ถอดเทปพระธรรมเทศนา
- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 18 ธันวาคม 2555 12:35
- เขียนโดย Astro Neemo
เทป130
อานาปานสติ ๔ ชั้นในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๑ ๓
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๒ ๔
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔ ๕
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ดีเยี่ยม
ม้วนที่ ๑๖๙/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๗๐/๑ ( File Tape 130 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
อานาปานสติ ๔ ชั้นในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตั้งสติพิจารณากายเวทนาจิตธรรม
ตามพระพุทธภาษิตที่ได้ตรัสยกอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
นับตั้งแต่ชั้นกายขึ้นไปโดยลำดับ ติดต่อเนื่องกัน
เป็นชั้นกายานุปัสสนา ๔ ชั้น สืบต่อเวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น
วันนี้จะต่อชั้นจิตตานุปัสสนา
แต่จะแสดงอนุสนธิคือความสืบเนื่องจากชั้นเวทนาว่า
ในชั้น ๔ ของเวทนานุปัสสนานั้น ตรัสสอนให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักระงับจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจเข้าหายใจออก
ซึ่งมีอธิบายว่าจิตตสังขารนั้นได้แก่ สัญญา เวทนา ชื่อว่าจิตตสังขาร
เพราะเป็นเครื่องปรุงจิต ให้ยินดีก็ได้ ให้ยินร้ายก็ได้ ให้หลงสยบติดอยู่ก็ได้
๒
เพราะฉะนั้น ในข้อเวทนาเอง ซึ่งเมื่อปฏิบัติสืบเนื่องขึ้นมาจากชั้นกาย
ก็ย่อมจะได้ปีติได้สุขซึ่งเป็นสุขเวทนา ปรกติย่อมจะปรุงใจให้ยินดี คือให้มีราคะติดอยู่ในสุข
จึงได้ตรัสสอนในขั้นเวทนา ว่าให้ศึกษาทำความรู้จักสุขเวทนาที่ได้นั้น
ว่าเป็นจิตตสังขารเครื่องปรุงจิตให้ติด เป็นการปฏิบัติในขั้น ๓ ของเวทนานุปัสสนา
และในขั้น ๔ ก็ให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าจักสงบระงับจิตตสังขาร
คือระงับสัญญาเวทนา ไม่ให้ปรุงจิตให้ติด นับเป็นขั้นที่ ๔ ของเวทนานุปัสสนา
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๑
และเมื่อได้ขั้นที่สุด คือขั้นที่ ๔ ของเวทนานุปัสสนาดั่งนี้แล้ว
ก็ให้ปฏิบัติสืบต่อขึ้นมาในขั้นจิตตานุปัสสนา อันเป็นสติปัฏฐานข้อที่ ๓
คือให้ศึกษาสำเหนียกกำหนด ว่าเราจักรู้ทั่วจิตหายใจเข้า เราจักรู้ทั่วจิตหายใจออก
อันนับเป็นจิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๑
และก็พึงทราบว่าจิตที่ตรัสสอนให้ทำความรู้ทั่วนี้
เป็นจิตที่ไม่มีจิตตสังขารคือเครื่องปรุงจิตแล้ว จึงเป็นจิตที่สงบรำงับ
จากราคะคือความติดใจยินดีในสุข หรือจากปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งไม่ยินดีในทุกข์
ที่เรียกกันง่ายๆว่าความยินดีความยินร้าย เป็นจิตที่สงบจากความยินดีจากความยินร้าย
จะกล่าวว่าเป็นจิตที่ตั้งอยู่ในอุเบกขาก็ได้ คือเป็นกลาง ไม่ยินดีติดอยู่ในสุขเวทนา
ไม่ยินร้ายในทุกขเวทนาที่ตรงกันข้าม
แต่ว่าในที่นี้น่าจะในสุขเวทนา
คือในขั้นจิตตานุปัสสนานี้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะย่อมได้ปีติได้สุขดังกล่าว
