโรธความดับทุกข์นี้ไว้เพื่อให้ผู้ฟังไตร่ตรอง
เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามได้ คือปฏิบัติดับทุกข์ได้
โดยพระบาลีที่แปลความว่า อเสสะ วิราคะ นิโรโธ
ความดับโดยความสำรอกอย่างไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละ
จาโค ความสละหรือความละตัณหานั้นนั่นแหละ
๒
ปฏินิสสัคโค ความสละคืนตัณหานั้นนั่นแหละ มุติ ความปล่อยหรือพ้นตัณหานั้นนั่นแหละ
( เริ่ม ๑๘๕/๑ ) อนาลโย ความไม่เกี่ยวข้องพัวพันอาลัยตัณหานั้นนั่นแหละ
นี้คือทุกขนิโรธความดับทุกข์
ที่เกิดของตัณหา ที่ดับของตัณหา
และได้ตรัสที่เกิดของตัณหาไว้ในทุกขสมุทัยอย่างใด
ก็ตรัสที่ดับแห่งตัณหาไว้ในทุกขนิโรธความดับทุกข์นี้อย่างนั้นเหมือนกัน
เข้าทำนองว่าตัณหาเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น และก็ได้ตรัสไว้โดยจำแนกแจกแจง
โดยตั้งเป็นคำถามขึ้นว่าตัณหาดับที่ไหน แล้วก็ตรัสยกเอาปิยะรูปสาตะรูปขึ้นแสดงว่า
ปิยะรูป รูปเป็นที่รัก สาตะรูป รูปเป็นที่สำราญชอบใจใดในโลก
ตัณหานั้นย่อมละได้ ย่อมดับในปิยะรูปสาตะรูปนั้น
ก่อนอื่นก็พึงเข้าใจว่า คำว่า ปิยะรูป สาตะรูป
นี้ไม่ได้หมายถึงจำเพาะรูปเท่านั้น แต่หมายถึงทั้งรูป ทั้งนาม
หรือกล่าวรวมว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นที่รักใคร่เป็นที่ชอบใจ
เรียกว่าปิยะรูปสาตะรูปทั้งนั้น
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง หากจะยกเอาตัณหาอุปาทานขึ้นมาอ้างก็ได้
ว่าสิ่งใด จะเป็นรูปก็ตาม เป็นนามข้อไหนก็ตาม เป็นที่ตั้งของตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก อุปาทานความยึดถือ ว่าเป็นตัวเราของเรา
รูปนามนั้นๆ สิ่งนั้นๆ เรียกว่าเป็นปิยะรูปสาตะรูปทั้งหมด
เพราะฉะนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะขึ้นชื่อว่าปิยะรูปสาตะรูป
ก็ต้องเป็นที่ตั้งของตัณหาอุปาทานดังกล่าว
หากว่าไม่มีตัณหาอุปาทานตั้งอยู่แล้ว สิ่งนั้นๆก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งนั้นๆ
เช่นเป็นนามเป็นรูปเท่านั้น
๓
พระอรหันต์ทั้งหลายละตัณหาอุปาทานได้หมดไม่มีเหลือ
เพราะฉะนั้นเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านก็ต้องมีรูปมีนามซึ่งเป็นอาการของจิตใจอยู่ทุกอย่าง
แต่ว่านามรูปนั้นไม่เป็นปิยะรูปสาตะรูปของท่าน สักแต่ว่าเป็นนามเป็นรูป เป็นวิบากขันธ์
คือเป็นขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นวิบากคือผลของกิเลสกรรมเก่าเท่านั้น
แต่ว่าสามัญชนทั่วไปยังมีตัณหาอุปาทาน
เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ หรือนามรูปของสามัญชนทั่วไปจึงยังเป็นปิยะรูปสาตะรูป
เพราะตัณหาอุปาทานนั้นเองสร้างความเป็นปิยะรูปสาตะรูป
คือสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจชอบใจขึ้นมา
ฉะนั้น แม้ในข้อทุกขนิโรธความดับทุกข์นี้ ก็ตรัสยกเอาปิยะรูปสาตะรูปขึ้น
ตรัสว่าเป็นที่ดับของตัณหา เช่นเดียวกับเป็นที่เกิดของตัณหา
ซึ่งกล่าวรวมกันได้ว่า ตัณหาเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น หรือเกิดในที่ใดก็ดับในที่นั้น
และปิยะรูปสาตะรูปที่ตรัสแสดง แม้ในหมวดทุกขนิโรธนี้ก็ตรัสจำแนกแจกแจงไว้
เช่นเดียวกับในหมวดทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ที่ได้แสดงแล้ว
คือจำแนกออกไปเป็นอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ ตัณหา ๖
วิตก วิตักกะหรือวิตก ๖ วิจาระ หรือวิจาร ๖ ดั่งนี้
ขันธ์ ๕ นามรูป
และก็มีอธิบายถึงความสัมพันธ์กันของหมวด ๖ เหล่านี้ไว้เช่นเดียวกัน