จึงเป็นจิตที่สงบจากทุกขเวทนามาในขั้นนั้นแล้ว ปรากฏปีติสุข
แต่ว่าเมื่อรำงับจิตตสังขาร คือไม่ให้ปีติสุขนี้มาปรุงจิตให้ยินดีติดอยู่ได้แล้ว
ก็เป็นจิตที่เป็นกลางๆ ไม่ปรากฏราคะคือความติดอยู่ในสุข ก็ให้ทำความกำหนดรู้จักจิตดั่งนี้
๓
พร้อมกับทำความกำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
ว่าจิตเป็นดั่งนี้หายใจเข้า จิตเป็นดั่งนี้หายใจออก
อันนับว่าเป็นจิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๑
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๒
เมื่อกำหนดให้รู้จักจิตที่ไม่มีสุขปรุงจิตให้ยินดีติดอยู่ดั่งนี้ หายใจเข้าหายใจออก แล้ว
ก็ตรัสสอนให้ปฏิบัติต่อ เป็นขั้นที่ ๒ ต่อไป คือให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักทำจิตให้บังเทิงยิ่งขึ้นหายใจเข้า เราจักทำจิตให้บังเทิงยิ่งขึ้นหายใจออก
คือแม้จะไม่ให้สุขเวทนามาปรุงจิตให้ติดในสุข แต่ก็ต้องการที่จะทำจิตให้บังเทิง
อาการจิตที่บันเทิงนี้ ก็ตรงกันข้ามกับจิตที่ห่อเหี่ยว เศร้า ระทม หรือแห้งใจ
ต้องไม่ให้จิตแห้งเศร้า แต่ให้จิตบันเทิง ก็นับว่าเป็นอาการของความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ความบันเทิงดั่งนี้ เป็นความต้องการของการปฏิบัติทำสมาธิ
ถ้าหากว่าจิตมีความบันเทิงในสมาธิ ก็ย่อมจะทำให้ปฏิบัติในสมาธิได้
ถ้าจิตไม่บันเทิงในสมาธิ ก็ยากที่จะทำสมาธิได้ หรือทำไม่ได้
จึงต้องรักษาจิตไว้ให้บันเทิงอยู่เสมอในสมาธิ
และการที่ไม่ให้สุขเวทนาปรุงจิตให้ติดอยู่ในสุขนั้น
อาจจะทำให้เกิดความแห้งแล้งขึ้นในจิตได้ ทำให้จิตหมดความบันเทิงได้
ต้องไม่ให้เป็นอย่างนั้น คือต้องให้จิตมีความบันเทิง
แต่ไม่ยอมให้ความบันเทิงซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่งของจิต มาทำจิตให้ติดอยู่ในสุขบันเทิง
เพียงแต่อาศัยความบันเทิงสำหรับให้เป็นที่ตั้งของสมาธิ
จึงต้องมีการศึกษาสำเหนียกกำหนดปฏิบัติทำจิตให้บันเทิงยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งกำหนดรู้ ว่าหายใจเข้า ว่าหายใจออก พร้อมกับทั้งว่าจิตบันเทิงยิ่งขึ้น
ซึ่งคำว่ายิ่งขึ้นในที่นี้มีความหมายว่าต่อเนื่องกันไปก็ได้ คือต่อไปข้างหน้า คือยิ่งๆขึ้น
๔
คือหมายความว่าสืบต่อไป ไม่ให้ขาดหายก็ได้ หมายความว่ามากขึ้นก็ได้
อันนับว่าเป็นจิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๒
จิตตานุปัสสนาขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔
และเมื่อปฏิบัติได้ขั้นที่ ๒ ดั่งนี้แล้ว
ก็ตรัสสอนให้ปฏิบัติในขั้นที่ ๓ ต่อไปว่า ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักตั้งจิตให้เป็นสมาธิหายใจเข้า เราจักตั้งจิตให้เป็นสมาธิหายใจออก
คือให้ปฏิบัติรักษาสมาธิจิตสืบต่อไป ยิ่งขึ้นไป
ถ้าไม่เช่นนั้นจิตก็จะออกจากสมาธิ อานาปานสติที่ปฏิบัติก็จะสะดุดหยุดลง
จึ่งต้องปฏิบัติรักษาสมาธิจิต ที่มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นอารมณ์สืบต่อไป
ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษา คือจะต้องปฏิบัติให้เป็นดั่งนี้ ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้