เพราะว่าหมวด ๖ ทั้งปวงเหล่านี้ เมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นขันธ์ ๕ นั้นเอง
หรือเป็นนามรูปนั้นเอง ดังที่จะได้กล่าวสรุปเข้าในขันธ์ ๕ ได้ว่า
อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ จัดเข้าในรูปขันธ์กองรูป
แม้ว่าในหมวดอายตนะนี้ข้อที่ ๖ จะมีมโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวซึ่งเป็นนามธรรม
แต่ก็เป็นนามธรรมที่แนบแน่นอยู่กับ ๕ ข้อข้างต้น บังเกิดเป็นไปด้วยกันอยู่เป็นประจำ
๔
วิญญาณ ๖ ก็สงเคราะห์เข้าในหมวดวิญญาณ
วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นขันธ์ข้อที่ ๕ สัมผัส ๖ เติมเข้ามาจากขันธ์ ๕
แต่ก็สงเคราะห์เข้าได้ในระหว่างของวิญญาณและเวทนานั้นเอง
เวทนา ๖ ก็สงเคราะห์เข้าในหมวดเวทนาขันธ์
สัญญา๖ ก็สงเคราะห์เข้าในหมวดสัญญาขันธ์
สัญเจตนา ๖ ตัณหา ๖ วิตักกะคือ วิตก ๖ วิจาระคือ วิจาร ๖
ก็สงเคราะห์เข้าในสังขารขันธ์กองสังขาร คือความคิดปรุงหรือปรุงคิดทางใจนั้นเอง
และตามนัยยะที่สงเคราะห์นี้ก็จะพึงเห็นได้ว่า
แม้ตัวตัณหาเองก็สงเคราะห์เข้าในสังขารขันธ์เหมือนกัน
เพราะเป็นความคิดปรุง หรือความปรุงคิด
ก็เป็นอันว่าตัณหาเกิดขึ้นที่ตัณหา ตัณหาก็ดับไปที่ตัณหาได้เช่นเดียวกัน
คือเมื่อปรุงขึ้นมาก็เป็นตัณหา เมื่อดับปรุงเสียก็เป็นการดับตัณหา
จึงเท่ากับว่าตัณหาเกิดที่ตัณหา ดับก็ดับที่ตัณหาได้ เช่นเดียวกับข้ออื่น
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้จึงสงเคราะห์เข้าในขันธ์อันเป็นที่ยึดถือ
ทั้ง ๕ นี้นี่แหละ เป็นปิยะรูปสาตะรูปทั้งหมด
ตัณหาก็ดับได้ละได้ที่ปิยะรูปสาตะรูปดังที่ตรัสแสดงไว้นี้
ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นที่ขันธ์ ๕ แล้วก็ดับไปที่ขันธ์ ๕ นั้นเอง
และเมื่อย่อขันธ์ ๕ เข้าเป็นนามรูป คือรูปก็เป็นรูป นอกนั้นก็เป็นนาม
ก็กล่าวสั้นๆได้ว่าตัณหาเกิดขึ้นที่นามรูปดังที่ได้ตรัสไว้ในข้อสมุทัย
และก็ดับไปที่นามรูปดังที่ตรัสไว้ในข้อทุกขนิโรธนี้
และเมื่อรวมให้สั้นเข้ามาอีก ก็กล่าวได้ว่าตัณหาเกิดขึ้นที่จิตใจ ดับไปที่จิตใจนี้เอง
เพราะฉะนั้น จึงได้มีพุทธศาสนสุภาษิตแสดงไว้ว่า
วิสุทธิ สัพพัคเล เสหิ ความบริสุทธิ์แห่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งสิ้น
๕
โหติ ทุกเข หินิพุติ เป็นความดับจากทุกข์ทั้งสิ้น
เจตโส โหติสาน สันติ ข้อนั้นเป็นสันติคือความสงบของใจ
นิพพานะมิติ วุจจะติ เรียกว่านิพพานดั่งนี้
นิพพานคือความสงบของใจ
ฉะนั้นกล่าวสั้นเข้ามาที่สุด ก็กล่าวได้ว่านิพพานนั้นก็คือสันติความสงบของใจนี้เอง
ใจสงบได้ คือว่าบริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวงมีตัณหาเป็นต้น ดับทุกข์ทั้งปวง
นี่แหละเป็นตัวสันติคือความสงบของใจ ที่เรียกว่านิพพาน ดั่งนี้
ฉะนั้น ย่อเข้ามาที่สุดแล้วจึงอยู่ที่จิตใจนี้เอง จิตใจนี้ไม่สงบ เพราะกิเลสทั้งหลาย
เพราะทุกข์ทั้งหลาย ก็เป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
เมื่อกิเลสทั้งหลายสงบไปจากจิตใจได้ ทุกข์ทั้งหลายสงบไปจากจิตใจได้
เป็นจิตที่สงบ ก็เป็นนิพพานขึ้นในจิตใจนี้เอง
ฉะนั้น การปฏิบัติที่เป็น อุชุปฏิปัติ ปฏิบัติตรง
จึงตรงเข้ามาที่จิตใจนี้แหละทั้งหมด แม้ในฝ่ายก่อกิเลสก่อทุกข์ คือตัณหา
อันเป็นตัวทุกขสมุทัยนั้น ก็ก่อขึ้นที่จิตใจ และเมื่อดับเป็นทุกขนิโรธ ก็ดับที่จิตใจนี้เอง
จิตใจนี้เองจึงเป็นที่ย่อที่สุดของปิยะรูปสาตะรูปทั้งหมด เป็นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ของตัณหา
เป็นที่ละไปดับไปของตัณหา
ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*