คือให้จิตเป็นสมาธิหายใจเข้า ให้จิตเป็นสมาธิหายใจออก
ให้จิตกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี่แหละ เป็นที่ตั้งของสมาธิ
และให้ตัวสมาธินี่ตั้งอยู่ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เท่านั้น
เมื่อเป็นดั่งนี้ สมาธิจิต พร้อมทั้งอานาปานสติ ก็รวมกัน ดำเนินไปด้วยกัน ไม่สะดุดหยุดลง
คือมุ่งให้สมาธิจิตนี้บังเกิดขึ้นสืบต่อ พร้อมกับอานาปานสติไปด้วยกัน ควบคู่กันไป
เพราะสมาธินั้น ก็สมาธิอยู่ในลมหายใจเข้าออก อันประกอบด้วยสติที่กำหนด
และจิตก็ตั้งมั่น ไม่ว่อกแว่ก สั่นคลอน
เมื่อปฏิบัติได้ถึงขั้นนี้ก็ชื่อว่า เป็นการปฏิบัติในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่ ๓
เมื่อได้ขั้นที่ ๓ ดั่งนี้ ก็ตรัสสอนให้ปฏิบัติในขั้นที่ ๔ ต่อไป
คือให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า เราจักเปลื้องจิตหายใจออก
คือต้องมีสติระมัดระวังสมาธิจิต พร้อมทั้งอานาปานสติที่ได้มาโดยลำดับ
ให้ดำรงอยู่สืบต่อไปด้วย
๕
เพราะว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย รักษายากห้ามยาก
จึงอาจจะเผลอ จึงบังเกิดเป็นกิเลสโผล่เข้ามาได้
เพราะฉะนั้น จึงได้มีอธิบายว่าจะต้องคอยระมัดระวัง
คอยเปลื้องจิตจากอะไรบ้าง ที่ท่านสอนเอาไว้ ก็ยกเอาบรรดากิเลสทั้งหลาย
หลายข้อ ขึ้นมา ( เริ่ม ๑๗๐/๑ ) คือให้คอยเปลื้องจิตจากราคะความติดใจยินดี
จากโทสะความกระทบกระทั่ง ขัดเคือง ไม่พอใจ
จากโมหะความหลง ไม่รู้จริง อันเป็นเหตุให้ถือเอาผิด
จากมานะความสำคัญตน เช่นความสำคัญตนว่าเราได้แล้วถึงแล้วเป็นต้น
จากทิฏฐิคือความเห็นที่ผิดไม่ถูกต้องต่างๆ จากวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัย
จากถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม จากอุทธัจจะความฟุ้งซ่าน
จากอหิริคือความไม่ละอายใจต่อความชั่ว จากอโนตัปปะคือความไม่เกรงกลัวต่อความชั่ว
เพราะอาจจะมีกิเลสเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งโผล่ขึ้นมา เพราะความเผลอสติ
หรือความที่สมาธิหลุด อันเนื่องมาจากเผลอสติ
เผลอสติเมื่อใดสมาธิก็หลุดเมื่อนั้น และเมื่อสมาธิหลุดเมื่อใดฟุ้งเมื่อใด
สติก็ย่อมเสียเมื่อนั้นเหมือนกัน ซึ่งอาจมีได้ เพราะจิตนี้ดิ้นรนกวัดแกว่งไปได้เร็วมาก
จึงอาจจะมีกิเลสเหล่านี้โผล่ขึ้นมาในจิตเป็นครั้งคราว
ฉะนั้น ก็ต้องรีบมีสติรู้โดยเร็วและเปลื้องจิตออกเสีย จากข้อใดข้อหนึ่งทุกข้อเช่นที่กล่าวมา
หรือแม้ข้ออื่นที่ไม่ได้กล่าวมา
เพราะกิเลสนั้นมีลักษณะมากมาย
ดังที่แสดงไว้ในหมวดอุปกิเลส ๑๖ และที่แสดงไว้ถึง ๑๗ ข้อก็มี
ไม่ว่าข้อใดจะโผล่ขึ้นมาก็ต้องเปลื้องจิตออกไปเสีย หรือเปลื้องกิเลสออกไปเสียจากจิต
ไม่ให้ตั้งอยู่ในจิตได้ เพราะถ้ากิเลสข้อใดข้อหนึ่งตั้งอยู่ในจิตได้
ก็เสียอานาปานสติ เสียสมาธิในลมหายใจเข้าออก
๖
เพราะสติกับสมาธินั้นจะอยู่กับกิเลสไม่ได้ กิเลสก็อยู่กับสติสมาธิไม่ได้
ต้องรีบตั้งสติตั้งสมาธิขึ้นมา กิเลสก็จะสงบระงับลงไป ก็จะถูกเปลื้องออกไป
เพราะทั้งสองอย่างนี้จะไม่ตั้งขึ้นพร้อมๆกัน เมื่อกิเลสตั้งขึ้นได้ สมาธิกับสติก็หาย
และเมื่อกิเลสหาย สติกับสมาธินี้ก็ตั้งขึ้นมาได้
จึงต้องมีสติที่จะคอยเปลื้องจิตออกจากกิเลสทั้งปวงอยู่ตลอดเวลา ให้จิตปลอดกิเลส
และเมื่อจิตปลอดกิเลสแล้ว อานาปานสติสมาธิก็กลับมาตั้งอยู่เต็มจิต
ให้อานาปานสติสมาธิตั้งอยู่เต็มจิต จึงจะชื่อว่าเปลื้องจิตได้
เมื่อปฏิบัติได้ในขั้นนี้ ก็ชื่อว่าปฏิบัติได้ในขั้นจิตตานุปัสสนาครบทั้ง ๔
รวมความว่าในขั้นจิตตานุปัสสนานี้ก็มี ๔ ชั้นหรือ ๔ ขั้น
ตรัสสอนให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้ทั่วถึงจิต หายใจเข้าหายใจออก
ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักทำจิตให้บังเทิงยิ่งขึ้น หายใจเข้าหายใจออก
ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ หายใจเข้าหายใจออก
ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า เราจักศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักเปลื้องจิต
หายใจเข้าหายใจออก
และเมื่อถึงขั้นนี้ จิตนี้ก็มีอานาปานสติสมาธิตั้งอยู่เต็มจิต
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า พระองค์ไม่ตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแก่ผู้ที่มีสติหลงลืม
กลับความก็คือว่า ตรัสว่าบุคคลผู้มีสติไม่หลงลืมย่อมได้จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ก็คือว่ามีอานาปานสติสมาธิตั้งอยู่เต็มจิตนั้นเอง
เพราะว่าเปลื้องจิตจากกิเลสทั้งหลายได้ อานาปานสติสมาธิจึงตั้งอยู่เต็มจิต
เป็นอันได้จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ ขั้น หรือ ๔ ชั้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
อานาปานสติ ๔ ชั้นในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๑ ๓
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๒ ๖
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔ ๗
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ดีเยี่ยม
ม้วนที่ ๑๗๐/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๗๐/๒ ( File Tape 130 )
อณิศร โพธิทองคำ
บรรณาธิการ
๑
อานาปานสติ ๔ ชั้นในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงสติปัฏฐาน ๔ ตามพระพุทธภาษิต
ที่ตรัสยกเอาอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นที่ตั้ง
และก็กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นขั้น กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา
มาขั้นละ ๔ ชั้น และในชั้นในขั้นจิตตานุปัสสนาก็ได้มาถึงชั้น
ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้าหายใจออก
อันเป็นชั้นที่ ๔ ของจิตตานุปัสสนา
เมื่อมาถึงชั้นนี้ขั้นนี้ จิตก็จักได้อานาปานสติสมาธิเต็มจิต
เป็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยอานาปานสติสมาธิ
เป็นอันว่ามาถึงขั้นสมาธิ หรือจิตตสิกขาที่ถึงพร้อม หรือสมบูรณ์
จิตในชั้นนี้จึงเป็นจิตที่สะอาด ตั้งมั่น ควรแก่การงาน
๒
การงานของจิตที่ปฏิบัติมาแล้ว ก็คือขั้นศีล และขั้นสมาธิ
หรือสีลสิกขา จิตตสิกขา เป็นจิตที่ควรแก่ศีล แก่จิตหรือสมาธิ
หรือว่าจิตตสมาธิมาโดยลำดับ อันเป็นขั้นสมถกรรมฐาน
จึงถึงวาระที่จะเลื่อนจิตขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน
และเลื่อน อนุปัสสนา ดั่งที่ใช้ในคำว่า กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา
มาขึ้นเป็นธรรมานุปัสสนา เพื่อวิปัสสนา คือเห็นแจ้งรู้จริงสืบต่อไป
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๑
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้น้อมจิต
ที่บริสุทธิ์สะอาดควรแก่การงานนี้ ขึ้นสู่ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
โดยตรัสสอนให้ศึกษา คือให้จิตนี้เองศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักตามดูอนิจจะคือไม่เที่ยง หายใจเข้าหายใจออก อันเรียกว่าอนิจจานุปัสสนา
คือให้จิตนี้เองศึกษาสำเหนียกกำหนด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็น อุปาทานขันธ์ คือขันธ์เป็นที่ยึดถือว่าตัวเราของเราทั้ง ๕ ประการนี้ ว่าไม่เที่ยง
ไม่เที่ยงอย่างไร คือมีเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา
จึงจับพิจารณาว่า
รูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ สัญญาอย่างนี้ สังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้
ความเกิดขึ้นของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้
ความดับไปของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้
คือจับดูที่จิตนี้เอง ดูรูปที่เป็นกายส่วนใหญ่ อันประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม
และดูส่วนที่เป็นสิ่งอาศัย ดังเช่นจักขุประสาท โสตะประสาท ฆานะประสาท
ชิวหาประสาท กายประสาท
และโคจรคืออารมณ์ของประสาททั้ง ๕ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
๓
และกำหนดให้รู้จักว่าเป็นอายตนะภายใน อายตนะภายนอก
เมื่อเป็นอายตนะดั่งนี้ ก็เพิ่มมโนคือใจ กับธรรมะคือเรื่องราว
และโดยเฉพาะอายตนะ ๕ ข้อข้างต้นนั้น
ทั้งภายในทั้งภายนอก ก็เป็น รูป ส่วนที่เรียกว่า รูปอาศัย
ส่วนที่เป็นธาตุดินน้ำไฟลมอากาศด้วยส่วนรวม ก็เป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมีคำเรียกส่วนใหญ่ว่า มหาภูตรูป
และเรียกส่วนที่อาศัยคือที่เป็นประสาทเป็นอายตนะว่าเป็น อุปาทายรูป
ดูให้รู้จักว่าอย่างนี้คือ รูป
ความเกิดขึ้นของรูปอย่างนี้ ก็คือความเกิดขึ้นของรูป
ทั้งมหาภูตรูป ทั้งอุปาทายรูป ก็มีชาติความเกิดเป็นเบื้องต้น
และมีชราแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ จนถึงมรณะคือแตกสลายในที่สุด
และกายนี้ทั้งที่เป็นส่วน มหาภูตรูป อุปาทายรูป ก็เป็นที่อาศัยของจิต
ซึ่งจิตนี้เองก็น้อมออกรู้อารมณ์คือเรื่องทั้งหลาย ทางอายตนะภายในทั้ง ๖
อันเรียกว่าทวารทั้ง ๖ และก็เรียกอายตนะภายนอกทั้ง ๖ ว่าอารมณ์คู่กับทวาร
ซึ่งทวารทั้ง ๖ คือทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ
ก็รับอารมณ์ทั้ง ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมะคือเรื่องราว
จิตนี้ก็น้อมออกรู้อารมณ์คือเรื่อง
ความน้อมของจิตอันนี้เองเรียกว่า นาม
ก็น้อมออกรู้ รูปทางทวารตา เสียงทางทวารหู กลิ่นทางทวารจมูก
รสทางทวารลิ้น สิ่งถูกต้องทางทวารกาย ธรรมะคือเรื่องราวทางทวารใจ
ความรู้ครั้งแรกของจิตเรียกว่า วิญญาณ ซึ่งได้แก่รู้รูปก็คือเห็นรูป
รู้เสียงก็คือได้ยินเสียง รู้กลิ่นก็คือทราบกลิ่น รู้รสก็คือทราบรส
รู้โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง ก็คือทราบโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้อง
๔
รู้ธรรมะคือเรื่องราวก็คือรู้คิดเรื่องราว
เหล่านี้เป็นวิญญาณ ก็รู้ว่าวิญญาณเกิดขึ้นอย่างนี้
และเมื่อเป็นวิญญาณ จิตนี้ก็รู้ที่เป็นสัมผัสคือความกระทบ
ก็ได้แก่เรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะเรื่องราวนั้น ก็มากระทบจิต
จิตก็รู้ความกระทบ เรียกว่าสัมผัส
ซึ่งสัมผัสนี้ไม่ได้มีแสดงไว้ในขันธ์ ๕
แต่ว่ามีแสดงไว้ในทางเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ โดยลำดับดังกล่าว
แล้วจึงเป็นเวทนา รู้สุขรู้ทุกข์รู้เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข
แล้วจึงเป็นสัญญารู้จำ จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธรรมะเรื่องราว
( เริ่ม ๑๗๐/๒ ) แล้วจึงเป็นสังขารคือปรุงคิดหรือคิดปรุง
ก็คิดปรุงรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะเรื่องราวเหล่านั้นนั่นแหละ
ปรุงดีก็เป็นกุศล ปรุงไม่ดีก็เป็นอกุศล ปรุงเป็นกลางๆก็เป็นอัพยากฤต
คือเป็นกลางๆ ไม่ว่ากุศล ไม่ว่าอกุศล
และเมื่อเป็นสังขาร คือเมื่อคิดปรุงหรือปรุงคิดไป ก็รู้ไปด้วย
ก็เป็นวิญญาญขึ้นมาอีก
ความเกิดขึ้นของรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็อย่างนี้
และความเกิดขึ้นดังกล่าวนี้ก็เกิดขึ้นในอารมณ์อันหนึ่ง
เมื่ออารมณ์อันหนึ่งนั้นเกิดขึ้นมาจนถึงที่สุด ก็ดับไป
ก็รับอารมณ์ที่สอง ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ที่สอง แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น เมื่อจับเอาปัจจุบันธรรมขึ้นมาพิจารณาดั่งนี้
ก็จะมองเห็นว่ารูป คือรวมหมดที่เป็นอาตนะภายนอก เมื่อมาประจวบกับอายตนะภายใน
อายตนะภายนอกก็เป็นอารมณ์ อายตนะภายในก็เป็นทวาร
อันหนึ่งๆ ก็เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นผ่านไปโดยลำดับก็เป็นวิญญาณ
เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แล้วเป็นวิญญาณขึ้นอีก แล้วก็ดับ
๕
เป็นอย่างนี้ทุกอารมณ์ ซึ่งอารมณ์อันหนึ่งๆ เป็นขณะจิตอันหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ อย่างละเอียดนี้ จึงเกิดดับอยู่ทุกขณะจิต
แต่อาศัยมีสันตติคือความสืบต่อ คือเมื่ออารมณ์ที่ ๑ เกิดขึ้นดับไป อารมณ์ที่ ๒ ก็เกิดต่อ
อารมณ์ที่ ๒ เกิดขึ้นดับไป อารมณ์ที่ ๓ ก็เกิดต่อ เป็นไปโดยรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง มีความเกิดดับเป็นธรรมดา
เมื่อกำหนดพิจารณาดั่งนี้ ให้ตามดูตามรู้ตามเห็นเกิดดับของขันธ์ ๕
ในระยะยาว หรือว่าในระยะสั้น คือในปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรม
ก็ย่อมจะได้ปัญญาที่เห็นแจ้ง อันเรียกว่าวิปัสสนา ในอนิจจลักขณะ
คือลักษณะที่เป็นเครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยงดังกล่าว
เป็นอันว่าทำให้ๆเห็นความไม่เที่ยง จึงศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักตามดูตามรู้ตามเห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง หายใจเข้าหายใจออก
และเมื่อได้เห็นอนิจลักขณะ อนิจจตาความไม่เที่ยงก็ปรากฏ
ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติในชั้นที่ ๑ นี้
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๒
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนในชั้นที่ ๒ ต่อไปให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่า
เราจักตามดูตามรู้ตามเห็นวิราคะ คือความสิ้นติดใจยินดี หายใจเข้าหายใจออก
วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีนี้ ย่อมบังเกิดขึ้นเองในเมื่อได้อนิจจานุปัสสนาดังกล่าวในชั้นที่ ๑
เพราะฉะนั้น จึงให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดดูให้รู้จักวิราคะที่บังเกิดขึ้นในจิต
คือความสิ้นติดใจยินดี อันเรียกว่าวิราคานุปัสสนา
สิ้นติดใจยินดีในอะไร
ก็คือในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ นั้นเอง
๖
ก่อนแต่ได้ชั้นที่ ๑ คืออนิจจานุปัสสนา จิตนี้ย่อมจะยังมีราคะ
คือความติดใจยินดีอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่เมื่อจิตได้อนิจจานุปัสสนา คือตามดูตามรู้ตามเห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง อันเป็นตัวสตินำ
ได้ปัญญาเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีก็บังเกิดขึ้นเอง
ที่เคยติดใจยินดีอยู่ก็จะสิ้นไป เป็นวิราคะคือความสิ้นติดใจยินดี
ก็ให้กำหนดดูให้รู้จักวิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีนี้ให้เด่นชัดขึ้นในจิต
หายใจเข้าหายใจออก อันเป็นชั้นที่ ๒
ธรรมานุปัสสนาขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔
และเมื่อได้ชั้นที่ ๒ นี้ ย่อมจะได้นิโรธะคือความดับ
ดับอะไร ก็คือว่าดับความเพลิดเพลิน
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสชั้นที่ ๓ ต่อไปว่า ให้ศึกษาสำเหนียกกำหนดดู
ตามดูตามรู้ตามเห็นนิโรธคือความดับ ดับความเพลิน หายใจเข้าหายใจออก
ดับความเพลิดเพลินใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พร้อมทั้งดับอุปาทานคือความยึดถือ
และเมื่อได้ความดับก็ย่อมจะได้ความสละคืน
ความสละคืนนั้นโดยตรงก็คือ สละคืนความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
เหมือนอย่างขอยืมของๆเขามา เอามายึดถือว่าเป็นของเรา
แต่ครั้นเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของขอยืมเขามา ก็ส่งคืนเขาไป
ยึดถือสิ่งใดไว้ก็ส่งคืนสิ่งนั้น
ยึดถือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณว่าเป็นตัวเราของเรา
ก็ส่งคืนรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนั้นแก่ธรรมชาติธรรมดา
เพราะว่าเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของเรา
๗
แต่จิตนี้เองไปยึดถือ หรือบุคคลนี้เองไปยึดถือ ว่าเป็นตัวเราของเรา
เพราะฉะนั้น เมื่อสละความยึดถือได้ก็เหมือนอย่างส่งคืนสิ่งที่ยึดถือนั้นไปแก่ธรรมดา
ไม่ยึดเข้ามาว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
ท่านอธิบายถึงการสละคืนนี้ว่ามีลักษณะ ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งคือสละบริจาค อย่างหนึ่งคือแล่นไป
สละบริจาคก็คือสละรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ จากความยึดถือว่าตัวเราของเรา
แล่นไปนั้นก็คือแล่นไปในนิพพาน อันเป็นที่ดับรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
จึงศึกษาดูให้รู้จักลักษณะของปฏินิสสัคคะคือการสละคืนที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ
เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสนา อันบังเกิดสืบกันมาโดยลำดับ
ชั้นที่ ๑ ก็เป็นอนิจจานุปัสสนา ที่ ๒ ก็เป็นวิราคานุปัสสนา
ที่ ๓ ก็เป็นนิโรธานุปัสสนา ที่ ๔ ก็เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสนา
ก็เป็นอันว่าสุดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมี ๔ ชั้น
จิตในชั้นที่ ๔ นี้จึงมีลักษณะที่เห็นการละความยินดีความยินร้ายด้วยปัญญาอันชอบ
เข้าไปเพ่งสงบอยู่ในภายใน อันจัดว่าเป็นอุเบกขา
จะว่าเป็นสังขารุเบกขา อุเบกขาคือวางเฉยในสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งก็ได้
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าการเห็นการละความยินดีความยินร้ายด้วยปัญญาอันชอบ
เข้าไปเพ่งสงบเฉยอยู่ วางอยู่ เฉยอยู่ นี่เป็นตัวธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เป็นอันว่าอานาปานสติ สติที่กำหนดลมหายใจเข้าออกนี้
ปฏิบัติไปตามพระพุทธโอวาทที่ทรงสอน โดยจับปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น
ในขั้นกายานุปัสสนา ตั้งแต่มีสติหายใจเข้ามีสติหายใจออก ก็จะเลื่อนภูมิชั้นขึ้นไปเอง
ในเมื่อจิตได้สติได้สมาธิในลมหายใจเข้าออก เป็นชั้น เป็นขั้นกายานุปัสสนา ๔ ชั้น
ขั้นเวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น ขั้นจิตตานุปัสสนา ๔ ชั้น ขั้นธรรมานุปัสสนา ๔ ชั้น
เป็น ๑๖ ชั้น เรียกว่าอานาปานสติ ๑๖ ชั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
๘
และในทางปฏิบัตินั้น ก็จับปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นนี่แหละ คือมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
ดังที่ตรัสสอนไว้ในเบื้องต้น และเมื่อประคองการปฏิบัติให้เข้าทางแล้ว
การปฏิบัติก็จะเข้าทางไปเอง และเลื่อนๆขึ้นไปเอง
แต่ผู้ปฏิบัตินั้นก็จะต้องมีสติมีสมาธิ
อันเรียกว่าอานาปานสติสมาธิตั้งแต่ในเบื้องต้นกำกับอยู่ กำกับจิตนี้รู้
กำหนดให้รู้หายใจเข้าออก ไปพร้อมกับขั้นของการปฏิบัติที่เลื่อนขึ้น ธรรมะที่ปรากฏขึ้น
เป็นกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา
ก็จะเป็นไปเองตามขั้นของธรรมะด้วย เป็นไปด้วยอำนาจของการปฏิบัติศึกษา
สำเหนียกกำหนดให้รู้จัก และไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออกไปทุกขั้นตอน
อาศัยลมหายใจเข้าออกเป็นพาหะนำจิต ให้ได้สติ ให้ได้สมาธิสูงๆขึ้นไป
ก็จะได้อานาปานสติ ๑๖ ชั้น แล้วก็ชื่อว่าได้การปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ สมบูรณ์
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*